ASTVผู้จัดการรายวัน - แสนสิริเดินหน้าเปิด 13 โครงการมูลค่ากว่า 2.56 หมื่นล้านบาท หลังทิศทางเศรษฐกิจ- ตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัว ย้ำไม่เน้น รุกตลาดเพื่อสร้างยอดขาย แต่เน้นสร้างรายได้จาก Backlog 5.39 หมื่นล้านบาทและสต๊อกอีกกว่า 6.2 หมื่นล้าน มั่นใจสร้างรายได้ ตามเป้า 3.4 หมื่นล้าน
นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ช่วงต้นปีที่ผานมา บริษัทให้ความสำคัญกับการสร้างยอดรับรู้ราย โดยเน้นการบริหารจัดการสต๊อกสินค้าที่อยู่อาศัยทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียมเพื่อสร้างรายได้แก่บริษัท ปัจจุบันแสนสิริ มีโครงการที่อยู่ระหว่างขาย 116 โครงการ มูลค่า 146,000 ล้านบาท เป็นคอนโด 61 โครงการ บ้านเดี่ยว33 โครงการ และทาวเฮ้าส์23 โครงการ โดยขายไปได้แล้ว 58% ทำให้ยังมีสินค้าเหลือขาย 62,000 ล้านบาท โดยเป็นบ้านสร้างเสร็จพร้อมโอน 8,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 3,000 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 1,500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นคอนโด 3,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัวและมีความชัดเจนมากขึ้น หลังความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อสถานการณ์การเมืองปรับตัวดีอย่างชัดเจน สังเกตุได้จากยอดขายคอนโดรีเซลของ บริษัท พลัสพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ที่มียอดขายสูงถึง 1,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามแม้ว่าความเชื่อมั่นจะเริ่มกลับคืนมา แต่ก็ต้องเฝ้าดูตลาดอย่างใกล้ชิด หากมีแนวโน้มที่ดีขึ้นก็เชื่อว่ารายได้ในปี 57 จะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้คือ 34,000 ล้านบาท โดยสินค้าในกลุ่มไฮเอ็นด์เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ในขณะที่สินค้าระดับกลางเพิ่งเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว และจากแนวโน้มการฟื้นตัวดังกล่าวทำให้บริษัทยังคงแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ปี57 ที่19 โครงการ มูลค่า 33,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 5 โครงการ คอนโดมีเนียม 8 โครงการ โดยมี 2 โครงการที่เลื่อนเปิดมาจากครึ่งปีแรก
นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับการก่อสร้างเพื่อให้สามารถส่งมอบได้ตรงตามสัญญา โดยปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Back log) ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและส่งมอบกว่า 53,900 ล้านบาท โดยจะสามารถทะยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 29,500 ล้านบาท ปี 58 จำนวน 23,000 ล้านบาท ปี 59 ประมาณ 10,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือรับรู้ในปี 60
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทเน้นการสร้างก่อนขาย ทำให้มีสินค้าคงค้างในสต๊อกเป็นจำนวนมาก และเมื่อเจอเหตุดารณ์ความไม่สงบทางการเมืองแและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ต้องปรับแผนการดำเนินงาน โดยเน้นระบายสินค้าที่มีอยู่ในมือ เพื่อเร่งสร้างการรับรู้รายได้ให้เร็วขึ้น และลดภาระหนี้ ที่ปัจจุบันมีหนี้สินต่อทุน 2.14 :1
"ในปีนี้บริษัทฯจะเน้นการสร้างรายได้จากการโอน ที่อยู่อาศัย ที่มี back log สูงถึง 53,900 ล้านบาท โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่มีสูงถึงประมาณ 45,218 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 1-3 ปี ซึ่งถือเป็นฐานรายได้สำคัญที่จะสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจในทุกสภาวะเศรษฐกิจ" นายอภิชาติกล่าว
นายอภิชาติ กล่าวว่า สำหรับในครึ่งปีแรก57 ที่ผ่านมาบริษัทฯยอมรับว่าไม่สามารถเปิดการขายโครงการได้ตามเป้า 8-9 โครงการ มูลค่า 11,000 ล้านบาท โดยสามารถเปิดได้เพียง 6 โครงการ มูลค่า 9,800 ล้านบาท เนื่องจากปัญหาการเมืองยังส่งผลกระทบตลาดสูงอยู่ อย่างไรก็ดี ในครึ่งปีหลังนี้ แสนสิริ จะเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อีก 13 โครงการมูลค่าขายรวม 23,600 ล้านบาทเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายเดิม ดดยทั้ง13โครงการดังกล่าว แบ่งสัดส่วนเป็นการพัฒนาในกทม.-ปริมณฑล 60% ต่างจังหวัด 40%
โดย 1 ในจำนวน 13 โครงการจะมีโครงการ “เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา” ซึ่งเป็นการแบ่งซื้อที่ดินย่านศรีนครินทร์มาจากบริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BLAND จำนวน 300 ไร่ แต่นำมาพัฒนาโครงการดังกล่าวก่อน จำนวน 100 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์น ซึ่งจะแบ่งการพัฒนาเป็นเฟส ราคา 8-15 ล้านบาท จำนวน 320 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,200 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส4
นอกจากนี้บริษัทยังหันมารุกตลาดแนวราบเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นสินค้าที่มีความเสี่ยงน้อย รวมทั้งปรับลดสัดส่วนโครงการในต่างจังหวัดลง เนื่องจากพบว่าในบางพื้นที่เกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลาย สำหรับโครงการในต่างจังหวัดของบริษัทขณะนี้มีอยู่ใน 13 ทำเล อาทิ ภูเก็ต เชียงใหม่ อุดรธานี หัวหิน ฯลฯ
โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯยังได้เตรียมเปิดตัวโครงการในจังหวัด พิษณุโลก โดยพัฒนาในรูปแบบทาวน์เฮาส์ แบรนด์ "เมท ทาวน์" ราคา 178 ยูนิต ราคา 2-3 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 500-600 ล้านบาท จะเปิดตัวในไตรมาส 4 โดยโครงการในต่างจังหวัดจะเน้นเกาะศูนย์การค้า ไม่เน้นเกาะโครงการภาครัฐ เช่น โครงการ 2 ล้านล้าน เพราะเป็นโครงการที่ต้องใช้เวลากว่าที่จะเป็นรูปเป็นร่าง
นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ช่วงต้นปีที่ผานมา บริษัทให้ความสำคัญกับการสร้างยอดรับรู้ราย โดยเน้นการบริหารจัดการสต๊อกสินค้าที่อยู่อาศัยทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียมเพื่อสร้างรายได้แก่บริษัท ปัจจุบันแสนสิริ มีโครงการที่อยู่ระหว่างขาย 116 โครงการ มูลค่า 146,000 ล้านบาท เป็นคอนโด 61 โครงการ บ้านเดี่ยว33 โครงการ และทาวเฮ้าส์23 โครงการ โดยขายไปได้แล้ว 58% ทำให้ยังมีสินค้าเหลือขาย 62,000 ล้านบาท โดยเป็นบ้านสร้างเสร็จพร้อมโอน 8,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 3,000 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 1,500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นคอนโด 3,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัวและมีความชัดเจนมากขึ้น หลังความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อสถานการณ์การเมืองปรับตัวดีอย่างชัดเจน สังเกตุได้จากยอดขายคอนโดรีเซลของ บริษัท พลัสพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ที่มียอดขายสูงถึง 1,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามแม้ว่าความเชื่อมั่นจะเริ่มกลับคืนมา แต่ก็ต้องเฝ้าดูตลาดอย่างใกล้ชิด หากมีแนวโน้มที่ดีขึ้นก็เชื่อว่ารายได้ในปี 57 จะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้คือ 34,000 ล้านบาท โดยสินค้าในกลุ่มไฮเอ็นด์เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ในขณะที่สินค้าระดับกลางเพิ่งเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว และจากแนวโน้มการฟื้นตัวดังกล่าวทำให้บริษัทยังคงแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ปี57 ที่19 โครงการ มูลค่า 33,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 5 โครงการ คอนโดมีเนียม 8 โครงการ โดยมี 2 โครงการที่เลื่อนเปิดมาจากครึ่งปีแรก
นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับการก่อสร้างเพื่อให้สามารถส่งมอบได้ตรงตามสัญญา โดยปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Back log) ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและส่งมอบกว่า 53,900 ล้านบาท โดยจะสามารถทะยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 29,500 ล้านบาท ปี 58 จำนวน 23,000 ล้านบาท ปี 59 ประมาณ 10,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือรับรู้ในปี 60
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทเน้นการสร้างก่อนขาย ทำให้มีสินค้าคงค้างในสต๊อกเป็นจำนวนมาก และเมื่อเจอเหตุดารณ์ความไม่สงบทางการเมืองแและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ต้องปรับแผนการดำเนินงาน โดยเน้นระบายสินค้าที่มีอยู่ในมือ เพื่อเร่งสร้างการรับรู้รายได้ให้เร็วขึ้น และลดภาระหนี้ ที่ปัจจุบันมีหนี้สินต่อทุน 2.14 :1
"ในปีนี้บริษัทฯจะเน้นการสร้างรายได้จากการโอน ที่อยู่อาศัย ที่มี back log สูงถึง 53,900 ล้านบาท โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่มีสูงถึงประมาณ 45,218 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 1-3 ปี ซึ่งถือเป็นฐานรายได้สำคัญที่จะสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจในทุกสภาวะเศรษฐกิจ" นายอภิชาติกล่าว
นายอภิชาติ กล่าวว่า สำหรับในครึ่งปีแรก57 ที่ผ่านมาบริษัทฯยอมรับว่าไม่สามารถเปิดการขายโครงการได้ตามเป้า 8-9 โครงการ มูลค่า 11,000 ล้านบาท โดยสามารถเปิดได้เพียง 6 โครงการ มูลค่า 9,800 ล้านบาท เนื่องจากปัญหาการเมืองยังส่งผลกระทบตลาดสูงอยู่ อย่างไรก็ดี ในครึ่งปีหลังนี้ แสนสิริ จะเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อีก 13 โครงการมูลค่าขายรวม 23,600 ล้านบาทเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายเดิม ดดยทั้ง13โครงการดังกล่าว แบ่งสัดส่วนเป็นการพัฒนาในกทม.-ปริมณฑล 60% ต่างจังหวัด 40%
โดย 1 ในจำนวน 13 โครงการจะมีโครงการ “เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา” ซึ่งเป็นการแบ่งซื้อที่ดินย่านศรีนครินทร์มาจากบริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BLAND จำนวน 300 ไร่ แต่นำมาพัฒนาโครงการดังกล่าวก่อน จำนวน 100 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์น ซึ่งจะแบ่งการพัฒนาเป็นเฟส ราคา 8-15 ล้านบาท จำนวน 320 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,200 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส4
นอกจากนี้บริษัทยังหันมารุกตลาดแนวราบเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นสินค้าที่มีความเสี่ยงน้อย รวมทั้งปรับลดสัดส่วนโครงการในต่างจังหวัดลง เนื่องจากพบว่าในบางพื้นที่เกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลาย สำหรับโครงการในต่างจังหวัดของบริษัทขณะนี้มีอยู่ใน 13 ทำเล อาทิ ภูเก็ต เชียงใหม่ อุดรธานี หัวหิน ฯลฯ
โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯยังได้เตรียมเปิดตัวโครงการในจังหวัด พิษณุโลก โดยพัฒนาในรูปแบบทาวน์เฮาส์ แบรนด์ "เมท ทาวน์" ราคา 178 ยูนิต ราคา 2-3 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 500-600 ล้านบาท จะเปิดตัวในไตรมาส 4 โดยโครงการในต่างจังหวัดจะเน้นเกาะศูนย์การค้า ไม่เน้นเกาะโครงการภาครัฐ เช่น โครงการ 2 ล้านล้าน เพราะเป็นโครงการที่ต้องใช้เวลากว่าที่จะเป็นรูปเป็นร่าง