โสภณ องค์การณ์
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
กว่า 1 เดือนผ่านไปกับการผจญภัยทางการเมืองของคณะรักษาความสงบ มาตรการต่างๆ กำลังได้ใจประชาชน ทั้งการปราบปรามแหล่งอบายมุข จับตู้จักรกลไฟฟ้า รวมทั้งตูม้าได้มากกว่า 3,500 ตู้ การบุกรุกป่า อาวุธสงคราม เร่งปรับโครงสร้างหวยบนดิน ออกมาตรการด้านแรงงานต่างด้าว ปราบปรามการค้ามนุษย์ ใช้แรงงานเด็ก ดูเยอะมาก
ยังมีมาตรการต่างๆ อีก ตัวแทน คสช. บอกว่าให้ใจเย็นๆ ปัญหาหมักหมมนานหลายปี ต้องขอเวลารื้อฟื้นปรับโครงสร้างใหม่ ขอร้องให้กลุ่มต่างๆ อย่าด่วนติเรือทั้งโกลน หรือรีบสรุปว่า คสช. ละเว้นต้นตอปัญหาใหญ่ ทำแต่เรื่องฉาบฉวย ชวนให้สงสัย
เรื่องพรรค์นี้ห้ามกันไม่ได้ ถ้าปล่อยให้เยิ่นเย้อออกไป จะทำให้ความน่าสงสัยเพิ่มระดับอีก คสช. ต้องมีคำตอบให้ประชาชนจนได้ ไม่ว่าช้าหรือเร็ว ชอบหรือไม่ชอบก็ตาม
ก็เรื่องตัวบักเหลี่ยม คนหนีคุก และขบวนการในระบอบบักเหลี่ยมนั่นแหละ! ยิ่งแม่นางปู เจ้าตำรานารีสัมผัสส่งเสียงเจื้อยแจ้วบอกผู้สื่อข่าววันก่อนว่า “หลังเลือกตั้งแล้วเจอกัน” ก็ยิ่งสร้างความหงุดหงิดในหัวใจของชาวบ้านซึ่งยังไม่หายเหนื่อยจากการชุมนุม
ยิ่งเห็นแม่นางตระเวนชอปปิ้งสบายใจไร้กังวลต่อปัญหาคดีอาญาต่างๆ ก็ชวนให้ฉุกคิด...มีอะไรทำให้นางมั่นใจถึงขนาดว่าหน้าตาผ่องใส ไม่วิตกเรื่องอะไรทั้งสิ้น...บักเหลี่ยมยังคงควงลูกสาวสุดที่รักเตร็ดเตร่ในสิงคโปร์ดูสบายใจ ทำให้คนไทยฉุนกว่าเดิม
พฤติกรรมของนางช่างผิดวิสัยของคนที่เสี่ยงต่อการติดคุกในคดีอาญาต่างๆ หรือผลสุดท้ายคือเผ่นหนี... ลูกสาวบักเหลี่ยมสนุกกับการบินเข้า-ออกประเทศ ดูเหมือนว่าอยู่เหนือกฎเกณฑ์ มีอภิสิทธิ์มากกว่าที่คนอื่นถูกศาลสั่งห้ามเดินทางไปต่างประเทศ
มันมีปัจจัยอะไรทำให้เครือข่ายคนบักเหลี่ยมยังรู้สึกสบายใจเฉิบ มีสัญญาณ หรือสัญญาลับอะไรกันหรือ...กำนันสุเทพ แกนนำกลุ่ม กปปส. หยุดนิ่ง ไม่ส่งเสียงทวงถามการปฏิรูป การจัดการระบอบบักเหลี่ยม ทั้งๆ ที่มีคนตายกว่า 20 บาดเจ็บกว่า 800
สิ่งต่างๆ เหล่านี้แหละจะเป็นต้นเหตุของกระแสตีกลับ คสช. ต้องพร้อมรับ!
ทั้งหมดนี้จะมีคนทวงถามหาคำตอบอย่างจริงจัง ไม่ช้าก็เร็ว...ขณะนี้เริ่มมีแพล็มๆ บ้างแล้ว เพียงแต่ยังโดนฉุดรั้งด้วยคำติงที่ว่า ยังเร็วเกินไปที่จะไปจี้ คสช. ให้ทำนั่นนี่โน่น นอกจากทำโน่นนี่นั่นยามนี้ ท่ามกลางแรงบีบหนักจากรัฐบาลสหรัฐและประชาคมยุโรป
ต้องไม่ลืมว่าระยะเวลาของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ระหว่าง คสช. กับประชาชนนั้นจะยาวหรือสั้นขึ้นอยู่กับผลงานว่าเข้าประเด็น เป็นมรรคผลสำคัญดังที่หวังหรือไม่ วันก่อนมีผลสำรวจออกมาแล้ว เรื่องผลงาน 1 เดือนของ คสช. โดยกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์
มาดูกันซิว่าเป็นอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบก็ต้องรับรู้ ทำตามหรือไม่ เป็นอีกเรื่อง!
“ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 27 แห่ง จำนวน 60 คน เรื่อง “ครบ 1 เดือน คสช. : ผลงานในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 18-25 เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
เรื่องที่กำลังดำเนินการอยู่และมีแนวโน้มที่จะแก้ปัญหาได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวคือเรื่อง การจัดระเบียบรัฐวิสาหกิจ และการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว ส่วนเรื่องที่นักเศรษฐศาสตร์มองว่าไม่ได้ผลหรือได้ผลแค่ในระยะสั้นเท่านั้นคือเรื่อง การปราบปรามการพนัน บ่อน หวย
เรื่องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ไม่มีสีเสื้อ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 53.3 มองว่าสามารถแก้ปัญหาได้ในระยะสั้นเท่านั้น และมีถึงร้อยละ 20.0 ที่มองว่าการแก้ปัญหาดังกล่าวไม่ได้ผล เช่นเดียวกับกิจกรรมคืนความสุขให้กับคนไทยที่ร้อยละ 78.3 เห็นว่าได้ผลเพียงในระยะสั้นเท่านั้น
นักเศรษฐศาสตร์ยังเห็นว่าการดำเนินงานของ คสช.ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมายังขาดยุทธศาสตร์ ขาดกลยุทธ์ ขาดความเป็นรูปธรรมในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และขาดที่ปรึกษาที่เยี่ยมยอดจึงอาจทำให้ปัญหาที่กำลังแก้อยู่ในปัจจุบันจะกลับมาอีกในอนาคต
ดังนั้น การทำงานในช่วงแผนปฏิรูปประเทศระยะที่ 2 คสช.จึงควรวางยุทธศาสตร์การปฏิรูปที่ชัดเจน มุ่งแก้ทุกปัญหาอย่างยั่งยืนเพื่อให้การปฏิรูปสำเร็จตามที่ประชาชนคาดหวัง”
จะมองว่านั่นเป็นการเตือน การติง หรืออะไรก็สุดแล้วแต่ ถ้าไม่ยึดติด เชื่อมั่นในอำนาจ หลงคำป้อยอ เพลงชื่นชมมากเกินไป ก็ต้องระวัง เพราะการได้อำนาจมานั้นไม่ยาก แต่การรักษาอำนาจไว้บนกระแสความนิยมของประชาชนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ทำให้คนหวังแต่แรกว่าจะเป็นคนรักชาติ เป็นวีรบุรุษ ต้องจบเห่ไม่สวยแบบทรราชล้มเหลวก็เยอะแล้วในประวัติศาสตร์การเมือง...คสช. ไม่ต้องกังวลกับองค์กรเสรีไทยของ 2 หนุ่มเฒ่าพฤติกรรมเพี้ยนว่าจะมีอำนาจตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในต่างแดนได้สำเร็จ
พฤติกรรมสุดท้ายของผู้กุมอำนาจ การทรยศต่อประชาชนนั่นแหละ จะเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุด จะมีประชาชนขย้ำซ้ำเติม การไต่เส้นลวดของ คสช. ช่วงนี้ยังต้องระวังให้มาก มองลงไปแล้วก็เห็นๆ ว่าไม่มีตาข่ายหรือเบาะนุ่มๆ รองรับ เป็นหุบเหวลึกทั้งนั้น
ยังดีที่ยังไม่คิดควบคุมสื่ออย่างจริงจัง การตั้งตำรวจมาดูแลสื่อ แยกให้หน่วยงานต่างๆ นั้นระวังจะเป็นจุดหักเหของกระแสความนิยม เพราะไม่มีหนทางปิดกั้นได้เด็ดขาด เว้นแต่จะใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ เสี่ยงกับการสูญเสียพลังของฐานรากสำคัญต่อการคงอยู่
ใช้ตำรวจทำงานแบบนี้ คสช. ไม่กลัวโดนวางยาเรอะ...ยิ่งยังไม่มีการปฏิรูปสื่ออย่างจริงจัง สื่อชั่วร้ายยังอยู่พร้อมหน้า สื่อที่ควรจะเก็บไว้เป็นมิตรยังโดนปิดกั้น เพียงแค่นี้ก็ทำให้ถูกประเมินว่าการแยกมิตร ศัตรูนั้นได้ทำอย่างรอบคอบแล้วหรือไม่
ต้องแยกให้ถูกด้วยระหว่างเสียงถามธรรมดา เสียงติง เสียงเตือน หรือเสียงโจมตี...