ปัญหาร่วมสมัยที่มีมาทุกยุคของพ่อแม่ ครูอาจารย์ หัวหน้าหน่วยงาน แม้พระสงฆ์องค์เจ้าก็ไม่ละเว้น นั่นคือ การอบรมสั่งสอนหรือการแนะนำต่างๆ ผู้ถูกแนะนำจะไม่ค่อยรับฟังผู้แนะนำ ดูเหมือนผู้ถูกแนะนำจะพากันเป็นโรค “เข้าหูซ้าย ออกหูขวา” คือไม่จดไม่จำ บอกสอนเท่าไรก็ไร้ผล
โยม : หลวงพ่อค่ะ สามีดิฉันชอบสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน เคยพาไปหาหลวงปู่หลวงตาวัดต่างๆ ให้ช่วยอบรมสั่งสอนพ่อแม่ ภรรยา ลูก และญาติผู้ใหญ่ ช่วยบอกช่วยเตือนสติอยู่เสมอก็ไร้ผล ไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมก็ยังไม่ดีเหมือนเดิม ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยกรุณาอบรมสั่งสอนหรือชี้ทางการแก้ปัญหาสามีของดิฉันด้วยเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ : ปัญหาของโยมเป็นปัญหาโลกแตก คือปัญหาที่หาข้อสรุปไม่ได้ เพราะแต่ละคนแต่ละปัญหา ก็มีเหตุปัจจัยแตกต่างกันไป การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ต้องแก้ที่เหตุ เหตุเกิดที่ไหน ต้องแก้ที่นั่น ไฟไหม้ที่ไหน ต้องดับที่นั่น ปัญหาทำนองเดียวกันกับสามีของโยมก็มีมาบ่อยๆ อาตมาก็แนะนำเป็นภาพรวมๆ บางรายก็กลับมาบอกว่าแก้ได้แล้ว บางรายก็หายไปเลย อาจแก้ได้หรือไม่ได้ ไม่ทราบ การแก้ได้หรือแก้ไม่ได้มันขึ้นอยู่กับคนที่เป็นปัญหากับคนแก้ ว่า...ขณะที่เราบอกเราสอนเขานั้น เขาเป็นกำแพง หรือเป็นประตู ถ้าเขาเป็นกำแพงอย่าเพิ่งบอกเพิ่งสอน สอนไปก็ไม่ฟัง รอให้เขาเป็นประตูเสียก่อน ค่อยพูดค่อยจากัน มันจึงจะรู้เรื่อง และเข้าใจกันได้
โยม : กำแพงและประตู หมายความว่าอย่างไร เจ้าค่ะ
หลวงพ่อ : นี่สิ เป็นเรื่องยาว ต้องมีขันติ อดทน ตั้งใจฟังจึงจะเข้าใจ พร้อมหรือยังล่ะ โยม
โยม : พร้อมแล้วเจ้าค่ะ
(แล้วหลวงพ่อก็ร่ายช้าๆ ยาวๆ นานมากๆ...)
“ประตูเป็นตัวแทนของการเปิดรับ กำแพงเป็นตัวแทนของการปิดกั้น” ถ้ายังปิดกั้นคุณก็ยังคงตายอยู่แบบเดิม นั่นเหมือนกับว่า เมื่อมีทั้งฟากฟ้าเปิดกว้างให้ดู คุณกลับทำแค่มองดูลอดผ่านรูกุญแจ แน่นอนว่าคุณจะเห็นได้เพียงผืนฟ้าเล็กๆ จากรูกุญแจ และบางครั้งแสงอาทิตย์ก็ผ่านไป บางครั้งคุณอาจจะเห็นดาวริบหรี่ แต่การทำเช่นนี้ ทำให้ยุ่งยากโดยไม่จำเป็น และทำให้คุณยังคงเป็นผู้น่าสมเพชโดยไม่จำเป็น
เปิดตัวเปิดใจออกมา และคุณสามารถทำเช่นนั้นได้ เพียงแค่ลองทำการทดสอบเล็กน้อยอย่างหนึ่ง ดังนี้...
ทุกคืนก่อนเข้านอน ให้ยืนอยู่กลางห้อง แล้วมองไปที่กำแพง จดจ่ดอยู่ที่กำแพงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ประตู ให้นึกว่าตัวคุณเป็นเพียงแค่กำแพง และไม่มีประตู ในตัวคุณทั้งหมดปิดตาย ไม่มีใครเข้ามาหาคุณได้ แล้วคุณก็ออกไปไม่ได้ คุณถูกจองจำ รวมทั้งทางด้านจิตใจก็แทบจะเป็นกำแพงไปด้วย ให้พลังงานทั้งหมดในตัวคุณเปลี่ยนเป็นกำแพง ดุจดังกำแพงเมืองจีน
เป็นกำแพงแบบนั้นอยู่ 10 นาที แล้วทำตัวเกร็งให้เกร็งมากที่สุดเท่าที่คุณทำได้ ทิ้งทุกอย่างที่เป็นการเปิดรับ และปิดตายให้เหมือนปรมาณูที่ไร้ทางออก ให้ภายในจิตใจคุณเองเกิดการปิดกั้นโดยสมบูรณ์ คุณจะเริ่มเหงื่อออกและตัวสั่น ความกระวนกระวายจะเกิดขึ้น คุณจะรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะตาย ราวกับว่าคุณกำลังเข้าไปในหลุมฝังศพตัวเอง อย่ากังวล จงเข้าไปในนั้น ให้ความตึงเครียด ความหดเกร็ง และความกลัวนี้นำไปสู่จุดไคลแมกซ์ คือจุดสำคัญหรือจุดสุดยอด
จากนั้นให้หันมองดูประตู โดยให้บานประตูเปิดอ้าอยู่ แล้วเปลี่ยนเป็นประตู โดยเริ่มรู้สึกว่าคุณกำลังกลายเป็นเหตุ คุณไม่ใช่กำแพงอีกต่อไป ใครๆ ก็เข้ามาในตัวคุณได้ โดยไม่จำเป็นแม้แต่จะเคาะ แล้วคนเหล่านั้นก็ออกไปโดยไม่มีอะไรกั้น จงผ่อนคลายให้ทั้งตัว และความรู้สึกทั้งหมดผ่อนคลาย แล้วขยายขอบเขตการผ่อนคลายออกไป ให้คงยืนอยู่ตรงนั้น แต่แผ่ความรู้สึกออกไป รู้สึกถึงตัวคุณที่กลายเป็นประตูขยายใหญ่ไปเต็มห้อง รู้สึกว่ากระแสพลังงานในตัวคุณไหลออกจากประตูไปสู่สวน แค่ปล่อยให้พลังงานไหลออกไป แล้วรู้สึกว่าโลกภายนอกกำลังเข้ามาสู่ตัวคุณ
เป็นกำแพง 10 นาที แล้วเปลี่ยนมาเป็นประตู 20 นาที จากนั้นจึงเข้านอน ทำแบบนี้ต่อเนื่องกันไปอย่างน้อยที่สุด 3 เดือน หลังจาก 3 สัปดาห์ผ่านไป คุณจะเริ่มรู้สึกเปิดรับสิ่งต่างๆ ได้มากมายเหลือเกิน แต่กระนั้นก็ให้ทำต่อไป
ให้คุณเป็นทั้งสองอย่าง คือทั้งกำแพงและประตู เพื่อคุณจะได้รู้สึกถึงความแตกต่างกันได้ง่ายขึ้น เมื่อคุณเข้าใจถึงพลังงานในตัวคุณเอง ที่เปลี่ยนเป็นกำแพงและเปลี่ยนเป็นประตูได้แล้ว คุณจะเริ่มรับรู้ได้ถึงมิติอันงดงามยิ่ง
จากนั้นคุณจะรู้สึกถึงพลังงานคนอื่น คุณเดินผ่านชายผู้หนึ่งบนถนนโดยที่คุณรู้สึกได้ ไม่ว่าชายผู้นั้นจะเป็นกำแพงหรือประตู ตอนนี้คุณมีความเข้าใจภายในตัวเกี่ยวกับเรื่องนั้น แล้วหากคุณต้องการติดต่อกับชายผู้นี้อย่างไปสร้างสัมพันธ์ด้วย เมื่อคุณรู้สึกว่าเขาเป็นกำแพง เพราะหากทำเช่นนี้แล้ว จะไม่มีสิ่งใดสำเร็จให้สร้างสัมพันธ์ด้วยเฉพาะเวลาเมื่อคุณรู้สึกว่าเขาเป็นประตู
หลายครั้งที่เรื่องนี้กลายเป็นประสบการณ์ที่ลึกซึ้งในการสร้างความสัมพันธ์กับใครๆ ได้มาก จนคุณนึกไม่ถึง จงติดต่อกับใครคนหนึ่งเมื่อเขาเป็นประตู แล้วบุคคลเดียวกันนี้จะแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง
ให้เข้าหาลูกคุณ เมื่อเขาเป็นประตู แล้วเขาจะรับฟัง และพร้อมที่จะซึมซับในสิ่งที่คุณพูด มิฉะนั้นแล้วคุณก็ได้แต่ตะเบ็งเสียงต่อไป โดยที่เขาไม่ยอมฟัง เพราะเขาเป็นกำแพง
พูดคุยกับคนรักคุณ เมื่อเขาเป็นประตู มีรักมีสุขกันกับคู่รักคุณเมื่อเขาเป็นประตู ยามใดเขาเป็นกำแพง อย่าไปรบกวนเขาจะดีกว่า
แต่เมื่อคุณรู้เรื่องนั้นดี เมื่อสิ่งดังกล่าวเป็นความรู้สึกที่มีในตัวคุณ คุณจะรู้สึกแบบนั้นได้ทุกหนทุกแห่ง
ส่วนปัญหาเรื่องสูบบุหรี่ ขอยกคำสอนจากธรรมาจารย์สมาธิแบบเคลื่อนไหวท่านหนึ่ง ดังนี้...
นี่คือข้อแนะนำของผม จงสูบบุหรี่ให้มากที่สุดเท่าที่คุณต้องการ ขอเพียงแค่ให้มีสมาธิในการสูบ ถ้าผู้ปฏิบัติตามลัทธิเซนสามารถทำสมาธิจากการดื่มชาได้ เหตุใดจึงทำสมาธิด้วยการสูบบุหรี่ไม่ได้? ความจริงแล้ว ชามีสารกระตุ้นเช่นเดียวกับบุหรี่มีสารกระตุ้นเหมือนกัน ไม่ต่างกันมากนัก จงทำสมาธิด้วยการสูบบุหรี่อย่างเคร่งครัด ทำให้มันเป็นพิธีกรรม
ทำบ้านให้มีที่แคบๆ มุมหนึ่งไว้สูบบุหรี่อย่างเดียว เป็นเหมือนวิหารหลังน้อยที่สละและอุทิศให้แก่เทพเจ้าแห่งการสูบบุหรี่ ก่อนอื่นให้โค้งคารวะบุหรี่ในซอง เล่นกับบุหรี่นิดหน่อย ด้วยการถามว่า “คุณสบายดีหรือ?...” “สบายดีครับ” บุหรี่ตอบ
จากนั้นให้หยิบบุหรี่ออกมาช้าๆ ให้ช้ามากที่สุดเท่าที่คุณทำได้ เพราะการนำออกมาช้าๆ เท่านั้นที่จะทำให้คุณรู้ตัว อย่าทำแบบเครื่องจักรเหมือนที่เคยทำอยู่เสมอ แล้วให้เคาะบุหรี่กับซองอย่างช้าๆ ให้นานที่สุดเท่าที่คุณต้องการ ขั้นตอนนี้ก็ไม่ต้องรีบเช่นกัน ต่อมาให้ก้มศีรษะลงหยิบไฟแช็ก นั่นคือเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
จากนั้นให้เริ่มสูบบุหรี่อย่างช้ามากๆ เหมือนกับการทำสมาธิ อย่าทำเหมือนการหายใจแบบโยคะที่เรียกว่า ปราณยาม คือลึกและเร่งให้เร็ว แต่ให้ทำไปอย่างช้ามากๆ
ท่านผู้รู้พูดว่า...ให้หายใจไปตามธรรมชาติ ดังนั้น ให้คุณสูบบุหรี่ไปตามธรรมชาติอย่างช้ามากๆ โดยไม่ต้องรีบร้อน
หากเป็นบาปคุณจะรีบทำ เพราะอยากให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ และไม่อยากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในสิ่งที่ทำ คุณสูบบุหรี่และอ่านหนังสือพิมพ์ไปเรื่อยๆ ใครกันอยากพิจารณาบาปอย่างถี่ถ้วน? แต่สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ไม่ใช่บาป
เพราะฉะนั้น จงเฝ้าสังเกตดูมัน เฝ้าดูแต่ละการกระทำของคุณ แบ่งสิ่งที่คุณทำออกเป็นเสี้ยวเล็กๆ เพื่อให้คุณเคลื่อนไหวอย่างช้ามากๆ ได้ แล้วคุณจะแปลกใจว่า ในการเฝ้าสังเกตดูการสูบบุหรี่ของคุณอย่างช้าๆ นั้น จะทำให้คุณสูบบุหรี่น้อยลงเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งการสูบบุหรี่จะหายไปอย่างฉับพลัน
คุณไม่ได้ใช้ความพยายามใดๆ เลยในการเลิกสูบบุหรี่ แต่เลิกได้ด้วยตัวมันเอง เพราะการเปลี่ยนมารับรู้รูปแบบที่ตายตัวอันเป็นกิจวัตรและนิสัยที่ทำอะไรแบบเครื่องจักรที่คุณสร้างขึ้นมา ทำให้เกิดพลังแห่งสติขึ้นในตัวคุณ จนทำให้คุณปลดปล่อยสิ่งเหล่านั้นออกไปได้
พลังแห่งสติดังกล่าวเท่านั้นที่จะช่วยคุณได้ สิ่งอื่นไม่เคยช่วยอะไรได้เลย
ผมขอย้ำว่า การไม่สูบบุหรี่ ไม่ใช่คุณความดี การสูบบุหรี่ไม่เป็นบาป การมีสติรับรู้ คือคุณความดี การขาดสติรับรู้ คือบาป และเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว กฎเดียวกันนี้ก็สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทั้งชีวิตคุณ
โอ...อมิตาพุทธ สติปัญญาเป็นแสงสว่างไม่มีที่สิ้นสุด
คุณโยม ที่ถามปัญหาหลวงพ่อ คงจะถึงบางอ้อแล้วนะ ขอให้โชคดีมีชัยเถิด ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร กินเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน คบคนชั่วเป็นมิตร มีกิ๊กมีกั๊ก มีรักสนุกทุกข์ถนัดเหล่านี้เป็นต้น เอากฎข้อเดียวคือ “มีสติรับรู้ทุกสิ่ง” ไปปรับใช้ได้ทุกปัญหา
และก่อนจะแก้ปัญหาอะไร ก็อย่าลืมเรื่อง “กำแพงประตู” ถ้าเขายังเป็นกำแพง อย่าเพิ่งแก้หาวิธีให้เขาเป็นประตูเสียก่อน ค่อยแก้ กำแพงคือปิดกั้น ประตูคือเปิดรับ กำแพงคือนรก ประตูคือสวรรค์ กำแพงคือพันธนาการ ประตูคืออิสรภาพ กำแพงคือทุกข์ ประตูคือสุขหรือพ้นทุกข์
อริยสัจสี่ คือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอิสระ หรือผู้ประเสริฐ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ผู้ทำหน้าที่ต่ออริยสัจทั้งสี่ข้อได้ถูกต้องและเสร็จสิ้นแล้ว จึงจะได้ชื่อว่า รู้อริยสัจจริง หน้าที่ต่ออริยสัจคือทุกข์ ควรกำหนดรู้ สมุทัย ควรละ นิโรธ ควรทำให้แจ้ง มรรค ควรเจริญ
เมื่อกำแพงคือทุกข์ จะต้องไปดูให้ชัด สัมผัสรับรู้ให้แจ้ง อ๋อทุกข์มันเป็นอย่างนี้หรือ ทุกข์คือนรก ทุกข์คือบาป ทุกข์คือคุก รู้พิษภัยแล้วก็ต้องแก้ไข ต้องละต้องห่างไกลมัน ไปหาประตูคือสวรรค์ คืออิสรภาพดีกว่าเพราะพ้นทุกข์ มีสุขเข้ามาแทนที่ เป็นเรื่องธรรมดาๆ เช่นนั้นเอง
รับรู้คืนวัน การมีสติรับรู้มีมากเท่าไหร่ยิ่งดี มีทั้งคืนทั้งวันยิ่งวิเศษ พระอรหันต์เป็นผู้มีสติรับรู้เต็มร้อย เราปุถุชนก็ควรสำรวจตัวเองว่ามีกี่เปอร์เซ็นต์ เพิ่มหรือลดอย่างนี้รู้อยู่แก่ใจ
เปิดรับปิดกั้น ตัวแทนปิดกั้นคือกำแพง ตัวแทนเปิดรับคือประตู เมื่อรู้พิษภัยของกำแพงก็ชอบธรรมที่จะไปอยู่ที่ประตู ขณะเดียวกันก็เข้าใจกำแพง ถึงจะอย่างไรมันก็เป็นอีกด้านของชีวิตเรา
รู้ทันทุกข์สุข ผู้มีสติรับรู้คือผู้รู้ทัน รู้ทันทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งดีทั้งชัว ทั้งเหนือดีเหนือชั่ว เมื่อรู้ทันแล้ว สิ่งไม่ดีก็เลิกละ สิ่งดีงามก็เจริญ ชีวิตคนเราก็มีแค่นี้ ดูเอง เห็นเอง ละเอง เจริญเอง ปัจจัตตัง เป็นเรื่องเฉพาะตน
“กำแพงประตู
รับรู้คืนวัน
เปิดรับปิดกั้น
รู้ทันทุกข์สุข”
การมีสติรับรู้อยู่ทุกขณะ คือผู้รู้เท่ารู้ทันสรรพสิ่ง จึงมีสัจจะความจริงและรู้ตื่นเบิกบานเป็นวิหารธรรม หรือเครื่องอยู่ของชีวิตอันประเสริฐ
โยม : หลวงพ่อค่ะ สามีดิฉันชอบสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน เคยพาไปหาหลวงปู่หลวงตาวัดต่างๆ ให้ช่วยอบรมสั่งสอนพ่อแม่ ภรรยา ลูก และญาติผู้ใหญ่ ช่วยบอกช่วยเตือนสติอยู่เสมอก็ไร้ผล ไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมก็ยังไม่ดีเหมือนเดิม ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยกรุณาอบรมสั่งสอนหรือชี้ทางการแก้ปัญหาสามีของดิฉันด้วยเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ : ปัญหาของโยมเป็นปัญหาโลกแตก คือปัญหาที่หาข้อสรุปไม่ได้ เพราะแต่ละคนแต่ละปัญหา ก็มีเหตุปัจจัยแตกต่างกันไป การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ต้องแก้ที่เหตุ เหตุเกิดที่ไหน ต้องแก้ที่นั่น ไฟไหม้ที่ไหน ต้องดับที่นั่น ปัญหาทำนองเดียวกันกับสามีของโยมก็มีมาบ่อยๆ อาตมาก็แนะนำเป็นภาพรวมๆ บางรายก็กลับมาบอกว่าแก้ได้แล้ว บางรายก็หายไปเลย อาจแก้ได้หรือไม่ได้ ไม่ทราบ การแก้ได้หรือแก้ไม่ได้มันขึ้นอยู่กับคนที่เป็นปัญหากับคนแก้ ว่า...ขณะที่เราบอกเราสอนเขานั้น เขาเป็นกำแพง หรือเป็นประตู ถ้าเขาเป็นกำแพงอย่าเพิ่งบอกเพิ่งสอน สอนไปก็ไม่ฟัง รอให้เขาเป็นประตูเสียก่อน ค่อยพูดค่อยจากัน มันจึงจะรู้เรื่อง และเข้าใจกันได้
โยม : กำแพงและประตู หมายความว่าอย่างไร เจ้าค่ะ
หลวงพ่อ : นี่สิ เป็นเรื่องยาว ต้องมีขันติ อดทน ตั้งใจฟังจึงจะเข้าใจ พร้อมหรือยังล่ะ โยม
โยม : พร้อมแล้วเจ้าค่ะ
(แล้วหลวงพ่อก็ร่ายช้าๆ ยาวๆ นานมากๆ...)
“ประตูเป็นตัวแทนของการเปิดรับ กำแพงเป็นตัวแทนของการปิดกั้น” ถ้ายังปิดกั้นคุณก็ยังคงตายอยู่แบบเดิม นั่นเหมือนกับว่า เมื่อมีทั้งฟากฟ้าเปิดกว้างให้ดู คุณกลับทำแค่มองดูลอดผ่านรูกุญแจ แน่นอนว่าคุณจะเห็นได้เพียงผืนฟ้าเล็กๆ จากรูกุญแจ และบางครั้งแสงอาทิตย์ก็ผ่านไป บางครั้งคุณอาจจะเห็นดาวริบหรี่ แต่การทำเช่นนี้ ทำให้ยุ่งยากโดยไม่จำเป็น และทำให้คุณยังคงเป็นผู้น่าสมเพชโดยไม่จำเป็น
เปิดตัวเปิดใจออกมา และคุณสามารถทำเช่นนั้นได้ เพียงแค่ลองทำการทดสอบเล็กน้อยอย่างหนึ่ง ดังนี้...
ทุกคืนก่อนเข้านอน ให้ยืนอยู่กลางห้อง แล้วมองไปที่กำแพง จดจ่ดอยู่ที่กำแพงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ประตู ให้นึกว่าตัวคุณเป็นเพียงแค่กำแพง และไม่มีประตู ในตัวคุณทั้งหมดปิดตาย ไม่มีใครเข้ามาหาคุณได้ แล้วคุณก็ออกไปไม่ได้ คุณถูกจองจำ รวมทั้งทางด้านจิตใจก็แทบจะเป็นกำแพงไปด้วย ให้พลังงานทั้งหมดในตัวคุณเปลี่ยนเป็นกำแพง ดุจดังกำแพงเมืองจีน
เป็นกำแพงแบบนั้นอยู่ 10 นาที แล้วทำตัวเกร็งให้เกร็งมากที่สุดเท่าที่คุณทำได้ ทิ้งทุกอย่างที่เป็นการเปิดรับ และปิดตายให้เหมือนปรมาณูที่ไร้ทางออก ให้ภายในจิตใจคุณเองเกิดการปิดกั้นโดยสมบูรณ์ คุณจะเริ่มเหงื่อออกและตัวสั่น ความกระวนกระวายจะเกิดขึ้น คุณจะรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะตาย ราวกับว่าคุณกำลังเข้าไปในหลุมฝังศพตัวเอง อย่ากังวล จงเข้าไปในนั้น ให้ความตึงเครียด ความหดเกร็ง และความกลัวนี้นำไปสู่จุดไคลแมกซ์ คือจุดสำคัญหรือจุดสุดยอด
จากนั้นให้หันมองดูประตู โดยให้บานประตูเปิดอ้าอยู่ แล้วเปลี่ยนเป็นประตู โดยเริ่มรู้สึกว่าคุณกำลังกลายเป็นเหตุ คุณไม่ใช่กำแพงอีกต่อไป ใครๆ ก็เข้ามาในตัวคุณได้ โดยไม่จำเป็นแม้แต่จะเคาะ แล้วคนเหล่านั้นก็ออกไปโดยไม่มีอะไรกั้น จงผ่อนคลายให้ทั้งตัว และความรู้สึกทั้งหมดผ่อนคลาย แล้วขยายขอบเขตการผ่อนคลายออกไป ให้คงยืนอยู่ตรงนั้น แต่แผ่ความรู้สึกออกไป รู้สึกถึงตัวคุณที่กลายเป็นประตูขยายใหญ่ไปเต็มห้อง รู้สึกว่ากระแสพลังงานในตัวคุณไหลออกจากประตูไปสู่สวน แค่ปล่อยให้พลังงานไหลออกไป แล้วรู้สึกว่าโลกภายนอกกำลังเข้ามาสู่ตัวคุณ
เป็นกำแพง 10 นาที แล้วเปลี่ยนมาเป็นประตู 20 นาที จากนั้นจึงเข้านอน ทำแบบนี้ต่อเนื่องกันไปอย่างน้อยที่สุด 3 เดือน หลังจาก 3 สัปดาห์ผ่านไป คุณจะเริ่มรู้สึกเปิดรับสิ่งต่างๆ ได้มากมายเหลือเกิน แต่กระนั้นก็ให้ทำต่อไป
ให้คุณเป็นทั้งสองอย่าง คือทั้งกำแพงและประตู เพื่อคุณจะได้รู้สึกถึงความแตกต่างกันได้ง่ายขึ้น เมื่อคุณเข้าใจถึงพลังงานในตัวคุณเอง ที่เปลี่ยนเป็นกำแพงและเปลี่ยนเป็นประตูได้แล้ว คุณจะเริ่มรับรู้ได้ถึงมิติอันงดงามยิ่ง
จากนั้นคุณจะรู้สึกถึงพลังงานคนอื่น คุณเดินผ่านชายผู้หนึ่งบนถนนโดยที่คุณรู้สึกได้ ไม่ว่าชายผู้นั้นจะเป็นกำแพงหรือประตู ตอนนี้คุณมีความเข้าใจภายในตัวเกี่ยวกับเรื่องนั้น แล้วหากคุณต้องการติดต่อกับชายผู้นี้อย่างไปสร้างสัมพันธ์ด้วย เมื่อคุณรู้สึกว่าเขาเป็นกำแพง เพราะหากทำเช่นนี้แล้ว จะไม่มีสิ่งใดสำเร็จให้สร้างสัมพันธ์ด้วยเฉพาะเวลาเมื่อคุณรู้สึกว่าเขาเป็นประตู
หลายครั้งที่เรื่องนี้กลายเป็นประสบการณ์ที่ลึกซึ้งในการสร้างความสัมพันธ์กับใครๆ ได้มาก จนคุณนึกไม่ถึง จงติดต่อกับใครคนหนึ่งเมื่อเขาเป็นประตู แล้วบุคคลเดียวกันนี้จะแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง
ให้เข้าหาลูกคุณ เมื่อเขาเป็นประตู แล้วเขาจะรับฟัง และพร้อมที่จะซึมซับในสิ่งที่คุณพูด มิฉะนั้นแล้วคุณก็ได้แต่ตะเบ็งเสียงต่อไป โดยที่เขาไม่ยอมฟัง เพราะเขาเป็นกำแพง
พูดคุยกับคนรักคุณ เมื่อเขาเป็นประตู มีรักมีสุขกันกับคู่รักคุณเมื่อเขาเป็นประตู ยามใดเขาเป็นกำแพง อย่าไปรบกวนเขาจะดีกว่า
แต่เมื่อคุณรู้เรื่องนั้นดี เมื่อสิ่งดังกล่าวเป็นความรู้สึกที่มีในตัวคุณ คุณจะรู้สึกแบบนั้นได้ทุกหนทุกแห่ง
ส่วนปัญหาเรื่องสูบบุหรี่ ขอยกคำสอนจากธรรมาจารย์สมาธิแบบเคลื่อนไหวท่านหนึ่ง ดังนี้...
นี่คือข้อแนะนำของผม จงสูบบุหรี่ให้มากที่สุดเท่าที่คุณต้องการ ขอเพียงแค่ให้มีสมาธิในการสูบ ถ้าผู้ปฏิบัติตามลัทธิเซนสามารถทำสมาธิจากการดื่มชาได้ เหตุใดจึงทำสมาธิด้วยการสูบบุหรี่ไม่ได้? ความจริงแล้ว ชามีสารกระตุ้นเช่นเดียวกับบุหรี่มีสารกระตุ้นเหมือนกัน ไม่ต่างกันมากนัก จงทำสมาธิด้วยการสูบบุหรี่อย่างเคร่งครัด ทำให้มันเป็นพิธีกรรม
ทำบ้านให้มีที่แคบๆ มุมหนึ่งไว้สูบบุหรี่อย่างเดียว เป็นเหมือนวิหารหลังน้อยที่สละและอุทิศให้แก่เทพเจ้าแห่งการสูบบุหรี่ ก่อนอื่นให้โค้งคารวะบุหรี่ในซอง เล่นกับบุหรี่นิดหน่อย ด้วยการถามว่า “คุณสบายดีหรือ?...” “สบายดีครับ” บุหรี่ตอบ
จากนั้นให้หยิบบุหรี่ออกมาช้าๆ ให้ช้ามากที่สุดเท่าที่คุณทำได้ เพราะการนำออกมาช้าๆ เท่านั้นที่จะทำให้คุณรู้ตัว อย่าทำแบบเครื่องจักรเหมือนที่เคยทำอยู่เสมอ แล้วให้เคาะบุหรี่กับซองอย่างช้าๆ ให้นานที่สุดเท่าที่คุณต้องการ ขั้นตอนนี้ก็ไม่ต้องรีบเช่นกัน ต่อมาให้ก้มศีรษะลงหยิบไฟแช็ก นั่นคือเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
จากนั้นให้เริ่มสูบบุหรี่อย่างช้ามากๆ เหมือนกับการทำสมาธิ อย่าทำเหมือนการหายใจแบบโยคะที่เรียกว่า ปราณยาม คือลึกและเร่งให้เร็ว แต่ให้ทำไปอย่างช้ามากๆ
ท่านผู้รู้พูดว่า...ให้หายใจไปตามธรรมชาติ ดังนั้น ให้คุณสูบบุหรี่ไปตามธรรมชาติอย่างช้ามากๆ โดยไม่ต้องรีบร้อน
หากเป็นบาปคุณจะรีบทำ เพราะอยากให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ และไม่อยากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในสิ่งที่ทำ คุณสูบบุหรี่และอ่านหนังสือพิมพ์ไปเรื่อยๆ ใครกันอยากพิจารณาบาปอย่างถี่ถ้วน? แต่สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ไม่ใช่บาป
เพราะฉะนั้น จงเฝ้าสังเกตดูมัน เฝ้าดูแต่ละการกระทำของคุณ แบ่งสิ่งที่คุณทำออกเป็นเสี้ยวเล็กๆ เพื่อให้คุณเคลื่อนไหวอย่างช้ามากๆ ได้ แล้วคุณจะแปลกใจว่า ในการเฝ้าสังเกตดูการสูบบุหรี่ของคุณอย่างช้าๆ นั้น จะทำให้คุณสูบบุหรี่น้อยลงเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งการสูบบุหรี่จะหายไปอย่างฉับพลัน
คุณไม่ได้ใช้ความพยายามใดๆ เลยในการเลิกสูบบุหรี่ แต่เลิกได้ด้วยตัวมันเอง เพราะการเปลี่ยนมารับรู้รูปแบบที่ตายตัวอันเป็นกิจวัตรและนิสัยที่ทำอะไรแบบเครื่องจักรที่คุณสร้างขึ้นมา ทำให้เกิดพลังแห่งสติขึ้นในตัวคุณ จนทำให้คุณปลดปล่อยสิ่งเหล่านั้นออกไปได้
พลังแห่งสติดังกล่าวเท่านั้นที่จะช่วยคุณได้ สิ่งอื่นไม่เคยช่วยอะไรได้เลย
ผมขอย้ำว่า การไม่สูบบุหรี่ ไม่ใช่คุณความดี การสูบบุหรี่ไม่เป็นบาป การมีสติรับรู้ คือคุณความดี การขาดสติรับรู้ คือบาป และเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว กฎเดียวกันนี้ก็สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทั้งชีวิตคุณ
โอ...อมิตาพุทธ สติปัญญาเป็นแสงสว่างไม่มีที่สิ้นสุด
คุณโยม ที่ถามปัญหาหลวงพ่อ คงจะถึงบางอ้อแล้วนะ ขอให้โชคดีมีชัยเถิด ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร กินเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน คบคนชั่วเป็นมิตร มีกิ๊กมีกั๊ก มีรักสนุกทุกข์ถนัดเหล่านี้เป็นต้น เอากฎข้อเดียวคือ “มีสติรับรู้ทุกสิ่ง” ไปปรับใช้ได้ทุกปัญหา
และก่อนจะแก้ปัญหาอะไร ก็อย่าลืมเรื่อง “กำแพงประตู” ถ้าเขายังเป็นกำแพง อย่าเพิ่งแก้หาวิธีให้เขาเป็นประตูเสียก่อน ค่อยแก้ กำแพงคือปิดกั้น ประตูคือเปิดรับ กำแพงคือนรก ประตูคือสวรรค์ กำแพงคือพันธนาการ ประตูคืออิสรภาพ กำแพงคือทุกข์ ประตูคือสุขหรือพ้นทุกข์
อริยสัจสี่ คือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอิสระ หรือผู้ประเสริฐ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ผู้ทำหน้าที่ต่ออริยสัจทั้งสี่ข้อได้ถูกต้องและเสร็จสิ้นแล้ว จึงจะได้ชื่อว่า รู้อริยสัจจริง หน้าที่ต่ออริยสัจคือทุกข์ ควรกำหนดรู้ สมุทัย ควรละ นิโรธ ควรทำให้แจ้ง มรรค ควรเจริญ
เมื่อกำแพงคือทุกข์ จะต้องไปดูให้ชัด สัมผัสรับรู้ให้แจ้ง อ๋อทุกข์มันเป็นอย่างนี้หรือ ทุกข์คือนรก ทุกข์คือบาป ทุกข์คือคุก รู้พิษภัยแล้วก็ต้องแก้ไข ต้องละต้องห่างไกลมัน ไปหาประตูคือสวรรค์ คืออิสรภาพดีกว่าเพราะพ้นทุกข์ มีสุขเข้ามาแทนที่ เป็นเรื่องธรรมดาๆ เช่นนั้นเอง
รับรู้คืนวัน การมีสติรับรู้มีมากเท่าไหร่ยิ่งดี มีทั้งคืนทั้งวันยิ่งวิเศษ พระอรหันต์เป็นผู้มีสติรับรู้เต็มร้อย เราปุถุชนก็ควรสำรวจตัวเองว่ามีกี่เปอร์เซ็นต์ เพิ่มหรือลดอย่างนี้รู้อยู่แก่ใจ
เปิดรับปิดกั้น ตัวแทนปิดกั้นคือกำแพง ตัวแทนเปิดรับคือประตู เมื่อรู้พิษภัยของกำแพงก็ชอบธรรมที่จะไปอยู่ที่ประตู ขณะเดียวกันก็เข้าใจกำแพง ถึงจะอย่างไรมันก็เป็นอีกด้านของชีวิตเรา
รู้ทันทุกข์สุข ผู้มีสติรับรู้คือผู้รู้ทัน รู้ทันทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งดีทั้งชัว ทั้งเหนือดีเหนือชั่ว เมื่อรู้ทันแล้ว สิ่งไม่ดีก็เลิกละ สิ่งดีงามก็เจริญ ชีวิตคนเราก็มีแค่นี้ ดูเอง เห็นเอง ละเอง เจริญเอง ปัจจัตตัง เป็นเรื่องเฉพาะตน
“กำแพงประตู
รับรู้คืนวัน
เปิดรับปิดกั้น
รู้ทันทุกข์สุข”
การมีสติรับรู้อยู่ทุกขณะ คือผู้รู้เท่ารู้ทันสรรพสิ่ง จึงมีสัจจะความจริงและรู้ตื่นเบิกบานเป็นวิหารธรรม หรือเครื่องอยู่ของชีวิตอันประเสริฐ