xs
xsm
sm
md
lg

ปฏิบัติได้ตามพระราชดำริพ่อหลวงประเทศร่มเย็นเป็นสุข

เผยแพร่:   โดย: สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์


คนทั่วไปได้ทราบถึงพระราชดำริของพ่อหลวงในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมานานแล้ว พระองค์ทรงมีความลึกซึ้งในกลไกเศรษฐกิจมหาภาค อย่างยากที่จะหาใครเทียบได้ ไม่ว่าจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกคนไหนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน พระราชดำริของพระองค์เป็นไปตามหลักบุญนิยมทางพุทธศาสนาพระราชดำริในทางเศรษฐกิจมหภาคของพ่อหลวงมีมากกว่าเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ดังที่ผู้เขียนได้นำเสนอต่อไปนี้

การโจมตีประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยการถล่มตลาดหุ้น NASDAQ ระหว่างปี 2000-2002 ทำให้ตลาดหุ้นอเมริกาพังลงถึง 78 เปอร์เซ็นต์ทำให้เงินเหรียญสหรัฐพังทลายตามมา ตกลงถึง 48 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเงิน EURO ในปี 2008

สกุลเงินเหรียญสหรัฐเป็นสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีปริมาณมากที่สุด เมื่อไม่มีความเชื่อมั่น นักลงทุนก็พากันทิ้งเงินเหรียญสหรัฐ เงินเหรียญสหรัฐไหลออกนอกประเทศไปถือเงินสกุลอื่น ส่งผลให้เงินท่วมโลก

ทำให้สกุลเงินประเทศต่างๆ ของโลกแข็งค่าขึ้น ทุนสำรองประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้น ราคาโลหะ ราคาทองคำสูงขึ้น ราคาพลังงานสูงขึ้น ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น สินค้าและบริการต่างๆ ทั่วโลกราคาสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผู้คนเดือดร้อนกันทั่วทั้งโลก

ที่ประเทศไทย ทำให้สามารถใช้หนี้ IMF หมดในปี 2003 หมดก่อนกำหนดถึง 2 ปี

ตลาดหุ้นประเทศต่างๆ (ตลาดหุ้นโลก) ก็สูงขึ้น และสูงขึ้นอย่างมาก เมื่อมันขึ้น มาแรง มันก็พังทลายลงแรง ตลาดหุ้นโลกพังทลายลงแรงในปี 2008 ที่รู้จักกันในชื่อ Hamburger crisis ทั้งภูมิภาคยุโรป เอเชีย (รวมอาเซียน) แอฟริกา และภูมิภาคอเมริกาเองก็พังทลายลงในรูปแบบเดียวกัน เวลาเดียวกัน

มีคนกล่าวถึงต้นเหตุวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2008 ไปต่างๆ นานา

ลองดูเหตุข้อมูลของผู้เขียนบ้าง อยู่ๆ ตลาดหุ้นโลกจะขึ้นเองไม่ได้ แต่นี่ตลาดหุ้นโลกขึ้นรุนแรงต่อเนื่อง 6-7 ปี บวก 463 เปอร์เซ็นต์

ให้สังเกตว่าตลาดหุ้นโลกเริ่มขึ้นในปี 2001-2002 หรือเริ่มขึ้นในช่วงที่ตลาด NASDAQ และค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายในปี 2000-2002 ที่ส่งผลให้เงินไหลออกมาท่วมโลก ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ก่อนจะพังทลายลงในปี 2008 ตลาดกระดาษหรือตลาดหุ้น คือสิ่งผิดปกติในระบบเศรษฐกิจโลก ทำให้เกิดการค้ากระดาษทั่วโลก (Paper Trade) ไม่ใช่เป็นการค้าสินค้าจริง (Non Real Trade) มีรายงานว่าการซื้อทองคำกระดาษ มีมูลค่าสูงกว่าการซื้อทองคำบริโภคจริงเกือบ 10 เท่า มีการสวมรอยปั่นหุ้น ปั่นเงิน ปั่นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขึ้น-ลงแรง ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกผันผวนรุนแรงมากขึ้น

ความทันสมัยทางเทคโนโลยีไอทีทำให้มีการเคลื่อนย้ายทุนไปมาระหว่างภูมิภาคต่างๆ ของโลกได้ง่าย

ผู้ที่บริหารจัดการเรื่องนี้คือนายทุนสามานย์มีอยู่ทุกสัญชาติพวกเขาไม่เลือกว่าเป็นประเทศตะวันตกหรือประเทศตะวันออกประเทศใดเกิดการเบี่ยงทางเศรษฐกิจ หลงทิศผิดทาง จะถูกเขาโจมตีทันที

และเขานั่นเองเป็นผู้โจมตีประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2000 โจมตีตลาด NASDAQ และ USD ไม่ต้องใช้กระสุนทางทหารแม้แต่นัดเดียว (ดูภาพ NASDAQ index และเงินเหรียญสหรัฐ EURO dollar)

New World Order ในความคิดของผู้เขียน ผู้เขียนเชื่อว่าโลกเป็น New World Order ไปเรียบร้อยแล้ว โดยนายทุนสามานย์บริหารจัดการผ่านกลไกตลาดกระดาษ การใช้กำลังทหารเป็นเรื่องที่ล้าสมัย การโจมตีตึกคู่ World Trade Center (WTC) กลางกรุง New York เมื่อปลายปี 2001 เกิดความเสียหายประมาณ 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีคนตายประมาณ3,000 คน

เทียบไม่ได้กับการโจมตีตลาด NASDAQ และ USD ในปี 2000 ที่ทำความเสียหายให้กับอเมริกาเองอย่างหนัก และก่อความเสียหายต่อเนื่องไปทั่วโลกหลังปี 2008 จนยากที่จะประเมินความเสียหายได้ อาจจะมีคนในบางประเทศฆ่าตัวตาย ตามข่าวที่ได้ทราบกันแล้ว แต่แท้จริงแล้วคนทั่วโลก “ตายทั้งเป็น” มากเป็นประวัติการณ์

ประเทศลาว กัมพูชา และพม่าก็ถูกกระตุ้นให้มีตลาดกระดาษหรือกำลังจะมีตลาดกระดาษแล้ว ต่างฝันว่ากำลังจะกลายเป็นประเทศที่มั่งคั่งกัน

เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนายทุนสามานย์ ผู้เขียนจะไม่ไปตำหนิเขา

โลกสร้างตลาดกระดาษขึ้นมาเอง แล้วพวกเขาก็สามารถหาประโยชน์จากเรื่องนี้ได้อย่างเข้าใจ เป็นต้นเหตุให้เงินท่วมโลก ทุนสำรองที่อยู่ตามประเทศต่างๆ เป็นของพวกเขาทั้งนั้น รวมทั้งในประเทศจีน เงินท่วมโลกแต่โลกยากจนลง เห็นได้จากสินค้าและบริการราคาแพงขึ้น

ความมั่งคั่งเป็นของนายทุนสามานย์ ความยากจนเป็นของประชากรโลก

ปี 2012 ประชนชนประเทศต่างๆ ออกมาเดินตามท้องถนน ประท้วงเรื่องราคาน้ำมันแพง สินค้าแพง และตกงาน ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาผู้คนก็ออกมาประท้วงตามท้องถนน รู้จักกันในชื่อ Occupy Wall Street

สิ่งผิดปกตินี้ยังอยู่ในโลก คงจะอยู่ไปอีกนานเท่านาน จะก่อความเดือดร้อนแก่ประชากรโลกเป็นช่วงๆ

ผู้คนยกย่องความเจริญของประเทศตะวันตกความเจริญทางวัตถุผู้เขียนว่าเป็นความเสื่อมมากกว่า คนตะวันตกหนีความเสื่อม หนีค่าครองชีพสูง มาตั้งรกรากที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย มาเปิดร้านอาหาร มาทำการเกษตร

อ่าน : วิไลวรรณ เที่ยงตรง (2551) “ผลกระทบของคู่สมรสชาวต่างชาติที่มีต่อเศรษฐกิจอีสาน” มนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์ วารสารคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปีที่ 25 ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน 2551

ตัวอย่างนายมาร์ตินวิลเลอร์ฝรั่งทำนาที่ขอนแก่นhttp://www.youtube.com/watch?v=F7xRovVSP3Q

เพดานหนี้ (Debt ceiling) ของประเทศสหรัฐอเมริกาสูงขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการพังทลายของตลาด NASDAQ และค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 ยังมีการพิมพ์เงินออกมาใช้อย่างต่อเนื่อง (Quantitative easing) ไม่เพิ่มเพดานหนี้ก็พิมพ์เงินออกมาใช้ ไม่พิมพ์เงินออกมาใช้ก็เพิ่มเพดานหนี้

สินทรัพย์ของประเทศต่างๆ ไม่ว่าในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ในยุโรป ฯลฯ ไม่ได้เป็นของคนท้องถิ่นประเทศนั้นแล้ว แต่เป็นของนายทุนสามานย์และจะตกเป็นของนายทุนสามานย์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างประเทศไทย ธนาคารเอกชนของประเทศไทยก็ไม่ได้เป็นของเอกชนไทยแล้วหากมีวิกฤตเศรษฐกิจครั้งต่อไป ธนาคารของรัฐก็อาจจะตกเป็นของนายทุนสามานย์เพิ่มได้

ประเทศสหรัฐอเมริกามีนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลจำนวนมาก แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาก็เป็นต้นเหตุวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทุกวันนี้ประเทศสหรัฐอเมริกาได้กลายเป็นสมาชิกประเทศยากจนใหม่ไปแล้ว

ผู้เขียนนำเสนอเรื่องนี้ก็เพื่อจะเชื่อมโยงมาถึงพระราชอัจฉริยะด้านเศรษฐกิจของพ่อหลวง ที่เหนือนักเศรษฐศาสตร์โลกทั้งหลาย

GO SLOW 2503 (1)

ในหลวงเสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริการะหว่าง วันที่ 14 มิถุนายน -14 กรกฎาคม 1960 ทรงบอกให้ประเทศสหรัฐอเมริกา GO SLOW

อีก 40 ปีต่อมา คือปี 2000 อเมริกาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรง กระทั่งค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย เอกชนล้มลงค่อนประเทศ คนตกงานมาก อย่างที่นำเสนอข้อมูลและรายละเอียดไว้ในช่วงต้น

ประเทศสหรัฐเคยประสบวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงมาครั้งหนึ่งแล้วในปี 1929 (Great Depression)วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนั้นกับครั้งนี้ห่างกัน 71 ปี ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจทั้ง 2 ครั้ง มีต้นเหตุมาจากการพังทลายของตลาดหุ้นแบบเดียวกัน

GO SLOW เป็นปรัชญาเศรษฐกิจมหภาคระดับสูง แม้ทุกวันนี้ก็ยากที่จะหาคนเข้าใจ โลกยังคงเดินหน้าเสื่อมต่อไป ถ้านักเศรษฐศาสตร์ประเทศสหรัฐฯ เข้าใจ ประเทศสหรัฐอเมริกาก็จะไม่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ 2 ในปี 2000 แน่นอน

เศรษฐกิจพอเพียง 2517 (2)

...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นอันพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด...

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517

เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน ทั้งนี้ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง

แผนภาพแสดงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ทรงปรับปรุงพระราชทานเป็นที่มาของนิยาม “3 ห่วง 2 เงื่อนไข” ที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำมาใช้ในการรณรงค์เผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงผ่านช่องทางสื่อต่างๆ อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยความ “พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน” บนเงื่อนไข “ความรู้” และ “คุณธรรม”

(ขอบคุณ คำอธิบายและภาพปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจากอินเทอร์เน็ต)

3) ทำแบบคนจน 2534

“แบบที่เรียกว่า “ทำแบบคนจน" คือทำวิธีการแบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุนมากหลายอย่างของเขาเราก็ทำไป ก็เลยบอกว่าถ้าจะแนะนำ ก็แนะนำได้ “ทำแบบคนจน” เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่างมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมากมีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขามีอุตสาหกรรมสูงมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว

แต่ถ้าเรามีปกครองแบบ แบบว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไปทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไปไม่เหมือนคนที่ทำตามวิชาการ แล้วก็วิชาการนั้นก็เราดูตำราแล้วพลิกไปหน้าสุดท้าย หนึ่งหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอกว่า “อนาคตยังมี” แต่ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้วมันก็ปิดตำราปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่ “ถอยหลังเข้าคลอง” แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบอะลุ้มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ”

พระราชดำรัสในหลวงทำแบบคนจน ตรัสไว้เมื่อ 5 ธันวาคม 2534 https://www.youtube.com/watch?v=18fpXmBydLc&feature=youtube_gdata_player

4) Our Loss is Our Gain (ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา) คืออีกหนึ่งในพระราชดำริของพ่อหลวง “Our Loss is Our Gain” ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ตามความเข้าใจของผู้เขียน คือพระองค์ทรงเน้นให้เสียสละสูงสุด

กลไกที่จะเอา…การต่อสู้เพื่อตัวเอง คือกิเลสแห่งตน คือคิดที่จะเอามาเป็นของส่วนตน คือการแย่งชิงกัน คนที่เทคนิคร้ายกว่า เลวกว่า ก็ได้ผลประโยชน์ ได้อำนาจ ได้โอกาสไปเป็นของส่วนตนเอาผลประโยชน์ เอาอำนาจ เอาโอกาส...ไปสร้างผลประโยชน์ สร้างอำนาจและสร้างโอกาสส่วนตนต่อมากขึ้นไปอีกทำให้ทรัพยากรของระบบตกไปอยู่ในครอบครองของคนส่วนน้อย นำไปขูดรีดคนส่วนใหญ่
ทำให้คนส่วนใหญ่ขาดแคลนทรัพยากร หรือทำให้ทรัพยากรราคาแพง และทำเดือดร้อน

ยกตัวอย่างเช่น รัฐวิสาหกิจเป็นของคนไทยอยู่แล้ว 100 เปอร์เซ็นต์ระหว่างปี 2544-2549 มีการแปรรูป แบ่ง PTT AOT TOP และ MCOT ไปเป็นของผู้ถือหุ้นทั้งคนไทยและต่างชาติ บริษัทละ 49 เปอร์เซ็นต์ ปี 2549 ยังมีสมบัติของชาติ SHIN ไปให้เทมาเส็กของสิงคโปร์อีก 49 เปอร์เซ็นต์ วิธีการเช่นนี้ทำให้ทรัพยากรโดยรวมซึ่งเคยเป็นของคนไทย 100 เปอร์เซ็นต์ เหลือเป็นของคนไทยเพียง 51 เปอร์เซ็นต์ คนไทยจนลง

กลไกที่จะให้…ต่อสู้เพื่อคนอื่น ไม่ต่อสู้เพื่อตัวเอง คือความคิดที่จะให้หากทุกคนคิดที่จะให้ ไม่คิดที่จะเอาผลประโยชน์ อำนาจ โอกาสมาเป็นของตนเอง ก็จะทำให้ทรัพยากรเหลือเป็นของระบบ ให้คนไทยใหญ่ได้บริโภคอย่างเสมอภาคกันความสงบสุข ความมั่นคง ความมั่งคั่งก็จะกลับมาสู่ระบบ ระบบจะดีขึ้น

การขาดทุนของเรา (คิดแต่จะให้) คือกำไรของเรา คือกำไรของระบบทรัพยากรของระบบจะเหลือสำหรับทุกคนเหลือเฟือ

GO SLOW 2503 (1)

เศรษฐกิจพอเพียง 2517 (2)

ทำแบบคนจน 2534 (3)

ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา (Our Loss is Our Gain) (4)

ตั้งแต่ปี 2503 ถึงทุกวันนี้ นับได้มา 54 ปีมาแล้ว ปรัชญาด้านเศรษฐกิจของพ่อหลวงไม่เคยเปลี่ยน ตรัสมาในรูปแบบแนวทางเดียวกันโดยตลอดพ่อหลวงไม่ทรงเคยแนะให้คิดทำแบบมั่งคั่ง ให้เพิ่มหรือให้กระตุ้น GDP

คำว่า “มั่งคั่ง เพิ่ม GDP” เป็นคำของพ่อค้านายทุน ศักดินา หรือผู้ปกครองระดับสูง ที่คิดเอารัดเอาเปรียบระบบตลอดเวลา ระบบไม่ได้เจริญขึ้น แต่เสื่อมลง

ทุกวันนี้ไม่มีประเทศทุนนิยมใดมั่งคั่ง มีแต่ยากจน ไม่ว่าประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศในยุโรป

คำว่ามั่งคั่งแท้จริงคือยากจน ระบบยากจนลง เนื่องจากทรัพยากรของระบบถูกสูบไปเป็นของนายทุน คำว่าทำแบบคนจนหรือเศรษฐกิจพอเพียงคือมั่งคั่ง เนื่องจากจะเหลือทรัพยากรไว้เป็นของระบบสำหรับทุกๆ คน

ชื่อบอกว่าเป็นระบบทุนนิยม ทรัพยากรจึงเป็นของนายทุน ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยของระบบ นายทุนมั่งคั่งขึ้นมากเท่าใดประชาชนส่วนใหญ่ยากจนลงเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ทุกวันนี้ประชาชนใช้น้ำมันในราคาที่แพงกว่าในอดีตอย่างไม่ยุติธรรม

นั่นคือ

ผู้ที่พูดถึงความเจริญ คือผู้ที่นำความยากจนมาสู่ระบบ พ่อหลวงตรัสถึง GO SLOW เศรษฐกิจพอเพียงทำแบบคนจนขาดทุนของเราคือกำไรของเราคือพระผู้ทรงนำความมั่งคั่งมาสู่ระบบ

ปรัชญาทางเศรษฐกิจของพ่อหลวง ไม่ใช่เอาไปกระตุ้นให้ชาวบ้านปฏิบัติแต่อย่างเดียว

ฝ่ายที่จะต้องเอาปรัชญาด้านเศรษฐกิจของพ่อหลวงทั้ง 4 ข้อ ไปปฏิบัติมากที่สุดคือรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานระดับสูงของประเทศทั้งหลาย จะทำให้ยุติการคอร์รัปชัน ยุติการปล้นประเทศและขายสมบัติชาติ ยุติการแบ่งแยกดินแดน ยุติการแบ่งแยกหรือแตกแยกคนในชาติ

หากทำได้ตามพระราชดำริพ่อหลวงประเทศร่มเย็นเป็นสุข มีความเป็นธรรม จะเป็นของประเทศชาติและประชาชนคนไทยตลอดไป
http://twitter.com/indexthai2

indexthai2@gmail.com
กำลังโหลดความคิดเห็น