วานนี้ (29 มิ.ย.) นายธนากร คมกฤส ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนปฏิรูปสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวถึงกรณีสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ยอมรับว่าไม่สามารถแก้ปัญหาขายสลากเกินราคา 80 บาทได้ภายในงวดวันที่ 1 ก.ค. ว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มอบหมายให้ พล.ท.อนันตพร กาญจนรัตน์ ปลัดบัญชีทหารบก ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) เข้ามาแก้ไขปัญหาสลากแพง ถือเป็นเรื่องดีที่มีเจ้าภาพมาควบคุมดูแล
แต่ข้อสำคัญ คสช. ไม่ควรฟังข้อมูลจากสำนักงานสลากฯเพียงฝ่ายเดียว เพราะสิ่งที่สำนักงานสลากฯ ท่องเป็นคาถาประจำตัว คือ ปัญหาสลากแพงจะแก้ได้โดยการออกหวยออนไลน์ หรือเพิ่มการพิมพ์สลากเพิ่ม ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุด คือ ปัญหาโควตาการขายสลากที่ไม่เป็นธรรม กระจุกตัวอยู่ที่ผู้ค้ารายใหญ่ไม่กี่ราย ไม่กระจายไปสู่ผู้ค้ารายย่อยอย่างแท้จริง ทำให้เกิดการบวกราคาเพิ่มเป็นทอดๆ
“การออกมายอมรับว่าสลากงวดวันที่ 1 ก.ค. ไม่สามารถทำอะไรได้ต้องรองวดหน้า และล่าสุดที่ออกมาบอกว่าจะทำให้ราคาสลากอยู่ที่ 80 บาทได้เพียงที่จุดซื้อขายหน้ากองสลากเพียงเท่านั้น ทำให้ผู้ค้ารายย่อยที่ไม่มีโควตาต้องมาซื้อสลากไปขายต่อในราคาที่แพงอยู่เหมือนเดิม เท่ากับไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาอะไรเลย เป็นเพียงการแสดงละครของสำนักงานสลากฯเท่านั้น จึงไม่เข้าใจว่าทำไมกองสลากไม่กล้าแตะที่โควตาการขายสลาก ให้สลากกระจายไปถึงมือผู้ค้ารายย่อยเป็นส่วนใหญ่โดยไม่ต้องผ่านคนกลาง” นายธนากร กล่าว
ที่ผ่านมา สำนักงานสลากฯไม่เคยแก้ปัญหาสลากแพงอย่างตรงไปตรงมา และไม่จริงใจต่อความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งผู้ซื้อที่ต้องจำใจรับราคาสลากแพงมานับสิบปี และผู้ขายรายย่อยที่ล้วนเป็นผู้มีรายได้น้อยที่อยู่ในฐานะยากลำบาก ขณะที่สำนักงานสลากฯ เองมีรายได้จากการขายสลากปีละกว่า 2 พันล้านบาท เครือข่ายฯ จึงขอเรียกร้องไปยังบอร์ดสำนักงานสลากฯให้ลาออกทั้งคณะ เพื่อแสดงความรับผิดชอบ และเปิดทางให้ คสช. ปฏิรูปกิจการสลากทั้งระบบจัดการถึงต้นตอปัญหา จึงฝากให้ คตร. รับพิจารณาหรืออาจเชิญนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง เช่น ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเครือข่ายภาคประชาชน เข้าไปนำเสนอปัญหาและแนวทางแก้ไข ไม่ใช่รับฟังสำนักงานสลากฯที่มีวาระซ่อนเร้นเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้าเครือข่ายฯ จะเข้าร้องเรียนต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ ความไม่โปร่งใสของสำนักงานสลากฯ ด้วย.
แต่ข้อสำคัญ คสช. ไม่ควรฟังข้อมูลจากสำนักงานสลากฯเพียงฝ่ายเดียว เพราะสิ่งที่สำนักงานสลากฯ ท่องเป็นคาถาประจำตัว คือ ปัญหาสลากแพงจะแก้ได้โดยการออกหวยออนไลน์ หรือเพิ่มการพิมพ์สลากเพิ่ม ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุด คือ ปัญหาโควตาการขายสลากที่ไม่เป็นธรรม กระจุกตัวอยู่ที่ผู้ค้ารายใหญ่ไม่กี่ราย ไม่กระจายไปสู่ผู้ค้ารายย่อยอย่างแท้จริง ทำให้เกิดการบวกราคาเพิ่มเป็นทอดๆ
“การออกมายอมรับว่าสลากงวดวันที่ 1 ก.ค. ไม่สามารถทำอะไรได้ต้องรองวดหน้า และล่าสุดที่ออกมาบอกว่าจะทำให้ราคาสลากอยู่ที่ 80 บาทได้เพียงที่จุดซื้อขายหน้ากองสลากเพียงเท่านั้น ทำให้ผู้ค้ารายย่อยที่ไม่มีโควตาต้องมาซื้อสลากไปขายต่อในราคาที่แพงอยู่เหมือนเดิม เท่ากับไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาอะไรเลย เป็นเพียงการแสดงละครของสำนักงานสลากฯเท่านั้น จึงไม่เข้าใจว่าทำไมกองสลากไม่กล้าแตะที่โควตาการขายสลาก ให้สลากกระจายไปถึงมือผู้ค้ารายย่อยเป็นส่วนใหญ่โดยไม่ต้องผ่านคนกลาง” นายธนากร กล่าว
ที่ผ่านมา สำนักงานสลากฯไม่เคยแก้ปัญหาสลากแพงอย่างตรงไปตรงมา และไม่จริงใจต่อความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งผู้ซื้อที่ต้องจำใจรับราคาสลากแพงมานับสิบปี และผู้ขายรายย่อยที่ล้วนเป็นผู้มีรายได้น้อยที่อยู่ในฐานะยากลำบาก ขณะที่สำนักงานสลากฯ เองมีรายได้จากการขายสลากปีละกว่า 2 พันล้านบาท เครือข่ายฯ จึงขอเรียกร้องไปยังบอร์ดสำนักงานสลากฯให้ลาออกทั้งคณะ เพื่อแสดงความรับผิดชอบ และเปิดทางให้ คสช. ปฏิรูปกิจการสลากทั้งระบบจัดการถึงต้นตอปัญหา จึงฝากให้ คตร. รับพิจารณาหรืออาจเชิญนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง เช่น ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเครือข่ายภาคประชาชน เข้าไปนำเสนอปัญหาและแนวทางแก้ไข ไม่ใช่รับฟังสำนักงานสลากฯที่มีวาระซ่อนเร้นเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้าเครือข่ายฯ จะเข้าร้องเรียนต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ ความไม่โปร่งใสของสำนักงานสลากฯ ด้วย.