ถาม : ทุกข์เพราะอะไร
ตอบ : ทุกข์เพราะมี
ถาม : มีอะไร
ตอบ : มีตัวตน
ถาม-ตอบ ดังกล่าว มีมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ก็ยังจะมีถาม-ตอบอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจและเข้าถึง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “หากยังมีตัวตน ความทุกข์ไม่มีวันสิ้นสุดลงได้”
ดังนั้น วิธีแก้ทุกข์ก็ต้องขจัดตัวตน หรือดับตัวตนให้หมดไป
แล้วจะทำอย่างไรจึงจะดับตัวตนหรือขจัดตัวตนให้หายไปได้ ก็มีร้อยแปดพันเก้าให้เลือก พึงเลือกเอาให้ถูกกับจริตของตัวเอง ก็น่าจะเหมาะสม
“โอโช่” ผู้ให้กำเนิดมนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นการรวมกันระหว่าง “ซอร์บา เดอะ กรีก กับพระพุทธเจ้า” เข้าด้วยกัน คือเป็นมนุษย์ที่มีความสุขในทางโลกได้แบบซอร์บา และสุขสงบได้อย่างพระพุทธเจ้า คำสอนของท่านเป็นการบูรณาการพลังทางภูมิปัญญาตะวันออกกับพลังทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของตะวันตก
วิธีขจัดตัวตนที่ไม่มีอยู่จริง ฟังท่านผู้รู้อื่นๆ มามากมายแล้ว ลองฟังคำสอนหรือคำบรรยายของท่านโอโช่ดูบ้าง บางทีอาจจะถูกกับจริตของเราก็ได้ ไม่ลองไม่รู้ ไม่ดูไมเห็น ไม่เซนไม่แจ้ง
...หากท่านต้องการขจัดความทุกข์และความเจ็บปวดทรมาน ท่านต้องเข้าใจก่อนว่า ท่านนั้นไม่มีตัวตน แล้วท่านจะไม่ได้โล่งใจแค่เพียงน้อยนิด แต่ท่านจะโล่งใจมหาศาล และเมื่อท่านไม่มีตัวตน ท่านก็จะไม่ต้องการคนอื่นอีกต่อไป ตัวตนที่ไม่มีอยู่จริง ยังคงต้องการให้คนอื่นหล่อเลี้ยง แต่ท่านไม่ได้ต้องการใครทั้งนั้น
จงฟังให้ดี เวลาท่านไม่ต้องการใคร ท่านจะรักใคร และความรักนั้นจะไม่นำมาซึ่งความทุกข์ เมื่ออยู่พ้นจากความเรียกร้องต้องการและความปรารถนา ความรักจะเป็นการแบ่งปันอันแสนอ่อนโยนและความเข้าใจอันล้ำเลิศ วันใดท่านเข้าใจตัวเอง วันนั้นจะเป็นวันที่ท่านเข้าใจมนุษยชาติ จนกระทั่งใครก็ทำให้ท่านเป็นทุกข์ไม่ได้ ท่านรู้ว่าพวกเขาเป็นทุกข์เพราะตัวตนที่ไม่มีอยู่จริง และพวกเขาจะโยนความทุกข์ใส่ใครก็ได้ที่อยู่ใกล้ตัว
ความรักของท่านจะทำให้ท่านช่วยคนที่ท่านรัก ขจัดตัวตนออกไปได้
ข้าพเจ้ารู้จักของขวัญเพียงอย่างเดียว และของขวัญเพียงอย่างเดียวที่ความรักมอบแก่ท่านก็คือ การตระหนักว่าท่านไม่ได้เป็นสิ่งใด และตัวตนเป็นแค่จินตนาการ เมื่อเขาทั้งสองตระหนักเช่นนั้น เขาทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียวกันทันที เพราะความว่างเปล่าไม่มีทางเป็นสอง มีแต่ตัวตนที่เป็นสองได้ ความว่างเปล่าไม่มีทางเป็นสอง ความว่างเปล่าจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
ยกตัวอย่างว่า หากทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ มีอัตตาตัวตน ตรงนี้ก็จะมีคนจำนวนมาก แต่พอท่านเข้าสู่สภาวะเงียบสงบ ท่านจะนับจำนวนคนที่อยู่ตรงนี้ไม่ได้สักคน ท่านจะมีจิตสำนึกเพียงหนึ่งเดียว มีความเงียบสงบเพียงหนึ่งเดียว มีความว่างเปล่าเพียงหนึ่งเดียว และมีความไร้ตัวตนเพียงหนึ่งเดียว
และมีเพียงสภาวะนั้นที่คนสองคนจะอยู่ร่วมกันด้วยความเบิกบานยินดีไม่มีที่สิ้นสุด มีเพียงสภาวะนั้นที่กลุ่มคนจะอยู่ร่วมกันอย่างแสนงดงาม และมนุษยชาติจะอยู่ร่วมกันด้วยความปลาบปลื้มยินดี
ลองหา “ตัวตน” ดูสิ ท่านจะหามันไม่เจอหรอก และการไม่เจอนี่แหละที่สำคัญยิ่ง หลายครั้งที่ข้าพเจ้าเล่าเรื่องการพบกันระหว่าง พระโพธิธรรม (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 5 พระโพธิธรรม พระสังฆปรินายกองค์ที่ 28 ของประเทศอินเดีย และเป็นผู้ให้กำเนิดศาสนาพุทธนิกายเซน) กับจักรพรรดิหวู่ ซึ่งเป็นการพบกันที่แสนประหลาด แต่มีคุณอนันต์ในยุคนั้น จักรพรรดิหวู่เป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก พระองค์ทรงปกครองทั้งประเทศจีน มองโกเลีย เกาหลี และเอเชียทั้งทวีป ยกเว้นประเทศอินเดีย พระองค์ทรงเลื่อมใสสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่บรรดาผู้นำคำสอนมาเผยแผ่ล้วนเป็นแค่ผู้รอบรู้ ไม่มีใครเป็นผู้ทรงปัญญาหรือเป็นพุทธะสักคน
จากนั้นก็มีข่าวว่าพระโพธิธรรมจะมาเยือนประเทศจีน ยังความตื่นเต้นดีใจแก่คนทั่วทั้งราชอาณาจักร เพราะจักรพรรดิหวู่ทรงเลื่อมใสพระพุทธเจ้า คนทั่วทั้งราชอาณาจักรจึงเลื่อมใสพระพุทธเจ้าตามไปด้วย และตอนนี้พุทธะจะมาเยือนประเทศจีนแล้ว ช่างน่ายินดีปรีดาอะไรเช่นนี้
จักรพรรดิหวู่ไม่เคยเสด็จไปรับใครที่พรมแดนระหว่างประเทศจีนกับอินเดีย แต่พระองค์ทรงยินดีเสด็จไปรับพระโพธิธรรมด้วยความเคารพอย่างสูง และถามว่า
“ข้าถามบรรดาพระสงฆ์และบัณฑิตที่มาจากประเทศอินเดีย และลองทำทุกวิถีทางแล้ว แต่ไม่มีใครช่วยข้าได้สักคน ข้าจะขจัดตัวตนนี้ออกไปได้อย่างไร เนื่องจากพระพุทธเจ้าตรัสว่า หากยังมีตัวตน ความทุกข์ไม่มีวันสิ้นสุดลงได้”
เมื่อจักรพรรดิหวู่ ตรัสด้วยความจริงใจ พระโพธิธรรมจึงมองเข้าไปในพระเนตรจักรพรรดิหวู่ และกล่าวว่า
“ข้าจะอยู่ที่วัดใกล้ๆ ภูเขา ตอนตีสี่พอดีของวันรุ่งขึ้น เมื่อท่านมาถึง ข้าจะช่วยทำให้ตัวตนของท่านหายไปตลอดกาล แต่จงจำไว้ ท่านห้ามพกอาวุธใดๆ และอย่าให้องครักษ์ติดตามมา ท่านต้องมาตามลำพัง”
จักรพรรดิหวู่ทรงกังวลพระทัยนิดๆ ชายผู้นี้ช่างแปลกแท้ “เขาจะขจัดตัวตนของข้าในเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร เหล่าบัณฑิตบอกว่าต้องใช้เวลาปฏิบัติสมาธิภาวนาหลายชาติภพเท่านั้น ตัวตนจึงจะหายไป ชายผู้นี้พิลึกจริงๆ เขาต้องการพบข้าตอนเช้ามืดตามลำพัง ห้ามพกดาบและไม่ให้องครักษ์ติดตามไปด้วย ถึงจะดูแปลกๆ แต่เขาคงจะทำอะไรสักอย่าง แล้วที่บอกว่าจะช่วยทำให้ตัวตนของข้าหายไปตลอดกาล นั่นหมายความว่าอย่างไร เขาสังหารข้าได้ แต่จะสังหารตัวตนของข้าอย่างไร”
จักรพรรดิหวู่ บรรทมไม่หลับตลอดทั้งคืน พระองค์ทรงครุ่นคิดว่าจะเสด็จไปหรือไม่ไปดี แต่ในสายตาและน้ำเสียงของพระโพธิธรรมนั้น มีพลังอำนาจบางอย่างตอนเขากล่าวว่า “จงมาตอนตีสี่พอดีของวันรุ่งขึ้น แล้วข้าจะช่วยทำให้ตัวตนของท่านหายไปตลอดกาล ท่านไม่ต้องเป็นกังวล” สิ่งที่เขากล่าวฟังดูไร้สาระ แต่สายตาและน้ำเสียงของเขาช่างทรงอำนาจ เพราะเขาหมายความอย่างนั้นจริงๆ ในที่สุดจักรพรรดิหวู่ก็ทรงตัดสินใจเสี่ยงเสด็จไป “อย่างมากเขาก็คงสังหารข้า จะมีอะไรอื่นอีกเล่า แล้วข้าเองก็ลองทำทุกวิถีทางแล้ว แต่ยังไม่เข้าสู่สภาวะไร้ตัวตนสักที และหากยังมีตัวตน ความทุกข์ก็ไม่มีวันสิ้นสุดลงได้”
จักรพรรดิหวู่ ทรงเคาะประตูวัด แล้วพระโพธิธรรมก็กล่าวว่า
“ข้ารู้ว่าท่านต้องมา ข้ายังรู้ด้วยว่า ท่านครุ่นคิดทั้งคืน แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะท่านก็มาแล้ว เอาล่ะจงนั่งลงในท่าขัดสมาธิแล้วหลับตา ข้าจะนั่งอยู่ตรงหน้าท่าน ทันทีที่ท่านหาตัวตนที่อยู่ในตัวท่านเจอ จงจับมันไว้ให้ข้าสังหารมัน แค่จับมันไว้แน่นๆ และบอกข้าว่า ท่านจับมันได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะสังหารมันเอง และตัวตนของท่านก็จะหายไปตลอดกาล ใช้เวลาไม่นานหรอก”
จักรพรรดิหวู่ทรงกลัวขึ้นมานิดๆ พระโพธิธรรมดูเหมือนคนบ้า ขนาดภาพวาดของเขายังดูเหมือนคนบ้าเลย แต่เขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น ภาพวาดก็มาจากภาพที่ผู้คนจำเขาติดตา ซึ่งไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของเขา เขานั่งอยู่ตรงหน้าร่างอันใหญ่โตของจักรพรรดิหวู่ และกล่าวว่า “จงอย่ารอช้า แค่จับมันให้ได้ก็พอ จงหาให้ทั่วทุกซอกทุกมุมในตัวท่าน และลืมตาบอกข้าว่า ท่านจับมันได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะสังหารมันเอง”
จากนั้นทุกอย่างก็อยู่ในความสงัด หนึ่งชั่วโมงผ่านไปก็แล้ว สองชั่วโมงผ่านไปก็แล้ว จนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้น จักรพรรดิหวู่ทรงไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว ในช่วงสองชั่วโมงนั้น เขาอาจจะฟาดพระองค์ก็ได้
ท่านคงเดาออกว่า จะเกิดอะไรได้บ้าง พระโพธิธรรมไม่ใช่คนยึดถือมารยาทหรือธรรมเนียมปฏิบัติใดๆ และเขาไม่ให้คนในราชสำนักของจักรพรรดิหวู่ ดังนั้น พระองค์จึงต้องทรงมองหาอย่างสุดชีวิต และขณะที่พระองค์ทรงมองหา ก็ทรงรู้สึกผ่อนคลาย เพราะไม่มีตัวตนที่ว่าหรอก และด้วยการมองหา ความคิดทั้งหมดจึงหายไป และด้วยการมองหาอย่างสุดชีวิต พระองค์จึงได้ทรงทุ่มเทพลังงานทั้งหมดไปกับการมองหา จนกระทั่งไม่เหลือไว้ให้คิดหรือปรารถนาสิ่งนั้นสิ่งนี้
ขณะที่ดวงอาทิตย์ขึ้น พระโพธิธรรมมองพระพักตร์จักรพรรดิหวู่ พระองค์ทรงไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว ช่างสงบเงียบและลุ่มลึกอะไรเช่นนี้ เขาหายไปแล้ว พระโพธิธรรมเขย่าร่างจักรพรรดิหวู่และบอกว่า...
“ลืมตาขึ้น ไม่มีตัวตนที่ว่าหรอก ข้าจึงไม่ต้องสังหารมัน ข้าไม่ใช่คนโหดร้าย ข้าจะไม่สังหารอะไรทั้งนั้น แต่ตัวตนที่ว่านี้ไม่มีอยู่จริง เพราะท่านไม่เคยมองมันต่างหาก มันจึงยังมีตัวตนอยู่ เมื่อใดท่านไม่มองมัน หรือไม่ตระหนักรู้ มันจึงจะมีตัวตน แต่ตอนนี้มันหายไปแล้ว”
สองชั่วโมงผ่านไป จักรพรรดิหวู่ทรงปีติปราโมทย์เป็นล้นพ้น พระองค์ไม่เคยทรงลิ้มรสอะไรที่หอมหวาน สดชื่น และงดงามเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นสิ่งใดทั้งนั้น
เมื่อพระโพธิธรรมทำตามสัญญาที่ให้ไว้ จักรพรรดิหวู่จึงก้มกราบลงแทบเท้าเขา และตรัสว่า...
“โปรดยกโทษให้ข้า ที่ข้าคิดว่าท่านเป็นคนบ้า เป็นคนไร้มารยาท เป็นคนพิลึก และเป็นคนอันตราย ข้าไม่เคยเห็นใครมีเมตตาเช่นท่านมาก่อน ข้าได้คำตอบที่ต้องการทั้งหมดแล้ว ตอนนี้ในตัวข้า ไม่มีคำถามใดๆ ทั้งนั้น”
จักรพรรดิหวู่ตรัสว่า เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ให้นำแผ่นทองคำมาจารึกถึงพระโพธิธรรมไว้เป็นอนุสรณ์บนหลุมฝังพระศพ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่า...
“มีชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนคนบ้า แต่กลับเป็นผู้สร้างสิ่งปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้น เขาช่วยข้าให้เข้าสู่สภาวะไร้ตัวตน โดยไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น และตั้งแต่นั้นมาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป สิ่งต่างๆ ยังเหมือนเดิม แต่ข้าไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว แล้วชีวิตก็มีแต่บทเพลงแห่งความเงียบสงบ”
“ที่มา : โอโช่/เบิกบานยินดี/ภัทริณี เจริญจินดา-แปล/สนพ.ฟรีมายด์)
เป็นไงบ้าง คำสอนคำบรรยายของท่านโอโช่จบลงแล้ว ตัวตนที่ไม่มีอยู่จริง ดับหมดหดหายบ้างไหม ลดลงบ้างไหม คงตัวหรือเพิ่มขึ้น ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคนนะครับ เรื่องอย่างนี้รู้ได้เฉพาะตน-ปัจจัตตัง
แต่ที่รู้เป็นสากลหรือทั่วไปก็คือ... “ธรรมเกิดแต่เหตุ ดับเหตุ ก็ดับธรรม”... “ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป” นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ”... “หากยังมีตัวตน ความทุกข์ก็ไม่มีวันสิ้นสุดลงได้”... “ทุกข์เพราะมีตัวตน ที่ไม่มีอยู่จริง”... ฯลฯ
“ทุกข์เพราะอะไร
เพราะใจเป็นเหตุ
เกิดภัยเกิดเภท
วิเศษดับตน”
“สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย” แปลว่า...สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตน คือตัวเรา-ของเรา ตัวเขา-ของเขา
หากทำได้เช่นนั้น “ทุกข์ก็หลุด-สุขก็มา” เป็นความเบิกบานยินดี มีความสุขที่ไม่ต้องแสวงหาให้เสียเวลาและเปลืองพลัง ชีวิตคือบทเพลงแห่งความเงียบสงบ
ตอบ : ทุกข์เพราะมี
ถาม : มีอะไร
ตอบ : มีตัวตน
ถาม-ตอบ ดังกล่าว มีมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ก็ยังจะมีถาม-ตอบอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจและเข้าถึง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “หากยังมีตัวตน ความทุกข์ไม่มีวันสิ้นสุดลงได้”
ดังนั้น วิธีแก้ทุกข์ก็ต้องขจัดตัวตน หรือดับตัวตนให้หมดไป
แล้วจะทำอย่างไรจึงจะดับตัวตนหรือขจัดตัวตนให้หายไปได้ ก็มีร้อยแปดพันเก้าให้เลือก พึงเลือกเอาให้ถูกกับจริตของตัวเอง ก็น่าจะเหมาะสม
“โอโช่” ผู้ให้กำเนิดมนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นการรวมกันระหว่าง “ซอร์บา เดอะ กรีก กับพระพุทธเจ้า” เข้าด้วยกัน คือเป็นมนุษย์ที่มีความสุขในทางโลกได้แบบซอร์บา และสุขสงบได้อย่างพระพุทธเจ้า คำสอนของท่านเป็นการบูรณาการพลังทางภูมิปัญญาตะวันออกกับพลังทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของตะวันตก
วิธีขจัดตัวตนที่ไม่มีอยู่จริง ฟังท่านผู้รู้อื่นๆ มามากมายแล้ว ลองฟังคำสอนหรือคำบรรยายของท่านโอโช่ดูบ้าง บางทีอาจจะถูกกับจริตของเราก็ได้ ไม่ลองไม่รู้ ไม่ดูไมเห็น ไม่เซนไม่แจ้ง
...หากท่านต้องการขจัดความทุกข์และความเจ็บปวดทรมาน ท่านต้องเข้าใจก่อนว่า ท่านนั้นไม่มีตัวตน แล้วท่านจะไม่ได้โล่งใจแค่เพียงน้อยนิด แต่ท่านจะโล่งใจมหาศาล และเมื่อท่านไม่มีตัวตน ท่านก็จะไม่ต้องการคนอื่นอีกต่อไป ตัวตนที่ไม่มีอยู่จริง ยังคงต้องการให้คนอื่นหล่อเลี้ยง แต่ท่านไม่ได้ต้องการใครทั้งนั้น
จงฟังให้ดี เวลาท่านไม่ต้องการใคร ท่านจะรักใคร และความรักนั้นจะไม่นำมาซึ่งความทุกข์ เมื่ออยู่พ้นจากความเรียกร้องต้องการและความปรารถนา ความรักจะเป็นการแบ่งปันอันแสนอ่อนโยนและความเข้าใจอันล้ำเลิศ วันใดท่านเข้าใจตัวเอง วันนั้นจะเป็นวันที่ท่านเข้าใจมนุษยชาติ จนกระทั่งใครก็ทำให้ท่านเป็นทุกข์ไม่ได้ ท่านรู้ว่าพวกเขาเป็นทุกข์เพราะตัวตนที่ไม่มีอยู่จริง และพวกเขาจะโยนความทุกข์ใส่ใครก็ได้ที่อยู่ใกล้ตัว
ความรักของท่านจะทำให้ท่านช่วยคนที่ท่านรัก ขจัดตัวตนออกไปได้
ข้าพเจ้ารู้จักของขวัญเพียงอย่างเดียว และของขวัญเพียงอย่างเดียวที่ความรักมอบแก่ท่านก็คือ การตระหนักว่าท่านไม่ได้เป็นสิ่งใด และตัวตนเป็นแค่จินตนาการ เมื่อเขาทั้งสองตระหนักเช่นนั้น เขาทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียวกันทันที เพราะความว่างเปล่าไม่มีทางเป็นสอง มีแต่ตัวตนที่เป็นสองได้ ความว่างเปล่าไม่มีทางเป็นสอง ความว่างเปล่าจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
ยกตัวอย่างว่า หากทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ มีอัตตาตัวตน ตรงนี้ก็จะมีคนจำนวนมาก แต่พอท่านเข้าสู่สภาวะเงียบสงบ ท่านจะนับจำนวนคนที่อยู่ตรงนี้ไม่ได้สักคน ท่านจะมีจิตสำนึกเพียงหนึ่งเดียว มีความเงียบสงบเพียงหนึ่งเดียว มีความว่างเปล่าเพียงหนึ่งเดียว และมีความไร้ตัวตนเพียงหนึ่งเดียว
และมีเพียงสภาวะนั้นที่คนสองคนจะอยู่ร่วมกันด้วยความเบิกบานยินดีไม่มีที่สิ้นสุด มีเพียงสภาวะนั้นที่กลุ่มคนจะอยู่ร่วมกันอย่างแสนงดงาม และมนุษยชาติจะอยู่ร่วมกันด้วยความปลาบปลื้มยินดี
ลองหา “ตัวตน” ดูสิ ท่านจะหามันไม่เจอหรอก และการไม่เจอนี่แหละที่สำคัญยิ่ง หลายครั้งที่ข้าพเจ้าเล่าเรื่องการพบกันระหว่าง พระโพธิธรรม (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 5 พระโพธิธรรม พระสังฆปรินายกองค์ที่ 28 ของประเทศอินเดีย และเป็นผู้ให้กำเนิดศาสนาพุทธนิกายเซน) กับจักรพรรดิหวู่ ซึ่งเป็นการพบกันที่แสนประหลาด แต่มีคุณอนันต์ในยุคนั้น จักรพรรดิหวู่เป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก พระองค์ทรงปกครองทั้งประเทศจีน มองโกเลีย เกาหลี และเอเชียทั้งทวีป ยกเว้นประเทศอินเดีย พระองค์ทรงเลื่อมใสสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่บรรดาผู้นำคำสอนมาเผยแผ่ล้วนเป็นแค่ผู้รอบรู้ ไม่มีใครเป็นผู้ทรงปัญญาหรือเป็นพุทธะสักคน
จากนั้นก็มีข่าวว่าพระโพธิธรรมจะมาเยือนประเทศจีน ยังความตื่นเต้นดีใจแก่คนทั่วทั้งราชอาณาจักร เพราะจักรพรรดิหวู่ทรงเลื่อมใสพระพุทธเจ้า คนทั่วทั้งราชอาณาจักรจึงเลื่อมใสพระพุทธเจ้าตามไปด้วย และตอนนี้พุทธะจะมาเยือนประเทศจีนแล้ว ช่างน่ายินดีปรีดาอะไรเช่นนี้
จักรพรรดิหวู่ไม่เคยเสด็จไปรับใครที่พรมแดนระหว่างประเทศจีนกับอินเดีย แต่พระองค์ทรงยินดีเสด็จไปรับพระโพธิธรรมด้วยความเคารพอย่างสูง และถามว่า
“ข้าถามบรรดาพระสงฆ์และบัณฑิตที่มาจากประเทศอินเดีย และลองทำทุกวิถีทางแล้ว แต่ไม่มีใครช่วยข้าได้สักคน ข้าจะขจัดตัวตนนี้ออกไปได้อย่างไร เนื่องจากพระพุทธเจ้าตรัสว่า หากยังมีตัวตน ความทุกข์ไม่มีวันสิ้นสุดลงได้”
เมื่อจักรพรรดิหวู่ ตรัสด้วยความจริงใจ พระโพธิธรรมจึงมองเข้าไปในพระเนตรจักรพรรดิหวู่ และกล่าวว่า
“ข้าจะอยู่ที่วัดใกล้ๆ ภูเขา ตอนตีสี่พอดีของวันรุ่งขึ้น เมื่อท่านมาถึง ข้าจะช่วยทำให้ตัวตนของท่านหายไปตลอดกาล แต่จงจำไว้ ท่านห้ามพกอาวุธใดๆ และอย่าให้องครักษ์ติดตามมา ท่านต้องมาตามลำพัง”
จักรพรรดิหวู่ทรงกังวลพระทัยนิดๆ ชายผู้นี้ช่างแปลกแท้ “เขาจะขจัดตัวตนของข้าในเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร เหล่าบัณฑิตบอกว่าต้องใช้เวลาปฏิบัติสมาธิภาวนาหลายชาติภพเท่านั้น ตัวตนจึงจะหายไป ชายผู้นี้พิลึกจริงๆ เขาต้องการพบข้าตอนเช้ามืดตามลำพัง ห้ามพกดาบและไม่ให้องครักษ์ติดตามไปด้วย ถึงจะดูแปลกๆ แต่เขาคงจะทำอะไรสักอย่าง แล้วที่บอกว่าจะช่วยทำให้ตัวตนของข้าหายไปตลอดกาล นั่นหมายความว่าอย่างไร เขาสังหารข้าได้ แต่จะสังหารตัวตนของข้าอย่างไร”
จักรพรรดิหวู่ บรรทมไม่หลับตลอดทั้งคืน พระองค์ทรงครุ่นคิดว่าจะเสด็จไปหรือไม่ไปดี แต่ในสายตาและน้ำเสียงของพระโพธิธรรมนั้น มีพลังอำนาจบางอย่างตอนเขากล่าวว่า “จงมาตอนตีสี่พอดีของวันรุ่งขึ้น แล้วข้าจะช่วยทำให้ตัวตนของท่านหายไปตลอดกาล ท่านไม่ต้องเป็นกังวล” สิ่งที่เขากล่าวฟังดูไร้สาระ แต่สายตาและน้ำเสียงของเขาช่างทรงอำนาจ เพราะเขาหมายความอย่างนั้นจริงๆ ในที่สุดจักรพรรดิหวู่ก็ทรงตัดสินใจเสี่ยงเสด็จไป “อย่างมากเขาก็คงสังหารข้า จะมีอะไรอื่นอีกเล่า แล้วข้าเองก็ลองทำทุกวิถีทางแล้ว แต่ยังไม่เข้าสู่สภาวะไร้ตัวตนสักที และหากยังมีตัวตน ความทุกข์ก็ไม่มีวันสิ้นสุดลงได้”
จักรพรรดิหวู่ ทรงเคาะประตูวัด แล้วพระโพธิธรรมก็กล่าวว่า
“ข้ารู้ว่าท่านต้องมา ข้ายังรู้ด้วยว่า ท่านครุ่นคิดทั้งคืน แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะท่านก็มาแล้ว เอาล่ะจงนั่งลงในท่าขัดสมาธิแล้วหลับตา ข้าจะนั่งอยู่ตรงหน้าท่าน ทันทีที่ท่านหาตัวตนที่อยู่ในตัวท่านเจอ จงจับมันไว้ให้ข้าสังหารมัน แค่จับมันไว้แน่นๆ และบอกข้าว่า ท่านจับมันได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะสังหารมันเอง และตัวตนของท่านก็จะหายไปตลอดกาล ใช้เวลาไม่นานหรอก”
จักรพรรดิหวู่ทรงกลัวขึ้นมานิดๆ พระโพธิธรรมดูเหมือนคนบ้า ขนาดภาพวาดของเขายังดูเหมือนคนบ้าเลย แต่เขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น ภาพวาดก็มาจากภาพที่ผู้คนจำเขาติดตา ซึ่งไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของเขา เขานั่งอยู่ตรงหน้าร่างอันใหญ่โตของจักรพรรดิหวู่ และกล่าวว่า “จงอย่ารอช้า แค่จับมันให้ได้ก็พอ จงหาให้ทั่วทุกซอกทุกมุมในตัวท่าน และลืมตาบอกข้าว่า ท่านจับมันได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะสังหารมันเอง”
จากนั้นทุกอย่างก็อยู่ในความสงัด หนึ่งชั่วโมงผ่านไปก็แล้ว สองชั่วโมงผ่านไปก็แล้ว จนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้น จักรพรรดิหวู่ทรงไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว ในช่วงสองชั่วโมงนั้น เขาอาจจะฟาดพระองค์ก็ได้
ท่านคงเดาออกว่า จะเกิดอะไรได้บ้าง พระโพธิธรรมไม่ใช่คนยึดถือมารยาทหรือธรรมเนียมปฏิบัติใดๆ และเขาไม่ให้คนในราชสำนักของจักรพรรดิหวู่ ดังนั้น พระองค์จึงต้องทรงมองหาอย่างสุดชีวิต และขณะที่พระองค์ทรงมองหา ก็ทรงรู้สึกผ่อนคลาย เพราะไม่มีตัวตนที่ว่าหรอก และด้วยการมองหา ความคิดทั้งหมดจึงหายไป และด้วยการมองหาอย่างสุดชีวิต พระองค์จึงได้ทรงทุ่มเทพลังงานทั้งหมดไปกับการมองหา จนกระทั่งไม่เหลือไว้ให้คิดหรือปรารถนาสิ่งนั้นสิ่งนี้
ขณะที่ดวงอาทิตย์ขึ้น พระโพธิธรรมมองพระพักตร์จักรพรรดิหวู่ พระองค์ทรงไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว ช่างสงบเงียบและลุ่มลึกอะไรเช่นนี้ เขาหายไปแล้ว พระโพธิธรรมเขย่าร่างจักรพรรดิหวู่และบอกว่า...
“ลืมตาขึ้น ไม่มีตัวตนที่ว่าหรอก ข้าจึงไม่ต้องสังหารมัน ข้าไม่ใช่คนโหดร้าย ข้าจะไม่สังหารอะไรทั้งนั้น แต่ตัวตนที่ว่านี้ไม่มีอยู่จริง เพราะท่านไม่เคยมองมันต่างหาก มันจึงยังมีตัวตนอยู่ เมื่อใดท่านไม่มองมัน หรือไม่ตระหนักรู้ มันจึงจะมีตัวตน แต่ตอนนี้มันหายไปแล้ว”
สองชั่วโมงผ่านไป จักรพรรดิหวู่ทรงปีติปราโมทย์เป็นล้นพ้น พระองค์ไม่เคยทรงลิ้มรสอะไรที่หอมหวาน สดชื่น และงดงามเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นสิ่งใดทั้งนั้น
เมื่อพระโพธิธรรมทำตามสัญญาที่ให้ไว้ จักรพรรดิหวู่จึงก้มกราบลงแทบเท้าเขา และตรัสว่า...
“โปรดยกโทษให้ข้า ที่ข้าคิดว่าท่านเป็นคนบ้า เป็นคนไร้มารยาท เป็นคนพิลึก และเป็นคนอันตราย ข้าไม่เคยเห็นใครมีเมตตาเช่นท่านมาก่อน ข้าได้คำตอบที่ต้องการทั้งหมดแล้ว ตอนนี้ในตัวข้า ไม่มีคำถามใดๆ ทั้งนั้น”
จักรพรรดิหวู่ตรัสว่า เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ให้นำแผ่นทองคำมาจารึกถึงพระโพธิธรรมไว้เป็นอนุสรณ์บนหลุมฝังพระศพ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่า...
“มีชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนคนบ้า แต่กลับเป็นผู้สร้างสิ่งปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้น เขาช่วยข้าให้เข้าสู่สภาวะไร้ตัวตน โดยไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น และตั้งแต่นั้นมาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป สิ่งต่างๆ ยังเหมือนเดิม แต่ข้าไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว แล้วชีวิตก็มีแต่บทเพลงแห่งความเงียบสงบ”
“ที่มา : โอโช่/เบิกบานยินดี/ภัทริณี เจริญจินดา-แปล/สนพ.ฟรีมายด์)
เป็นไงบ้าง คำสอนคำบรรยายของท่านโอโช่จบลงแล้ว ตัวตนที่ไม่มีอยู่จริง ดับหมดหดหายบ้างไหม ลดลงบ้างไหม คงตัวหรือเพิ่มขึ้น ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคนนะครับ เรื่องอย่างนี้รู้ได้เฉพาะตน-ปัจจัตตัง
แต่ที่รู้เป็นสากลหรือทั่วไปก็คือ... “ธรรมเกิดแต่เหตุ ดับเหตุ ก็ดับธรรม”... “ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป” นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ”... “หากยังมีตัวตน ความทุกข์ก็ไม่มีวันสิ้นสุดลงได้”... “ทุกข์เพราะมีตัวตน ที่ไม่มีอยู่จริง”... ฯลฯ
“ทุกข์เพราะอะไร
เพราะใจเป็นเหตุ
เกิดภัยเกิดเภท
วิเศษดับตน”
“สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย” แปลว่า...สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตน คือตัวเรา-ของเรา ตัวเขา-ของเขา
หากทำได้เช่นนั้น “ทุกข์ก็หลุด-สุขก็มา” เป็นความเบิกบานยินดี มีความสุขที่ไม่ต้องแสวงหาให้เสียเวลาและเปลืองพลัง ชีวิตคือบทเพลงแห่งความเงียบสงบ