ASTVผู้จัดการรายวัน – “สหพัฒน์” วางโรดแมป 2 ปีนี้ ทุ่ม 2,000 ล้านบาท ทุ่มลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ ยึด 3ปาร์ตี้ ร่วมทุน พุ่งเป้าหมายตลาดประเทศด้อยพัฒนากับเออีซี ปูฐานการผลิตและการตลาด เชียร์ คสช. ทำงาน เร็วและดี ถูกทาง ให้คะแนน 9.9 เต็ม 10 พร้อมเสนอให้เร่งแก้ปัญหาส่งออกและให้สิทธิ์ด้านภาษีกับเอกชนที่ลงทุนเครื่องจักรใหม่ ยันไม่กลัวอียู-มะกันจะตัดสิทธ์ทางการค้า
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า บริษัทฯมีเป้าหมายที่จะลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศด้อยพัฒนาเนื่องจากประเทศเหล่านี้จะเปิดรับสินค้าจากเอเซียได้มากกว่าและเน้นลงทุนในประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ที่จะมีผลในปี 2558 โดยในช่วง 2 ปีจากนี้ตั้งงบลงทุนรวมไว้ที่ 2,000 ล้านบาท แยกเป็นในประเทศ 70% และต่างประเทศ 30% โดยเป็นเงินหมุนเวียนไม่มีการกู้แบงก์ เพื่อขยายฐานการผลิตและการขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยยึดหลักลงทุน 3 ฝ่ายคือ สหพัฒน์ ญี่ปุ่น และคนท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ ส่วนแบรนด์ที่ใช้นั้นจะมีทั้งแบรนด์ของสหพัฒน์เองและแบรนด์ของญี่ปุ่นแล้วแต่ความเหมาะสม
ทั้งนี้การลงทุนตามแผนงานที่ดำเนินการแล้วและที่เตรียมการเช่น ในเออีซี เช่นที่พม่าอยู่ระหว่างการเจรจาที่จะลงทุนโรงงานผลิตผงักฟอกที่เมืองย่างกุ้ง ร่วมกับทางไลอ้อนญี่ปุ่น อยู่ระหว่างการหาพื้นที่ ต้องการ 20 ไร่ ลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท โดยเราถือหุ้น 30% ซึ่งจะจำหน่ายที่พม่าเป็นหลัก ส่วนที่กัมพูชากับเมียนมาร์มีโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่แล้ว เตรียมที่จะสร้างโรงงานผลิตบะหมี่อีกที่บังคลาเทศและฮังการี สาเหตุที่ลงทุนที่บังคลาเทศเพราะบังคลาเทศมีข้อตกลงสัญญาทางการค้ากับทางประเทศอินเดีย สามารถใช้ฐานผลิตที่บังคลาเทศส่งไปยังประเทศอินเดียได้แต่ยังไม่สรุปรายละเอียด
ส่วนที่เวียดนามพิจารณาอยู่ว่าจะทำอะไรคาดว่าจะนำสินค้าไปจำหน่ายแต่คงยังไม่มีแผนตั้งโรงงาน เช่นเดียวกับที่ลาวที่จะมีการตังเอเย่นต์ในการจำหน่ายสินค้าด้วย ส่วนที่กัมพูชาก็เพิ่งตั้งบริษัทเทรดดิงเพื่อนำสินค้าไปจำหน่ายให้กับศูนย์การค้าอิออน หรือที่อินโดนีเซียก็มีเอเย่นต์สินค้าแฟชั่นแล้วแต่ยังไม่มีแผนตั้งโรงงานผลิต
ล่าสุดในไทยได้มีการขยายการลงทุนคือ การร่วมทุนระหว่างบริษัท ไทเกอร์ ดิสทริบิวชั่น แอนด์ ลอจิสติคส์ จำกัด กับ เอ็ม เค กรุ๊ป ของพม่า เพื่อจัดตั้งบริษัท ไทเกอร์ ดิสทริบิวชั่น แอนด์ ลอจิสติคส์ (เมียนมาร์) จำกัด เพื่อที่จะให้บริการลอจิสติกส์ในเมียนมาร์ และน้ำนมถั่วเหลืองมารูซันที่ร่วมลงทุนกับญี่ปุ่น เริ่มวางจำหน่ายปีนี้
สำหรับเครือสหพัฒน์แม้ว่าไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ยอดขายจะปรับตัวลดลง แต่คาดว่าปลายปีนี้ยอดขายจะปรับตัวดีขึ้นเท่ากับปีที่แล้ว แต่ต้องประเมินสถานการณ์กันอีกครั้ง
ส่วนงานสหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 18 ที่เริ่มงานวัพฤหัสที่ 26 มิถุนายนี้เป็นวันแรก ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นไปอย่างคึกคัก ซึ่งจะมีไปถึงวันที่ 29 มิถุนายนนี้ คาดว่าทั้งงานจะมีผู้เข้ามาร่วมงานจับจ่ายมากกว่า 1 ล้านคน มียอดขายรวมกว่า 300 ล้านบาท
***หนุน คสช. ทำงานเร็วและดี
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวถึงการทำงานของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ด้วยว่า หลังจากที่ทาง คสช. ได้เข้ามาบริหารประเทศเป็นเวลาเดือนกว่าแล้วนั้น ขอให้คะแนน 9.9 เต็ม 10 คะแนน เนื่องจากทำงานได้เร็วและแก้ปัญหาหลายอย่างที่รัฐบาลที่แล้วไม่ได้ทำหรือทำแต่ไม่ถูกทาง อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องการให้คสช.หรือรัฐบาลชุดใหม่เร่งรีบดำเนินการคือ เร่งแก้ปัญหาการส่งออกให้เร็วโดยเฉพาะสินค้าเกษตร เนื่องจากจะทำให้รากหญ้าหรือเกษตรกรมีรายได้ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการสนับสนุนภาคการผลิตของเอกชนเช่น การให้สิทธิผลประโยชน์ทางด้านภาษี หากมีการลงทุนเครื่องจักรใหม่ๆที่ลดต้นทุนการผลิตได้
“ผมว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ทางคสช. มีบทบาทการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ส่งผลให้สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในขณะนี้เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว บรรยากาศการลงทุนและการส่งออกเริ่มคึกคักมากขึ้น ขณะเดียวกันผู้บริโภคต่างก็มีความเชื่อมั่นมากขึ้น ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มสูงสุดในรอบ 14 เดือน
*** ไม่กลัวมะกัน-อียู ขู่ตัดสิทธิ์
นายบุณยสิทธิ์ ยังกล่าวให้ความเห็นกรณีที่ทางสหรัฐอเมริกาประกาศลดอันดับการค้ามนุษย์ของไทย จากเทียร์ 2 เป็นเทียร์ 3 และกรณีรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ของประเทศสมาชิกแห่งสหภาพยุโรป (อียู) ปรับลดระดับความสัมพันธ์ระหว่างอียู-ไทย ว่า คาดว่าคงเป็นการขู่จากอเมริกามากกว่าที่จะเป็นจริง เช่นเดียวกับคำถามที่ว่า กลุ่มประเทศอียูจะตัดสิทธิ์ทางการค้าประเทศไทยอันเนื่องมาจากการกล่าวหาเรื่องการใช้แรงงานและการค้ามนุษยด้วยว่าจะเป็นอย่างไรนั้น นายบุณยสิทธิ์ตอบว่า เขาคงไม่กล้าตัดสิทธิ์เรา แต่ถ้าตัดสิทธิ์จริงเราก็ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพวกเขาก็ได้ เราก็ยังมีประเทศอื่นอีกมากมายที่ทำตลาดได้ เช่น จีน ญี่ปุ่น แอฟริกา ออสเตรเลีย เป็นต้น เขาบีบเราไม่ได้หรอก ดีไม่ดีเราเองจะบีบเขาด้วย เมื่อเรารวมเป็นเออีซีกันแล้ว เพราะเมื่อรวมเป็นเออีซีแล้ว รายได้ในกลุ่มเออีซีก็จะมีมากขึ้น ศักยภาพแต่ละประเทศก็ดีขึ้น ทำให้พวกเราสามารถบีบสหรัฐอเมริกากับยุโรปยังได้เลย
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า บริษัทฯมีเป้าหมายที่จะลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศด้อยพัฒนาเนื่องจากประเทศเหล่านี้จะเปิดรับสินค้าจากเอเซียได้มากกว่าและเน้นลงทุนในประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ที่จะมีผลในปี 2558 โดยในช่วง 2 ปีจากนี้ตั้งงบลงทุนรวมไว้ที่ 2,000 ล้านบาท แยกเป็นในประเทศ 70% และต่างประเทศ 30% โดยเป็นเงินหมุนเวียนไม่มีการกู้แบงก์ เพื่อขยายฐานการผลิตและการขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยยึดหลักลงทุน 3 ฝ่ายคือ สหพัฒน์ ญี่ปุ่น และคนท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ ส่วนแบรนด์ที่ใช้นั้นจะมีทั้งแบรนด์ของสหพัฒน์เองและแบรนด์ของญี่ปุ่นแล้วแต่ความเหมาะสม
ทั้งนี้การลงทุนตามแผนงานที่ดำเนินการแล้วและที่เตรียมการเช่น ในเออีซี เช่นที่พม่าอยู่ระหว่างการเจรจาที่จะลงทุนโรงงานผลิตผงักฟอกที่เมืองย่างกุ้ง ร่วมกับทางไลอ้อนญี่ปุ่น อยู่ระหว่างการหาพื้นที่ ต้องการ 20 ไร่ ลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท โดยเราถือหุ้น 30% ซึ่งจะจำหน่ายที่พม่าเป็นหลัก ส่วนที่กัมพูชากับเมียนมาร์มีโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่แล้ว เตรียมที่จะสร้างโรงงานผลิตบะหมี่อีกที่บังคลาเทศและฮังการี สาเหตุที่ลงทุนที่บังคลาเทศเพราะบังคลาเทศมีข้อตกลงสัญญาทางการค้ากับทางประเทศอินเดีย สามารถใช้ฐานผลิตที่บังคลาเทศส่งไปยังประเทศอินเดียได้แต่ยังไม่สรุปรายละเอียด
ส่วนที่เวียดนามพิจารณาอยู่ว่าจะทำอะไรคาดว่าจะนำสินค้าไปจำหน่ายแต่คงยังไม่มีแผนตั้งโรงงาน เช่นเดียวกับที่ลาวที่จะมีการตังเอเย่นต์ในการจำหน่ายสินค้าด้วย ส่วนที่กัมพูชาก็เพิ่งตั้งบริษัทเทรดดิงเพื่อนำสินค้าไปจำหน่ายให้กับศูนย์การค้าอิออน หรือที่อินโดนีเซียก็มีเอเย่นต์สินค้าแฟชั่นแล้วแต่ยังไม่มีแผนตั้งโรงงานผลิต
ล่าสุดในไทยได้มีการขยายการลงทุนคือ การร่วมทุนระหว่างบริษัท ไทเกอร์ ดิสทริบิวชั่น แอนด์ ลอจิสติคส์ จำกัด กับ เอ็ม เค กรุ๊ป ของพม่า เพื่อจัดตั้งบริษัท ไทเกอร์ ดิสทริบิวชั่น แอนด์ ลอจิสติคส์ (เมียนมาร์) จำกัด เพื่อที่จะให้บริการลอจิสติกส์ในเมียนมาร์ และน้ำนมถั่วเหลืองมารูซันที่ร่วมลงทุนกับญี่ปุ่น เริ่มวางจำหน่ายปีนี้
สำหรับเครือสหพัฒน์แม้ว่าไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ยอดขายจะปรับตัวลดลง แต่คาดว่าปลายปีนี้ยอดขายจะปรับตัวดีขึ้นเท่ากับปีที่แล้ว แต่ต้องประเมินสถานการณ์กันอีกครั้ง
ส่วนงานสหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 18 ที่เริ่มงานวัพฤหัสที่ 26 มิถุนายนี้เป็นวันแรก ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นไปอย่างคึกคัก ซึ่งจะมีไปถึงวันที่ 29 มิถุนายนนี้ คาดว่าทั้งงานจะมีผู้เข้ามาร่วมงานจับจ่ายมากกว่า 1 ล้านคน มียอดขายรวมกว่า 300 ล้านบาท
***หนุน คสช. ทำงานเร็วและดี
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวถึงการทำงานของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ด้วยว่า หลังจากที่ทาง คสช. ได้เข้ามาบริหารประเทศเป็นเวลาเดือนกว่าแล้วนั้น ขอให้คะแนน 9.9 เต็ม 10 คะแนน เนื่องจากทำงานได้เร็วและแก้ปัญหาหลายอย่างที่รัฐบาลที่แล้วไม่ได้ทำหรือทำแต่ไม่ถูกทาง อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องการให้คสช.หรือรัฐบาลชุดใหม่เร่งรีบดำเนินการคือ เร่งแก้ปัญหาการส่งออกให้เร็วโดยเฉพาะสินค้าเกษตร เนื่องจากจะทำให้รากหญ้าหรือเกษตรกรมีรายได้ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการสนับสนุนภาคการผลิตของเอกชนเช่น การให้สิทธิผลประโยชน์ทางด้านภาษี หากมีการลงทุนเครื่องจักรใหม่ๆที่ลดต้นทุนการผลิตได้
“ผมว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ทางคสช. มีบทบาทการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ส่งผลให้สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในขณะนี้เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว บรรยากาศการลงทุนและการส่งออกเริ่มคึกคักมากขึ้น ขณะเดียวกันผู้บริโภคต่างก็มีความเชื่อมั่นมากขึ้น ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มสูงสุดในรอบ 14 เดือน
*** ไม่กลัวมะกัน-อียู ขู่ตัดสิทธิ์
นายบุณยสิทธิ์ ยังกล่าวให้ความเห็นกรณีที่ทางสหรัฐอเมริกาประกาศลดอันดับการค้ามนุษย์ของไทย จากเทียร์ 2 เป็นเทียร์ 3 และกรณีรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ของประเทศสมาชิกแห่งสหภาพยุโรป (อียู) ปรับลดระดับความสัมพันธ์ระหว่างอียู-ไทย ว่า คาดว่าคงเป็นการขู่จากอเมริกามากกว่าที่จะเป็นจริง เช่นเดียวกับคำถามที่ว่า กลุ่มประเทศอียูจะตัดสิทธิ์ทางการค้าประเทศไทยอันเนื่องมาจากการกล่าวหาเรื่องการใช้แรงงานและการค้ามนุษยด้วยว่าจะเป็นอย่างไรนั้น นายบุณยสิทธิ์ตอบว่า เขาคงไม่กล้าตัดสิทธิ์เรา แต่ถ้าตัดสิทธิ์จริงเราก็ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพวกเขาก็ได้ เราก็ยังมีประเทศอื่นอีกมากมายที่ทำตลาดได้ เช่น จีน ญี่ปุ่น แอฟริกา ออสเตรเลีย เป็นต้น เขาบีบเราไม่ได้หรอก ดีไม่ดีเราเองจะบีบเขาด้วย เมื่อเรารวมเป็นเออีซีกันแล้ว เพราะเมื่อรวมเป็นเออีซีแล้ว รายได้ในกลุ่มเออีซีก็จะมีมากขึ้น ศักยภาพแต่ละประเทศก็ดีขึ้น ทำให้พวกเราสามารถบีบสหรัฐอเมริกากับยุโรปยังได้เลย