"จารุพงศ์" ให้สัมภาษณ์สื่ออเมริกา ผ่านสไกป์ จากที่หลบซ่อนในเมื่อวันพุธ (25มิ.ย.) เรียกร้อง"ประยุทธ์" อธิบายเหตุผลกับผู้ที่ต่อต้านรัฐประหาร เพื่อความสงบสุขของประเทศ ประกาศกร้าว จะกำจัดรัฐบาลทหารของไทยด้วยสันติวิธีอย่างเช่นคานธี และทะไลลามะ ขณะเดียวกันก็อ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากต่างแดน ด้านรักษาการผบ.ตร. ประสานตำรวจสากล ล่าตัว "จารุพงศ์-จักรภพ" ยอมรับตามยาก เพราะไหวตลอด พร้อมประสานเขมร ที่ตำรวจสากล ยังเข้าไม่ถึงช่วยชี้เป้าให้ตำรวจล็อกตัว ขณะที่กองทัพไทย เปิดอกกับ “โจนาธาน เฮด” ยันยึดอำนาจล่าสุด ไม่มีเตี๊ยมล่วงหน้า หลังกำนันสุเทพรั่ว “ปรึกษาบิ๊กตู่ล้มปูหลายครั้ง” ขณะที่ สหรัฐฯ คอนเฟิร์ม ไม่ย้ายที่ฝึก"คอบร้าโกลด์" ไปที่ออสเตรเลีย ยังใช้กำหนดการเดิมทุกอย่าง ส่วนเรื่องเงินช่วยเหลือ คาดจะได้รับตามเดิมเมื่อมีรัฐบาล ส่วนท่าที "อียู"บอยคอต คงไม่ถาวร หากได้รับการชี้แจงเชื่อว่าจะดีขึ้น ยันไม่ได้เปลี่ยนท่าทีด้านต่างประเทศหันไปหาจีน
หนึ่งวันหลังจากจัดตั้งขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารในนาม“องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย”นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรมว.มหาดไทย ภายใต้รัฐบาลที่ถูกโค่นอำนาจ ให้สัมภาษณ์กับวอยซ์ออฟอเมริกา เรียกร้องให้หัวหน้าคณะรัฐประหาร พูดคุยกับเขา
นายจารุพงศ์ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. ควรชี้แจงเหตุผลกับพวกที่คัดค้านรัฐประหาร เพื่อความสันติสุขของประเทศ และเพื่อประโยชน์ของคนไทยทุกคน และกล่าวกับวอยซ์ออฟอเมริกา ด้วยว่า ชัยชนะอย่างแท้จริงในการขจัดรัฐบาลทหารของไทยชุดล่าสุด อาจต้องใช้เวลานาน แต่เขาจะไล่ตามเป้าหมายนั้นผ่านแนวทางที่ปราศจากความรุนแรงอย่างเช่น คานธี และ ทะไลลามะ
ในการให้สัมภาษณ์ผ่านสไกป์ เป็นเวลาราว 45 นาที นายจารุพงศ์ บอกกับวอยซ์ออฟอเมริกานิวส์ จากแหล่งซ่อนตัวนอกประเทศไทยในวันพุธ (25 มิ.ย.) ว่าจะไม่เปิดเผยถึงแหล่งหลบซ่อนตัว เนื่องจากเกรงว่าชีวิตจะตกอยู่ในอันตราย หลังจากก่อนหน้านี้ เขาขัดขืนคำสั่งเข้ารายงานต่อ คณะรัฐประหาร จนถูกทหารพิจารณาว่า เป็นผู้หลบหนี และได้มีการตั้งทีมพิเศษขึ้นมาเพื่อควานหาตัวเขาโดยเฉพาะ
นายจารุพงศ์ ยังบอกด้วยว่า ทางกลุ่มไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องหลบหนีอยู่ในต่างแดนมานานหลายปี นับตั้งแต่ถูกรัฐประหาร เมื่อปี คศ. 2006 และเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินแก่พรรค จนชนะศึกเลือกตั้งทั่วไปทุกครั้ง นับตั้งแต่ปี 2001
ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับวอยซ์ออฟอเมริกา นายจารุพงศ์ คร่ำครวญว่า ด้วยที่ต้องเผชิญหน้ากับปืน และกระสุนที่ครอบครองโดยกองทัพ ดังนั้นองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยของเขา จึงไม่สามารถต่อสู้เพียงลำพัง และจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากต่างแดน
นอกจากนี้แล้ว นายจารุพงศ์ ยังไม่ยอมรับผลสำรวจความคิดเห็นของสำนักโพลแห่งหนึ่ง ที่จัดทำเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่พบว่า รัฐประหารครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง และประชาชนส่วนใหญ่อยากเห็น พล.อ.ประยุทธ์ นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
นักการเมืองรายนี้บอกว่า มันเป็นโพลที่น่าขันสิ้นดี และสะท้อนถึงสภาวะแห่งความกลัวของคนไทย ที่ทุกวันนี้ไม่กล้าที่แสดงความคิดเห็นที่แท้จริง พร้อมตั้งคำถามว่า หากผู้บัญชาการทหารบกมั่นใจในคะแนนนิยมของตนเอง ทำไมถึงไม่จัดเลือกตั้งโดยเร็ว
ในเรื่องนี้ วอยซ์ออฟอเมริกา รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่าคงไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ภายใน 1 ปี หรืออาจมากกว่านั้น จนกว่ากระบวนการปฏิรูปอย่างกว้างขวางจะเสร็จสมบูรณ์
**ประสานตร.สากล ล่า"จารุพงศ์-จักรภพ"
วานนี้ (26 มิ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.อ.ทรงพล วัธนะชัย รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยถึงการติดตามอดีตนักการเมือง ทั้งกรณี นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ นายจักรภพ เพ็ญแข ที่ไปตั้งกลุ่มเสรีไทยฯ ต่อต้าน คสช. ที่ต่างประเทศ ว่า ทางรักษาการ ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบเรื่องนี้ และได้มีการประชุมทีมกฎหมาย โดยมี พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณากรณี การตั้งองค์กรเสรีไทยของอดีตนักการเมืองเหล่านี้ว่า จะผิดกฎหมายใดหรือไม่ ถ้าผิดก็ต้องเร่งดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวถามว่าการต่อตั้งองค์กรเสรีไทยในต่างประเทศ จะสามารถติดตามตัวได้อย่างไร พ.ต.อ.ทรงพล กล่าวว่า ก็ต้องดูก่อนว่าประเทศที่ถูกอ้างว่าบุคคลเหล่านี้ไปอยู่ มีกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศไทยหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องทำไปตามกระบวนการ คือ พนักงานสอบสวนส่งเรื่องไปที่อัยการสูงสุด และอัยการสูงสุด ก็จะดำเนินการผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อติดตามบุคคลเหล่านี้
เมื่อถามว่า จะมีขั้นตอนลัดให้รวดเร็วกว่านี้ เพื่อไม่ให้บุคคลเหล่านี้หนีไปประเทศอื่นอีกหรือไม่ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 กล่าวว่า ต้องไปตามขั้นตอนนี้ เพราะมีระเบียบอยู่ อย่างไรก็ตาม อยากให้เข้าใจว่าการติดตามคนในต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขามีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด
"แต่ปกติเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว ในการประสานกับตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โพลล์ ประเทศต่างๆ อยู่แล้ว เพื่อให้ช่วยติดตามบุคคลที่หลบหนีอยู่ แต่บางประเทศที่ไม่มีอินเตอร์โพลล์ อย่างกัมพูชา เราอาจประสานขอให้เขาช่วยชี้เป้าให้ เจ้าหน้าที่ก็จะเข้าไปล็อกตัว เหมือนกรณีที่คนต่างประเทศหนีคดีจากประเทศเขามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย เราก็ช่วยชี้เป้าให้จนจับกุมได้" พ.ต.อ.ทรงพล กล่าว
**ยันยึดอำนาจไม่มีเตี๊ยมล่วงหน้า
บีบีซี สื่ออังกฤษ รายงานสัมภาษณ์พิเศษ พล.ท.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข รองเสนาธิการทหารบก เมื่อวานนี้ (26มิ.ย.) ถึงข่าววางแผนทำรัฐประหาร หลังมีกระแสข่าวออกมาจากผู้นำกลุ่มกปปส. อ้างว่า ทางกองทัพได้มีการปรึกษาหารือล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ล่วงหน้าเป็นปี นอกจากนี้พล.ท.ฉัตรเฉลิม ยังให้ข้อมูลว่า สำหรับผู้ที่ถูกคุมตัวตามประกาศของคสช. หลังจากการทำรัฐประหารนั้น ได้รับการปฎิบัติอย่างดี และพลโทฉัตรเฉลิมยังย้ำว่า อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว สามารถเดินทางกลับไทยได้ทุกเมื่อ
กองทัพไทยภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำรัฐประหารในวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา จากเหตุผลเพื่อคืนเสถียรภาพกลับคืนสู่สังคมไทย หลังจากเกิดความไม่สงบทางการเมืองมานานร่วมเกือบครึ่งปี และทางคสช.ที่ปัจจุบันถิออำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ สัญญาที่จะให้มีการเลือกตั้งขึ้นอีกครั้ง เพื่อนำประเทศกลับเข้าสู่โหมดประชาธิปไตย แต่ต้องภายหลังจากจัดให้มีการปฎิรูประบบการเมืองครั้งใหญ่เสียก่อน
ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร กล่าวว่า ทางกองทัพต้องก้าวเข้ามาแทรกแซงในนาทีท้ายที่สุดเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ไทยก้าวเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมือง อย่างไรก็ตาม ในการสัมภาษณ์ล่าสุดของผู้นำกลุ่มกปปส. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่สนับสนุนกองทัพไทยทำรัฐประหาร พบว่า สุเทพ อ้างว่าได้หารือเรื่องการล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ของพรรคเพื่อไทย กับพล.อ.ประยุทธ์หลายครั้ง ในระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้
พล.ท.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข ให้สัมภาษณ์กับโจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวบีบีซีว่า “จากเท่าที่ผมรู้ ไม่มีการเตรียมการวางแผนล่วงหน้า” และเสริมว่า “หากมีการวางแผนล่วงหน้า ถือว่าผิดกฏหมาย แต่ถ้าหากสงสัยว่าทำไมจึงทำการยึดอำนาจได้อย่างราบรื่น คงเป็นเพราะกองกำลังได้ออกไปควบคุมพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเมื่อมีการประกาศใช้กฏอัยการศึกขึ้น กองกำลังผสมระหว่างทหารและตำรวจ ได้อยู่ประจำจุด”
และตั้งแต่มีการทำรัฐประหาร ทางกองทัพได้ควบคุมกลุ่มคนหลายร้อยคนที่มีปฎิกริยาต่อต้านกองทัพ โดยพล.ท.ฉัตรเฉลิม ยืนยันว่า สถานที่กักขังกลุ่มคนเหล่านี้ คล้ายกับเกสต์เฮาส์ ไม่ใช่สถานกักกันหรือเรือนจำแต่อย่างใด “ไม่มีขดลวดสนามขึงรอบ และทางกองทัพได้นำกลุ่มสิทธิมนุษยชนเข้าเยี่ยมชมสถานที่คุมตัวบุคคลทางการเมืองเหล่านี้ ทางกองทัพทำถึงกระทั่งเผยแพร่ภาพถ่ายสถานที่ และบุคคลในรายการโทรทัศน์ และได้ถ่ายทอดการสัมภาษณ์ของบุคคลที่ถูกจับกุมผ่านสื่อ ทุกคนล้วนพอในในสิ่งนี้”
นอกจากนี้พล.ท.ฉัตรเฉลิม ยังชี้ว่า มีแนวโน้มที่ทางกองทัพจะผ่อนผันโทษต่อกลุ่มคนที่ถูกจับกุม “เมื่อขึ้นสู่ศาลไม่ว่าจะเป็นศาลพลเรือน หรือศาลทหาร จะไม่มีการลงโทษอย่างเข้มงวด” พล.ท.ฉัตรเฉลิมเปิดเผย
ทั้งนี้กลุ่มกดดันทางการเมืองที่สนับสนุนกองทัพ ระบุว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ถูกยึดอำนาจนั้นแท้จริงถูกควบคุมโดยทักษิณ ชินวัตร พี่ชายมหาเศรษฐีหมื่นล้านของเธอ ที่ลี้ภัยอยู่ในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในขณะนี้ หลังจากถูกศาลตัดสิ้นในคดีคอร์รัปชัน
ตระกูลชินวัตรของทักษิณ มีฐานคะแนนนิยมทางการเมืองที่เข้มแข็งในเขตชนบททางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ที่ส่งให้พรรคการเมืองของทักษิณชนะการเลือกตั้งติดต่อกันตั้งแต่สมัยแรก อย่างไรก็ตาม ชนชันกลาง และกลุ่มสังคมคนเมืองต่างเอือมระอาทักษิณ และพรรคของเขาในการใช้เงินซื้อประชาธิปไตยเพื่อขึ้นสู่อำนาจ และถึงแม้จะเป็นเช่นนี้แต่ รองเสนาธิการทหารบก และสมาชิกของคสช. ยังยืนยันว่า ทักษิณยังสามารถหวนกลับมาสู่แวดวงการเมืองไทยได้หลังจากมีการปฎิรูปเสร็จสิ้นแล้ว
“เมื่อเราได้เข้าสู่เฟสสุดท้าย พร้อมกับมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ กระบวนการปฎิรูปจะเสร็จสมบูรณ์ ใครก็ตามที่เป็นพลเมืองไทย และมีคุณสมบัติครบถ้วนสามารถเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งครอบครัวของทักษิณ ชินวัตร คุณจะได้เห็นถึงวิธีการจัดการของทางคสช. เราไม่ได้ตามไล่ล่าทักษิณอย่างที่เคยทำก่อนหน้านี้ ทักษิณมีอิสระที่จะทำสิ่งใดก็ได้ เราต้องการเห็นเขาเดินทางกลับประเทศ และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และหากทักษิณมั่นใจว่าบริสุทธิจริง เขาสามารถกลับเข้าสู่แวดวงการเมืองหลังจากหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาคอรัปชันแล้ว”
ในต้นสัปดาห์นี้ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรมว.มหาดไทย ภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่หลบหนีคำสั่งรายงานตัว ได้เปิดเผยกับสื่อนอกว่า เขาได้จัดตั้งกลุ่ม“องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย” เพื่อต่อต้านคสช.
**ยันสหรัฐไม่ยกเลิกฝึกคอบร้าโกลด์
เมื่อวานนี้ (26 มิ.ย.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.วินธัย สุวารี ทีมงานโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณี นายสกอต มาร์เชล เจ้าหน้าที่การทูตระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ที่เข้าชี้แจงสถานการณ์การเมืองไทย ต่อคณะอนุกรรมการฝ่ายกิจการต่างประเทศ ประจำสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกา ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี ว่า เป็นความเห็นเพียงท่านเดียวเท่านั้นที่พูดถึงท่าทีให้สหรัฐฯ ทบทวนระงับความร่วมมือต่างๆ ทันที ร่วมถึงเรื่องการฝึกซ้อมในกรอบทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯ กับไทย (คอบร้าโกลด์) ซึ่งตนมองว่า ผู้ที่พูดอาจรับข้อมูลประเทศไทยไม่เพียงพอ และได้ให้ความเห็นว่า หากประเทศไทยยังไม่เรียบร้อยก็อาจจะให้ไปดูสถานที่ฝึกคอบร้าโกลด์ในสถานที่อื่น
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความเรียบร้อย ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศ ได้ประสานชี้แจงสหรัฐฯ ด้วยวาจาและเอกสาร และเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตสหรัฐฯได้เข้าพบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ในฐานะรองหัวหน้า คสช. เช่นเดียวกัน
เมื่อถามกรณีสหรัฐฯได้ระงับความช่วยเหลือที่เกี่ยวเนื่องกับงานด้านความมั่นคงให้กับประเทศไทยไปแล้ว 4.7 ล้านดอลลาร์ (ราว 150 ล้านบาท) พ.อ.วินธัย กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นมาตรการปกติ และเป็นระเบียบปฏิบัติสำหรับประเทศที่มีการควบคุมอำนาจการปกครอง ทั้งนี้ เชื่อว่า ภายหลังการทำความเข้าใจทุกอย่างจะดีขึ้น และเชื่อว่าระยะต่อไปสหรัฐฯ อาจจะมีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงได้
ส่วนท่าทีของกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ทีอาจจะต้องขอชะลอในการที่จะเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการนั้น ปกติการเดินทางมาเยือน ก็ไม่ได้มีกันบ่อย ซึ่งมาตรการและการชะลอการลงนามข้อตกลงความร่วมมือในทุกมิติ อาจจะขอชะลอจนกว่าจะมีประชาธิปไตยโดยสมบรูณ์ ในทั้ง 2 ส่วนนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่ท่าทีที่ถาวร เป็นแค่เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น และไม่มีส่วนในเรื่องของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ เราต้องทำความเข้าในเรื่องของอียู ใน 3 ลักษณะ คือ 1. ข้อกังวล ซึ่งก็เป็นข้อกังวลพื้นฐานทั่วไป เช่น อยากให้เข้าสู่ระบบประชาธิปไตยโดยสมบรูณ์ โดยเร็ว 2.ไม่อยากให้มีการละเมิดสิทธิ์มนุษยชนต่อผู้ที่คิดเห็นทางการเมือง และ 3. อยากจะให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว ซึ่งในเรื่องของการคืนประชาธิปไตยที่สมบรูณ์นั้น ในส่วนของประชาธิปไตย ถือว่าตั้งแต่คสช.เข้ามาเพื่อรักษาประชาธิปไตยโดยเฉพาะ เพื่อให้มีความสมบรูณ์มากยิ่งขึ้น และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ในมุมมองที่เหมือนกัน เพราะแต่ก่อนนั้นมองคนละมุม ต่อไปเป็นการเลือกตั้ง ทางคสช.ได้กำหนดกรอบไว้เรียบร้อยแล้ว ที่แบ่งออกเป็นระยะๆ 3 ระยะ เพราะฉะนั้นทั้งหมดเราได้มีข้อมูลอยู่แล้วทั้งหมด
"จากการติดตามจากสื่อ มีเพียงสหรัฐฯ กลุ่มอียู ที่อาจยังรับทราบข้อมูลไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ในปัจจุบันของประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องของความสงบเรียบร้อย ที่ปัจจุบันนี้เรามีความเรียบร้อย ประชาชนมีความพึ่งพอใจ และความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่มีแล้ว ความวุ่นวายในบ้านเมืองก็ไม่มี ในส่วนสภาพเศรษฐกิจ ก็สามารถเดินต่อไปได้ ความเดือดร้อนของประชาชนก็ได้รับความแก้ไข ซึ่งต้องแยกออกเป็นประเด็นไปตามข้อสงสัย อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติของคสช. ต่อผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง ในการดำเนินการ ไม่ใช้การดำเนินการอย่างคนที่ผู้กระทำความผิด แต่ดำเนินการในลักษณะผู้ที่เป็นมิตรต่อกัน เราคนไทยมีความโอบอ้อมอารีต่อกัน พูดคุยกันด้วยเหตุผลรู้เรื่อง ยืนยันว่าตั้งแต่ คสช. ตั้งขึ้นมา เราไม่เคยละเมิดสิทธิ์มนุษยชน และเราก็ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก" ทีมโฆษก คสช. กล่าว
ต่อมา พ.อ.วินธัย ให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึง กระแสข่าวที่ระบุว่า สหรัฐฯ จะยกเลิกการฝึกทหารร่วมผสมประจำปี 2558 หรือ คอบร้าโกลด์ 2015 ในประเทศไทย ว่า ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งเปลี่ยนแปลงรายละเอียด หรือแจ้งยกเลิกมาอย่างเป็นทางการ จึงไม่อยากให้ตีความกันจนเกิดความสับสน เนื่องจากกำหนดการฝึกร่วมนั้นอยู่ในช่วงเดือน ก.พ . 58
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา ตนได้รับแจ้งจากทีมประสานงานคอบร้าโกลด์ฝ่ายไทยว่า พ.ท. Lumpy Lumbaca ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการร่วมทางการทหารสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย (Jasmagthai)ได้อีเมลล์ประสานงานเบื้องต้นมาแจ้งยืนยันใน 3 ประเด็น คือ 1. การฝึกร่วมผสมคอบร้าโกลด์ 2015 ไม่มีการยกเลิก 2. การฝึกร่วมผสมคอบร้าโกลด์ 2015 ไม่ได้ย้ายไปทำการฝึกที่ประเทศออสเตรเลีย และ 3. แผนการตรวจภูมิประเทศและการประชุมวางแผนขั้นต้นการฝึกร่วมผสมคอบร้าโกลด์ 2015 ยังคงตามตามกำหนดการเดิม ในวันที่ 25 ก.ค.ถึง 8 ส.ค.นี้ ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1
ส่วนกรณีการตัดงบประมาณช่วยเหลือด้านความมั่นคงจากประเทศสหรัฐอเมริกานั้น พ.อ.วินธัย กล่าวว่า เรื่องนี้ก็ยังไม่มีการแจ้งอย่างเป็นทางการใดๆ มา ทั้งนี้ตามปกติแล้วประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีการให้งบประมาณช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่ประเทศไทยไม่เกิน 10 ล้านเหรียญต่อปี ซึ่งในปี 2557 ก็ได้อนุมัติมา 4.7 ล้านเหรียญ แต่ที่ผ่านมา ก็ไม่ใช้เต็มวงเงินงบประมาณ
"เป็นเรื่องปกติ ที่อาจจะมีการชะลอการอนุมัติงบประมาณส่วนนี้ เพราะคงไม่มีที่ใดต้องการให้งบประมาณมาสนับสนุนในช่วงที่มีการรัฐประหาร แต่หลังจากที่สถานการณ์ภายในปกติ มีรัฐบาล ก็เชื่อว่าความช่วยเหลือต่างๆ ก็จะกลับมาเหมือนเดิม" พ.อ.วินธัย ระบุ
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า นโยบายของ คสช.เปลี่ยนท่าทีไปกระชับความสัมพันธ์กับจีน มากกว่าสหรัฐฯ นั้น พ.อ.วินธัย กล่าวว่า มีหลายภาคส่วนประเมินไปเอง คสช. พยายามปรับให้ท่าทีทุกประเทศเข้าใจเป้าหมายของ คสช.ให้ตรงกัน ขอปฏิเสธว่า เรื่องปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศยังไม่มี
**"ประจิน"ต้อนรับเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้
เวลา 10.30 น.วานนี้ ณ ห้องรับรองพิเศษ 1 กองบัญชาการกองทัพอากาศ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) และรองหัวหน้าคสช.ด้านเศรษฐกิจ ได้ให้การต้อนรับ นายจอน แจ-มัน (H.E.Mr.Joen Jae-man) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย และคณะ ในโอกาสเข้าพบหารือเกี่ยวกับแนวทางการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ระหว่างไทยและสาธารณรัฐเกาหลีใต้ โดยเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านเศรษฐกิจที่ประเทศไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 10 ของสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ถือว่าอยู่ในอันดับที่มีความสำคัญมาก
จากสถานการณ์ทางการเมืองในห้วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้เกิดผลกระทบกับการติดต่อทางด้านเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ทั้งในด้านการลงทุน และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่คสช. ได้เข้ามาบริหารจัดการ โดยใช้นโยบายคืนความสุขให้กับประชาชน จึงทำให้บรรยากาศทางการเมืองสามารถคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ได้รายงานให้รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีใต้ได้ทราบโดยตลอดและรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ก็เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ทั้งก่อนและหลังการเข้ามาของ คสช.
ในการสนทนาหารือกันครั้งนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ได้นำข้อเสนอในการที่จะส่งเสริมให้นักลงทุนชาวเกาหลีเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น รวมทั้งการชักชวนให้นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ กลับมาท่องเที่ยวในประเทศไทยให้มากเหมือนเดิม หลังจากที่จำนวนนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ลดลงไป เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากความไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางการเมือง และได้ยืนยันว่า สาธารณรัฐเกาหลีใต้จะเป็นมิตร ที่ดีกับประเทศไทยตลอดไป
ทั้งนี้ พล.อ.อ.ประจิน ได้กล่าวขอบคุณในความเข้าใจต่อสถานการณ์ของประเทศไทย และการเข้ามาของ คสช. ของรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีใต้ โดยกล่าวว่า นโยบายคืนความสุขให้กับประชาชนของคสช. มิได้หมายถึงเฉพาะประชาชนคนไทยเท่านั้น แต่รวมถึงประชาชนทุกคน และทุกชาติที่อยู่ในประเทศไทยด้วย จากการที่เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีใต้ได้ให้คำแนะนำ และข้อคิดเห็นต่างๆ นับว่าเป็นประโยชน์และจะรับไปประสานงานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ ทั้งในเรื่องของการลงทุน การท่องเที่ยว และการประกอบธุรกิจทั่วไป ถึงแม้ว่าในช่วงเวลาปัจจุบัน ประเทศไทยจะอยู่ในช่วงเวลาพิเศษทางการบริหาร แต่การใช้ชีวิตประจำวันทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศ ยังคงดำเนินไปได้อย่างปกติ มีความปลอดภัย และมีความสะดวกสบายตามที่ควรจะเป็น จึงขอให้มั่นใจในประเทศไทย และเชื่อใจในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่จะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ในเวลาไม่นานนี้
**ผบ.สส.เดินทางเยือนมาเลเซีย
เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) ได้เดินทางเยือนประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกองทัพมาเลเซีย โดยเข้าเยี่ยมคำนับรมช.กลาโหมมาเลเซีย และผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซีย เพื่อหารือข้อราชการและแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น
การเดินทางเยือนกองทัพมาเลเซียในครั้งนี้ เพื่อยืนยันความร่วมมือที่แน่นแฟ้น และมิตรภาพที่ดี ระหว่างประเทศไทย และมาเลเซีย ที่มีต่อกันมาอย่างยาวนาน ทั้งสองฝ่ายได้หารือความร่วมมือด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน การช่วยเหลือผู้ประสบภัยของอาเซียน การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การบรรเทาภัยพิบัติ ความร่วมมือของคณะกรรมการด้านความมั่นคงชายแดน ไทย-มาเลเซียในทุกระดับ ตลอดจนการขยายความร่วมมือการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และการค้ามนุษย์ ไปสู่ระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ มาเลเซียเข้าใจสถานการณ์ในไทยเป็นอย่างดี และพร้อมที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันเช่นเดิม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของทั้งสองประเทศตลอดไป
หนึ่งวันหลังจากจัดตั้งขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารในนาม“องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย”นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรมว.มหาดไทย ภายใต้รัฐบาลที่ถูกโค่นอำนาจ ให้สัมภาษณ์กับวอยซ์ออฟอเมริกา เรียกร้องให้หัวหน้าคณะรัฐประหาร พูดคุยกับเขา
นายจารุพงศ์ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. ควรชี้แจงเหตุผลกับพวกที่คัดค้านรัฐประหาร เพื่อความสันติสุขของประเทศ และเพื่อประโยชน์ของคนไทยทุกคน และกล่าวกับวอยซ์ออฟอเมริกา ด้วยว่า ชัยชนะอย่างแท้จริงในการขจัดรัฐบาลทหารของไทยชุดล่าสุด อาจต้องใช้เวลานาน แต่เขาจะไล่ตามเป้าหมายนั้นผ่านแนวทางที่ปราศจากความรุนแรงอย่างเช่น คานธี และ ทะไลลามะ
ในการให้สัมภาษณ์ผ่านสไกป์ เป็นเวลาราว 45 นาที นายจารุพงศ์ บอกกับวอยซ์ออฟอเมริกานิวส์ จากแหล่งซ่อนตัวนอกประเทศไทยในวันพุธ (25 มิ.ย.) ว่าจะไม่เปิดเผยถึงแหล่งหลบซ่อนตัว เนื่องจากเกรงว่าชีวิตจะตกอยู่ในอันตราย หลังจากก่อนหน้านี้ เขาขัดขืนคำสั่งเข้ารายงานต่อ คณะรัฐประหาร จนถูกทหารพิจารณาว่า เป็นผู้หลบหนี และได้มีการตั้งทีมพิเศษขึ้นมาเพื่อควานหาตัวเขาโดยเฉพาะ
นายจารุพงศ์ ยังบอกด้วยว่า ทางกลุ่มไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องหลบหนีอยู่ในต่างแดนมานานหลายปี นับตั้งแต่ถูกรัฐประหาร เมื่อปี คศ. 2006 และเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินแก่พรรค จนชนะศึกเลือกตั้งทั่วไปทุกครั้ง นับตั้งแต่ปี 2001
ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับวอยซ์ออฟอเมริกา นายจารุพงศ์ คร่ำครวญว่า ด้วยที่ต้องเผชิญหน้ากับปืน และกระสุนที่ครอบครองโดยกองทัพ ดังนั้นองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยของเขา จึงไม่สามารถต่อสู้เพียงลำพัง และจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากต่างแดน
นอกจากนี้แล้ว นายจารุพงศ์ ยังไม่ยอมรับผลสำรวจความคิดเห็นของสำนักโพลแห่งหนึ่ง ที่จัดทำเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่พบว่า รัฐประหารครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง และประชาชนส่วนใหญ่อยากเห็น พล.อ.ประยุทธ์ นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
นักการเมืองรายนี้บอกว่า มันเป็นโพลที่น่าขันสิ้นดี และสะท้อนถึงสภาวะแห่งความกลัวของคนไทย ที่ทุกวันนี้ไม่กล้าที่แสดงความคิดเห็นที่แท้จริง พร้อมตั้งคำถามว่า หากผู้บัญชาการทหารบกมั่นใจในคะแนนนิยมของตนเอง ทำไมถึงไม่จัดเลือกตั้งโดยเร็ว
ในเรื่องนี้ วอยซ์ออฟอเมริกา รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่าคงไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ภายใน 1 ปี หรืออาจมากกว่านั้น จนกว่ากระบวนการปฏิรูปอย่างกว้างขวางจะเสร็จสมบูรณ์
**ประสานตร.สากล ล่า"จารุพงศ์-จักรภพ"
วานนี้ (26 มิ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.อ.ทรงพล วัธนะชัย รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยถึงการติดตามอดีตนักการเมือง ทั้งกรณี นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ นายจักรภพ เพ็ญแข ที่ไปตั้งกลุ่มเสรีไทยฯ ต่อต้าน คสช. ที่ต่างประเทศ ว่า ทางรักษาการ ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบเรื่องนี้ และได้มีการประชุมทีมกฎหมาย โดยมี พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณากรณี การตั้งองค์กรเสรีไทยของอดีตนักการเมืองเหล่านี้ว่า จะผิดกฎหมายใดหรือไม่ ถ้าผิดก็ต้องเร่งดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวถามว่าการต่อตั้งองค์กรเสรีไทยในต่างประเทศ จะสามารถติดตามตัวได้อย่างไร พ.ต.อ.ทรงพล กล่าวว่า ก็ต้องดูก่อนว่าประเทศที่ถูกอ้างว่าบุคคลเหล่านี้ไปอยู่ มีกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศไทยหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องทำไปตามกระบวนการ คือ พนักงานสอบสวนส่งเรื่องไปที่อัยการสูงสุด และอัยการสูงสุด ก็จะดำเนินการผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อติดตามบุคคลเหล่านี้
เมื่อถามว่า จะมีขั้นตอนลัดให้รวดเร็วกว่านี้ เพื่อไม่ให้บุคคลเหล่านี้หนีไปประเทศอื่นอีกหรือไม่ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 กล่าวว่า ต้องไปตามขั้นตอนนี้ เพราะมีระเบียบอยู่ อย่างไรก็ตาม อยากให้เข้าใจว่าการติดตามคนในต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขามีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด
"แต่ปกติเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว ในการประสานกับตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โพลล์ ประเทศต่างๆ อยู่แล้ว เพื่อให้ช่วยติดตามบุคคลที่หลบหนีอยู่ แต่บางประเทศที่ไม่มีอินเตอร์โพลล์ อย่างกัมพูชา เราอาจประสานขอให้เขาช่วยชี้เป้าให้ เจ้าหน้าที่ก็จะเข้าไปล็อกตัว เหมือนกรณีที่คนต่างประเทศหนีคดีจากประเทศเขามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย เราก็ช่วยชี้เป้าให้จนจับกุมได้" พ.ต.อ.ทรงพล กล่าว
**ยันยึดอำนาจไม่มีเตี๊ยมล่วงหน้า
บีบีซี สื่ออังกฤษ รายงานสัมภาษณ์พิเศษ พล.ท.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข รองเสนาธิการทหารบก เมื่อวานนี้ (26มิ.ย.) ถึงข่าววางแผนทำรัฐประหาร หลังมีกระแสข่าวออกมาจากผู้นำกลุ่มกปปส. อ้างว่า ทางกองทัพได้มีการปรึกษาหารือล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ล่วงหน้าเป็นปี นอกจากนี้พล.ท.ฉัตรเฉลิม ยังให้ข้อมูลว่า สำหรับผู้ที่ถูกคุมตัวตามประกาศของคสช. หลังจากการทำรัฐประหารนั้น ได้รับการปฎิบัติอย่างดี และพลโทฉัตรเฉลิมยังย้ำว่า อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว สามารถเดินทางกลับไทยได้ทุกเมื่อ
กองทัพไทยภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำรัฐประหารในวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา จากเหตุผลเพื่อคืนเสถียรภาพกลับคืนสู่สังคมไทย หลังจากเกิดความไม่สงบทางการเมืองมานานร่วมเกือบครึ่งปี และทางคสช.ที่ปัจจุบันถิออำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ สัญญาที่จะให้มีการเลือกตั้งขึ้นอีกครั้ง เพื่อนำประเทศกลับเข้าสู่โหมดประชาธิปไตย แต่ต้องภายหลังจากจัดให้มีการปฎิรูประบบการเมืองครั้งใหญ่เสียก่อน
ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร กล่าวว่า ทางกองทัพต้องก้าวเข้ามาแทรกแซงในนาทีท้ายที่สุดเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ไทยก้าวเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมือง อย่างไรก็ตาม ในการสัมภาษณ์ล่าสุดของผู้นำกลุ่มกปปส. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่สนับสนุนกองทัพไทยทำรัฐประหาร พบว่า สุเทพ อ้างว่าได้หารือเรื่องการล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ของพรรคเพื่อไทย กับพล.อ.ประยุทธ์หลายครั้ง ในระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้
พล.ท.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข ให้สัมภาษณ์กับโจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวบีบีซีว่า “จากเท่าที่ผมรู้ ไม่มีการเตรียมการวางแผนล่วงหน้า” และเสริมว่า “หากมีการวางแผนล่วงหน้า ถือว่าผิดกฏหมาย แต่ถ้าหากสงสัยว่าทำไมจึงทำการยึดอำนาจได้อย่างราบรื่น คงเป็นเพราะกองกำลังได้ออกไปควบคุมพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเมื่อมีการประกาศใช้กฏอัยการศึกขึ้น กองกำลังผสมระหว่างทหารและตำรวจ ได้อยู่ประจำจุด”
และตั้งแต่มีการทำรัฐประหาร ทางกองทัพได้ควบคุมกลุ่มคนหลายร้อยคนที่มีปฎิกริยาต่อต้านกองทัพ โดยพล.ท.ฉัตรเฉลิม ยืนยันว่า สถานที่กักขังกลุ่มคนเหล่านี้ คล้ายกับเกสต์เฮาส์ ไม่ใช่สถานกักกันหรือเรือนจำแต่อย่างใด “ไม่มีขดลวดสนามขึงรอบ และทางกองทัพได้นำกลุ่มสิทธิมนุษยชนเข้าเยี่ยมชมสถานที่คุมตัวบุคคลทางการเมืองเหล่านี้ ทางกองทัพทำถึงกระทั่งเผยแพร่ภาพถ่ายสถานที่ และบุคคลในรายการโทรทัศน์ และได้ถ่ายทอดการสัมภาษณ์ของบุคคลที่ถูกจับกุมผ่านสื่อ ทุกคนล้วนพอในในสิ่งนี้”
นอกจากนี้พล.ท.ฉัตรเฉลิม ยังชี้ว่า มีแนวโน้มที่ทางกองทัพจะผ่อนผันโทษต่อกลุ่มคนที่ถูกจับกุม “เมื่อขึ้นสู่ศาลไม่ว่าจะเป็นศาลพลเรือน หรือศาลทหาร จะไม่มีการลงโทษอย่างเข้มงวด” พล.ท.ฉัตรเฉลิมเปิดเผย
ทั้งนี้กลุ่มกดดันทางการเมืองที่สนับสนุนกองทัพ ระบุว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ถูกยึดอำนาจนั้นแท้จริงถูกควบคุมโดยทักษิณ ชินวัตร พี่ชายมหาเศรษฐีหมื่นล้านของเธอ ที่ลี้ภัยอยู่ในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในขณะนี้ หลังจากถูกศาลตัดสิ้นในคดีคอร์รัปชัน
ตระกูลชินวัตรของทักษิณ มีฐานคะแนนนิยมทางการเมืองที่เข้มแข็งในเขตชนบททางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ที่ส่งให้พรรคการเมืองของทักษิณชนะการเลือกตั้งติดต่อกันตั้งแต่สมัยแรก อย่างไรก็ตาม ชนชันกลาง และกลุ่มสังคมคนเมืองต่างเอือมระอาทักษิณ และพรรคของเขาในการใช้เงินซื้อประชาธิปไตยเพื่อขึ้นสู่อำนาจ และถึงแม้จะเป็นเช่นนี้แต่ รองเสนาธิการทหารบก และสมาชิกของคสช. ยังยืนยันว่า ทักษิณยังสามารถหวนกลับมาสู่แวดวงการเมืองไทยได้หลังจากมีการปฎิรูปเสร็จสิ้นแล้ว
“เมื่อเราได้เข้าสู่เฟสสุดท้าย พร้อมกับมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ กระบวนการปฎิรูปจะเสร็จสมบูรณ์ ใครก็ตามที่เป็นพลเมืองไทย และมีคุณสมบัติครบถ้วนสามารถเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งครอบครัวของทักษิณ ชินวัตร คุณจะได้เห็นถึงวิธีการจัดการของทางคสช. เราไม่ได้ตามไล่ล่าทักษิณอย่างที่เคยทำก่อนหน้านี้ ทักษิณมีอิสระที่จะทำสิ่งใดก็ได้ เราต้องการเห็นเขาเดินทางกลับประเทศ และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และหากทักษิณมั่นใจว่าบริสุทธิจริง เขาสามารถกลับเข้าสู่แวดวงการเมืองหลังจากหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาคอรัปชันแล้ว”
ในต้นสัปดาห์นี้ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรมว.มหาดไทย ภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่หลบหนีคำสั่งรายงานตัว ได้เปิดเผยกับสื่อนอกว่า เขาได้จัดตั้งกลุ่ม“องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย” เพื่อต่อต้านคสช.
**ยันสหรัฐไม่ยกเลิกฝึกคอบร้าโกลด์
เมื่อวานนี้ (26 มิ.ย.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.วินธัย สุวารี ทีมงานโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณี นายสกอต มาร์เชล เจ้าหน้าที่การทูตระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ที่เข้าชี้แจงสถานการณ์การเมืองไทย ต่อคณะอนุกรรมการฝ่ายกิจการต่างประเทศ ประจำสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกา ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี ว่า เป็นความเห็นเพียงท่านเดียวเท่านั้นที่พูดถึงท่าทีให้สหรัฐฯ ทบทวนระงับความร่วมมือต่างๆ ทันที ร่วมถึงเรื่องการฝึกซ้อมในกรอบทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯ กับไทย (คอบร้าโกลด์) ซึ่งตนมองว่า ผู้ที่พูดอาจรับข้อมูลประเทศไทยไม่เพียงพอ และได้ให้ความเห็นว่า หากประเทศไทยยังไม่เรียบร้อยก็อาจจะให้ไปดูสถานที่ฝึกคอบร้าโกลด์ในสถานที่อื่น
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความเรียบร้อย ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศ ได้ประสานชี้แจงสหรัฐฯ ด้วยวาจาและเอกสาร และเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตสหรัฐฯได้เข้าพบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ในฐานะรองหัวหน้า คสช. เช่นเดียวกัน
เมื่อถามกรณีสหรัฐฯได้ระงับความช่วยเหลือที่เกี่ยวเนื่องกับงานด้านความมั่นคงให้กับประเทศไทยไปแล้ว 4.7 ล้านดอลลาร์ (ราว 150 ล้านบาท) พ.อ.วินธัย กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นมาตรการปกติ และเป็นระเบียบปฏิบัติสำหรับประเทศที่มีการควบคุมอำนาจการปกครอง ทั้งนี้ เชื่อว่า ภายหลังการทำความเข้าใจทุกอย่างจะดีขึ้น และเชื่อว่าระยะต่อไปสหรัฐฯ อาจจะมีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงได้
ส่วนท่าทีของกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ทีอาจจะต้องขอชะลอในการที่จะเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการนั้น ปกติการเดินทางมาเยือน ก็ไม่ได้มีกันบ่อย ซึ่งมาตรการและการชะลอการลงนามข้อตกลงความร่วมมือในทุกมิติ อาจจะขอชะลอจนกว่าจะมีประชาธิปไตยโดยสมบรูณ์ ในทั้ง 2 ส่วนนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่ท่าทีที่ถาวร เป็นแค่เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น และไม่มีส่วนในเรื่องของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ เราต้องทำความเข้าในเรื่องของอียู ใน 3 ลักษณะ คือ 1. ข้อกังวล ซึ่งก็เป็นข้อกังวลพื้นฐานทั่วไป เช่น อยากให้เข้าสู่ระบบประชาธิปไตยโดยสมบรูณ์ โดยเร็ว 2.ไม่อยากให้มีการละเมิดสิทธิ์มนุษยชนต่อผู้ที่คิดเห็นทางการเมือง และ 3. อยากจะให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว ซึ่งในเรื่องของการคืนประชาธิปไตยที่สมบรูณ์นั้น ในส่วนของประชาธิปไตย ถือว่าตั้งแต่คสช.เข้ามาเพื่อรักษาประชาธิปไตยโดยเฉพาะ เพื่อให้มีความสมบรูณ์มากยิ่งขึ้น และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ในมุมมองที่เหมือนกัน เพราะแต่ก่อนนั้นมองคนละมุม ต่อไปเป็นการเลือกตั้ง ทางคสช.ได้กำหนดกรอบไว้เรียบร้อยแล้ว ที่แบ่งออกเป็นระยะๆ 3 ระยะ เพราะฉะนั้นทั้งหมดเราได้มีข้อมูลอยู่แล้วทั้งหมด
"จากการติดตามจากสื่อ มีเพียงสหรัฐฯ กลุ่มอียู ที่อาจยังรับทราบข้อมูลไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ในปัจจุบันของประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องของความสงบเรียบร้อย ที่ปัจจุบันนี้เรามีความเรียบร้อย ประชาชนมีความพึ่งพอใจ และความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่มีแล้ว ความวุ่นวายในบ้านเมืองก็ไม่มี ในส่วนสภาพเศรษฐกิจ ก็สามารถเดินต่อไปได้ ความเดือดร้อนของประชาชนก็ได้รับความแก้ไข ซึ่งต้องแยกออกเป็นประเด็นไปตามข้อสงสัย อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติของคสช. ต่อผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง ในการดำเนินการ ไม่ใช้การดำเนินการอย่างคนที่ผู้กระทำความผิด แต่ดำเนินการในลักษณะผู้ที่เป็นมิตรต่อกัน เราคนไทยมีความโอบอ้อมอารีต่อกัน พูดคุยกันด้วยเหตุผลรู้เรื่อง ยืนยันว่าตั้งแต่ คสช. ตั้งขึ้นมา เราไม่เคยละเมิดสิทธิ์มนุษยชน และเราก็ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก" ทีมโฆษก คสช. กล่าว
ต่อมา พ.อ.วินธัย ให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึง กระแสข่าวที่ระบุว่า สหรัฐฯ จะยกเลิกการฝึกทหารร่วมผสมประจำปี 2558 หรือ คอบร้าโกลด์ 2015 ในประเทศไทย ว่า ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งเปลี่ยนแปลงรายละเอียด หรือแจ้งยกเลิกมาอย่างเป็นทางการ จึงไม่อยากให้ตีความกันจนเกิดความสับสน เนื่องจากกำหนดการฝึกร่วมนั้นอยู่ในช่วงเดือน ก.พ . 58
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา ตนได้รับแจ้งจากทีมประสานงานคอบร้าโกลด์ฝ่ายไทยว่า พ.ท. Lumpy Lumbaca ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการร่วมทางการทหารสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย (Jasmagthai)ได้อีเมลล์ประสานงานเบื้องต้นมาแจ้งยืนยันใน 3 ประเด็น คือ 1. การฝึกร่วมผสมคอบร้าโกลด์ 2015 ไม่มีการยกเลิก 2. การฝึกร่วมผสมคอบร้าโกลด์ 2015 ไม่ได้ย้ายไปทำการฝึกที่ประเทศออสเตรเลีย และ 3. แผนการตรวจภูมิประเทศและการประชุมวางแผนขั้นต้นการฝึกร่วมผสมคอบร้าโกลด์ 2015 ยังคงตามตามกำหนดการเดิม ในวันที่ 25 ก.ค.ถึง 8 ส.ค.นี้ ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1
ส่วนกรณีการตัดงบประมาณช่วยเหลือด้านความมั่นคงจากประเทศสหรัฐอเมริกานั้น พ.อ.วินธัย กล่าวว่า เรื่องนี้ก็ยังไม่มีการแจ้งอย่างเป็นทางการใดๆ มา ทั้งนี้ตามปกติแล้วประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีการให้งบประมาณช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่ประเทศไทยไม่เกิน 10 ล้านเหรียญต่อปี ซึ่งในปี 2557 ก็ได้อนุมัติมา 4.7 ล้านเหรียญ แต่ที่ผ่านมา ก็ไม่ใช้เต็มวงเงินงบประมาณ
"เป็นเรื่องปกติ ที่อาจจะมีการชะลอการอนุมัติงบประมาณส่วนนี้ เพราะคงไม่มีที่ใดต้องการให้งบประมาณมาสนับสนุนในช่วงที่มีการรัฐประหาร แต่หลังจากที่สถานการณ์ภายในปกติ มีรัฐบาล ก็เชื่อว่าความช่วยเหลือต่างๆ ก็จะกลับมาเหมือนเดิม" พ.อ.วินธัย ระบุ
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า นโยบายของ คสช.เปลี่ยนท่าทีไปกระชับความสัมพันธ์กับจีน มากกว่าสหรัฐฯ นั้น พ.อ.วินธัย กล่าวว่า มีหลายภาคส่วนประเมินไปเอง คสช. พยายามปรับให้ท่าทีทุกประเทศเข้าใจเป้าหมายของ คสช.ให้ตรงกัน ขอปฏิเสธว่า เรื่องปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศยังไม่มี
**"ประจิน"ต้อนรับเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้
เวลา 10.30 น.วานนี้ ณ ห้องรับรองพิเศษ 1 กองบัญชาการกองทัพอากาศ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) และรองหัวหน้าคสช.ด้านเศรษฐกิจ ได้ให้การต้อนรับ นายจอน แจ-มัน (H.E.Mr.Joen Jae-man) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย และคณะ ในโอกาสเข้าพบหารือเกี่ยวกับแนวทางการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ระหว่างไทยและสาธารณรัฐเกาหลีใต้ โดยเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านเศรษฐกิจที่ประเทศไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 10 ของสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ถือว่าอยู่ในอันดับที่มีความสำคัญมาก
จากสถานการณ์ทางการเมืองในห้วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้เกิดผลกระทบกับการติดต่อทางด้านเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ทั้งในด้านการลงทุน และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่คสช. ได้เข้ามาบริหารจัดการ โดยใช้นโยบายคืนความสุขให้กับประชาชน จึงทำให้บรรยากาศทางการเมืองสามารถคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ได้รายงานให้รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีใต้ได้ทราบโดยตลอดและรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ก็เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ทั้งก่อนและหลังการเข้ามาของ คสช.
ในการสนทนาหารือกันครั้งนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ได้นำข้อเสนอในการที่จะส่งเสริมให้นักลงทุนชาวเกาหลีเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น รวมทั้งการชักชวนให้นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ กลับมาท่องเที่ยวในประเทศไทยให้มากเหมือนเดิม หลังจากที่จำนวนนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ลดลงไป เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากความไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางการเมือง และได้ยืนยันว่า สาธารณรัฐเกาหลีใต้จะเป็นมิตร ที่ดีกับประเทศไทยตลอดไป
ทั้งนี้ พล.อ.อ.ประจิน ได้กล่าวขอบคุณในความเข้าใจต่อสถานการณ์ของประเทศไทย และการเข้ามาของ คสช. ของรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีใต้ โดยกล่าวว่า นโยบายคืนความสุขให้กับประชาชนของคสช. มิได้หมายถึงเฉพาะประชาชนคนไทยเท่านั้น แต่รวมถึงประชาชนทุกคน และทุกชาติที่อยู่ในประเทศไทยด้วย จากการที่เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีใต้ได้ให้คำแนะนำ และข้อคิดเห็นต่างๆ นับว่าเป็นประโยชน์และจะรับไปประสานงานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ ทั้งในเรื่องของการลงทุน การท่องเที่ยว และการประกอบธุรกิจทั่วไป ถึงแม้ว่าในช่วงเวลาปัจจุบัน ประเทศไทยจะอยู่ในช่วงเวลาพิเศษทางการบริหาร แต่การใช้ชีวิตประจำวันทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศ ยังคงดำเนินไปได้อย่างปกติ มีความปลอดภัย และมีความสะดวกสบายตามที่ควรจะเป็น จึงขอให้มั่นใจในประเทศไทย และเชื่อใจในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่จะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ในเวลาไม่นานนี้
**ผบ.สส.เดินทางเยือนมาเลเซีย
เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) ได้เดินทางเยือนประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกองทัพมาเลเซีย โดยเข้าเยี่ยมคำนับรมช.กลาโหมมาเลเซีย และผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซีย เพื่อหารือข้อราชการและแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น
การเดินทางเยือนกองทัพมาเลเซียในครั้งนี้ เพื่อยืนยันความร่วมมือที่แน่นแฟ้น และมิตรภาพที่ดี ระหว่างประเทศไทย และมาเลเซีย ที่มีต่อกันมาอย่างยาวนาน ทั้งสองฝ่ายได้หารือความร่วมมือด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน การช่วยเหลือผู้ประสบภัยของอาเซียน การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การบรรเทาภัยพิบัติ ความร่วมมือของคณะกรรมการด้านความมั่นคงชายแดน ไทย-มาเลเซียในทุกระดับ ตลอดจนการขยายความร่วมมือการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และการค้ามนุษย์ ไปสู่ระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ มาเลเซียเข้าใจสถานการณ์ในไทยเป็นอย่างดี และพร้อมที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันเช่นเดิม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของทั้งสองประเทศตลอดไป