อาจารย์ธรรมศาสตร์ปราศรัยเวทีราชดำเนิน ชี้สภาประชาชนมีได้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐบาลและสภาฯ ละเมิดรัฐธรรมนูญ ประชาชนมีสิทธิจะปกป้อง เผยในโปแลนด์และเยอรมนีมีสภาประชาชนปฏิรูปจากรัฐบาลที่ฉ้อฉล ยันชุมนุมสถานที่ราชการอย่างสงบคือสันติวิธี ยกเคสปิดวอลล์สตรีท และปกป้องการทำลายตึกในเยอรมนี
วันนี้ (29 พ.ย.) เมื่อเวลา 22.35 น. นายกิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปราศรัยบนเวทีต่อต้านระบอบทักษิณ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ระบุว่า สภาประชาชนซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ระบุว่าไม่มีจริงนั้น นักกฎหมายอย่างตนเห็นว่าสภาประชาชนมีได้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ
โดยผู้ชุมนุมได้ชุมนุมตั้งแต่รัฐบาลและรัฐสภาได้ละเมิดรัฐธรรมนูญ ขณะนี้รัฐบาลและรัฐสภาทำผิดรัฐธรรมนูญซ้ำสอง ครั้งแรกเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมโดยฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญ และครั้งที่สองประกาศว่าไม่ยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้แจ้งชัดว่าคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั้น ย่อมผูกพันองค์กรของรัฐทั้งปวง ทั้งรัฐบาล รัฐสภา องค์กรอิสระ รวมทั้งหน่วยงานของรัฐ
ในเมื่อประชาชนขณะนี้มาใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญที่ถูกละเมิดโดยรัฐบาลและรัฐสภา เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพที่ถูกละเมิด ตามคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญทุกประการ ในเมื่อมาตรา 27 บัญญัติว่าคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญผูกพันรัฐบาล รัฐสภา และองค์กรของรัฐทั้งปวง มาตรา 69 รับรองไว้อีกว่า ถ้าหากปรากฏว่ามีผู้ใดทำการให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยมิชอบด้วยวิถีทางตามรัฐธรรมนูญ ปวงชนชาวไทยมีอำนาจ มีหน้าที่ มีสิทธิทุกประการในการปกป้องรัฐธรรมนูญเอาไว้ มีอำนาจปกป้องรัฐธรรมนูญโดยสันติวิธี
ส่วนการที่ผู้ชุมนุมทำการเข้ายึดสถานที่ราชการบางแห่งเป็นการกระทำอันไม่อยู่ในขอบเขตของสันติวิธีนั้น บทความของนายชัยวัฒน์ สถาอนันต์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่มประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ ระบุว่า การต่อสู้โดยสันติวิธีนั้นสามารถทำได้ทั้งในทางรับ คือ การร้องเรียน อุทธรณ์ ฟ้องร้อง ประท้วงคัดค้าน และการยึดสถานที่ราชการนั้นอยู่ในขอบเขตของสันติวิธีเชิงรุก
การกระทำด้วยการยึดครองสถานที่โดยสันติ ไม่ใช้กำลังประทุษร้าย ไม่ใช้อำนาจข่มขู่ว่าจะทำร้ายผู้คน ไม่ทำลายทรัพย์สิน เข้าไปอยู่อย่างสงบ เป็นการแสดงการโต้แย้งคัดค้านอย่างสันติที่สุด เคยเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา เช่น อ็อกคิวพายวอลล์สตรีท (Occupy Wall Street) เพื่อโต้แย้งบรรดานายทุนสามานย์เอาบริษัทเงินทุนมาขูดรีด หลอกลวงประชาชนจนสหรัฐอเมริกาล่มจม ซึ่งเป็นการปิดพื้นที่ทั้งหมดของวอลล์สตรีท
ส่วนในเยอรมนีที่ประท้วงคัดค้านรัฐบาลในหลายกรณี โดยเฉพาะในเวลาที่รัฐบาลดำเนินนโยบายผิดพลาดในการรื้อถอนเพื่อทำลายตึกบางตึกซึ่งเป็นแหล่งสำคัญ เกิดขึ้นในเบอร์ลิน ฮัมบูรก์ ในเมืองสำคัญ รวมทั้งในเนเธอร์แลนด์ บรรดาเยาวชนคนหนุ่มสาว และประชาชนเข้าไปในตึกที่กำลังจะถูกรื้อ และบอกว่าเราไม่ยอม ซึ่งเป็นการใช้อารยะขัดขืนหรือพลเมืองแข็งข้อยึดพื้นที่ ถือเป็นสันติวิธี
ส่วนในประเทศไทย เห็นได้ชัดในกรณีที่รัฐบาลจะทำการรื้อป้อมและโบราณสถานบางแห่ง ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยอย่างชาวบางลำพูก็เคยเข้าไปยึดครองอาคารที่จะรื้อ หลังยื่นข้อเสนอแต่ไม่รับฟัง บอกว่าเราจะไม่ยอมออกไปจนกว่าจะเลิกโครงการ ซึ่งประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นควรเข้าใจว่าเป็นการกระทำที่ชอบ ขอฝากนายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ไปอ่านบทความของนายชัยวัฒน์และทำความเข้าใจเสียใหม่
นายกิตติศักดิ์กล่าวต่อว่า นายชัยวัฒน์ก็ได้เตือนว่าการใช้สันติวิธีในการประท้วงคัดค้านสิ่งใด ต้องทำไปเพื่อสิ่งที่มีคุณค่าสำคัญยิ่งกว่า เพื่อสิ่งที่เป็นธรรมยิ่งกว่า จึงจะชอบธรรม การชุมนุมครั้งนี้ เป็นการช่วยกันกู้ชาติที่ถูกผลักให้ตกลงไปในท้องทะเลจนจะล่มจมอยู่ทุกวันนี้ให้กลับคืนมา ถือเป็นคุณค่าที่สำคัญ
การใช้สันติวิธีไม่เพียงจะต้องไม่ทำร้ายคนอื่นแล้ว ยังต้องคำนึงถึงบรรดามวลชนจะต้องได้รับหลักประกันว่าจะไม่ถูกทำร้าย จะไม่ถูกเอาชีวิต และไม่ถูกประทุษร้าย เพราะฉะนั้นต้องเรียกร้องให้ตำรวจและทหารคุ้มครองชีวิตของประชาชนไปพร้อมกัน ขณะเดียวกัน ผู้นำของผู้ชุมนุมต้องถือเอาชีวิตและความปลอดภัยของผู้ชุมนุมเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ทำการสุ่มเสี่ยง ไม่นำเอามวลชนไปท้าทายอาจจะทำให้ต้องเสียชีวิต แต่ถ้าเกิดภยันตราย เราป้องกันตัวเองได้
อำนาจป้องกันตัวเองเป็นอำนาจที่มีโดยชอบโดยกฎหมายสำหรับประชาชนทุกคน ในกฎหมายอาญามาตรา 68 รับรองอย่างชัดเจนว่า หากมีภยันตรายโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะป้องกันได้ เป็นหลักประการเดียวกันกับมาตรา 69 ของรัฐธรรมนูญ ที่ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะลุกขึ้นต่อสู้ป้องกันรัฐธรรมนูญของตน
หลักการสำคัญของการป้องกันมีหลักการ 3 ประการ ได้แก่ ต้องมีภยันตรายอันมีมาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ถ้าเกิดขึ้นกับรัฐธรรมนูญ ก็ป้องกันรัฐธรรมนูญด้วย การที่รัฐบาลโดยที่สภาฝ่ายเสียงข้างมาก ออกร่างกฎหมายนิรโทษกรรม แม้จะแช่แข็ง 180 วันตามรัฐธรรมนูญ ยังอาจจะหยิบยกพิจารณาได้ ซึ่งจะกลายเป็นกฎหมายทันที ภยันตรายอันเกิดจากละเมิดรัฐธรรมนูญ ด้วยการตรากฎหมายฉบับนี้ถือว่ายังคงมีอยู่
ขณะเดียวกัน การที่รัฐบาล สมาชิกรัฐสภาเสียงข้างมาก ประธานรัฐสภา ประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่า ไม่อยู่ใต้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องเคารพรัฐธรรมนูญ และประกาศตนเหมือนกับว่าตัวเองมีความชอบธรรมที่จะอยู่นอกกฎหมาย และอยู่เหนือกฎหมาย อันนี้เป็นภยันตรายยิ่งใหญ่ ซึ่งภยันตรายนี้ยังไม่ผ่านพ้นไป ยังข่มขู่ให้เราเห็นได้ว่า ยังจะทำซ้ำ ยังจะทำอีก และยังจะละเมิดอีกได้ เราจึงต้องออกมาปกป้องรัฐธรรมนูญ เว้นเสียแต่ว่าจะทำอย่างที่นายสุเทพว่ามาสาบานตนว่าต่อไปนี้ไม่ทำอีกแล้ว จะยอมรับอำนาจศาลรับธรรมนูญและเคารพรัฐธรรมนูญ
ประการต่อมา การป้องกันนั้นต้องเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าหากใช้วิธีอื่นไม่ได้ จำเป็นต้องทำให้หมดกำลัง ในการที่จะทำภยันตรายนั้น ซึ่งหากไม่มีวิธีอื่นใดที่ทำให้ภยันตรายสิ้นสุดลง มีเหลือวิธีเดียวก็ทำวิธีนั้นได้ เช่น โจรมันมาปล้นเรา ถ้าหากมันมีทางหลบเลี่ยงภยันตรายเป็นอย่างอื่น หรือภยันตรายสิ้นสุดลง เช่นมันขู่ว่าจะมาปล้นเรา เราไปแจ้งตำรวจ อันนี้ทำได้ แต่ถ้าภยันตรายมันใกล้จะถึง ไม่มีทางอื่นแล้ว เรียกตำรวจไม่ทันแล้ว เราเอาไม้ฟาดโจรหรือเอาปืนยิงโจร อันนี้คือการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ภยันตรายที่ไม่ชอบกฎหมายมีอยู่ ภยันตรายอันใกล้จะถึงและไม่มีวิถีทางอื่นที่จะกำจัดมันได้ เวลานี้โดยวิถีทางทางการเมือง เข้าชื่อขอให้ถอดถอนก็แล้ว ดำเนินการอย่างอื่น รวมทั้งร้องเรียน ประท้วงก็แล้ว ไม่ยอมออกมายอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ภยันตรายก็ยังมีอยู่ ภยันตรายก็ใกล้จะถึง เพราะฉะนั้นวิถีทางเดียวก็คือ ริบอำนาจรัฐไว้ในมือของประชาชนเอง เช่น การเรียกร้องให้ข้าราชการ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด และผู้ใหญ่ในบ้านเมืองออกมาประกาศว่า เราจะเคารพรัฐธรรมนูญ และยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แค่นี้รัฐบาลก็เป็นรัฐบาลนอกกฎหมายในสายตาของข้าราชการด้วย
การที่ประชาชนเข้าไปยึดสถานที่ราชการ หากทำไปเพื่อกระตุ้นเตือนจิตสำนึกของข้าราชการ สำนึกที่เกิดจากคำปฏิญาณตนที่ให้ไว้ และสำนึกของการที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติบ้านเมือง ให้เขาเกิดเข้าใจเชื่อได้ว่า เจ้าของอำนาจอธิปไตยคือปวงชนนั้น มาใช้อำนาจอธิปไตยแล้วขอให้เขายอมรับเสียว่า เขาต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และยอมรับศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
อีกประการหนึ่ง ต้องทำโดยสมควรแก่เหตุ คำนึงว่าระหว่างภยันตรายที่มีมามากมายมหาศาลนั้น หากว่าได้กระทำไปแล้วทำให้อำนาจนั้นสิ้นสุดยุติลง แล้วจะสามารถรักษาคุณค่า เราต้องการปกป้องที่สำคัญ คือ ชาติ รัฐธรรมนูญไว้ได้ ผลก็คือการกระทำนั้นย่อมเป็นการกระทำที่สมควรแก่เหตุ ถ้าครบสามประการประชาชนทำได้โดยชอบ
นายกิตติศักดิ์กล่าวอีกว่า สภาประชาชนที่เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญ โดยที่ไม่ได้บัญญัติเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรไม่ใช่เพิ่งจะเรียกร้องเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น ประเทศโปแลนด์ ตกอยู่ภายใต้การปกครองตามรัฐธรรมนูญที่เรียกว่า ระบอบประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ของพรรคคอมมิวนิสต์หรือพรรคแรงงาน แต่เป็นการใช้อำนาจเผด็จการ ไม่ฟังเสียงประชาชน แล้วเกิดการฉ้อฉล คดโกง คอร์รัปชัน ฉ้อราษฎร์บังหลวงตลอดเวลา ในที่สุดประชาชนชาวโปแลนด์ทนไม่ไหวลุกขึ้นมาคัดค้าน และจัดตั้งสภาประชาชนขึ้น เรียกว่าสภาโต๊ะกลมที่โปแลนด์เป็นแห่งแรก เมื่อรัฐบาลล้มสภาประชาชนเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ และทำการปฏิรูปการเมืองโดยมีสภาโต๊ะกลมเป็นผู้นำ
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ สภาประชาชนที่เกิดขึ้นในเยอรมันตะวันออก ก่อนที่จะมารวมกับเยอรมันตะวันตก ประชาชนออกมาคัดค้าน เรียกร้อง และยึดสถานที่ราชการทั่วประเทศ ประชาชนเดินไปพร้อมประกาศว่าเราคือประชาชน เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ในที่สุดยึดสถานที่ราชการ หน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจทำการไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่เห็นด้วยกับประชาชน ก็หยุดการรับฟังคำสั่งของอำนาจรัฐส่วนกลาง ในที่สุดจัดตั้งสภาประชาชนขึ้น มีสมาชิกทั้งหมด 37 คน ประกอบด้วยตัวแทนอาชีพต่างๆ ให้มีตัวแทนของรัฐบาลเพียงคนเดียว ร่วมกันปฏิรูปการปกครองของรัฐบาลเยอรมันตะวันออก
ผลของการปฏิรูปครั้งนั้นก็คือ การรวมกันระหว่างเยอรมันตะวันออกและเยอรมันตะวันตก มีรัฐธรรมนูญใหม่ตามแบบของเยอรมันตะวันตก โดยสภาผู้แทนราษฎรของพรรคคอมมิวนิสต์ยังคงดำรงอยู่ ยังไม่ได้ออกไป แต่สภาประชาชนตั้งขึ้นเคียงคู่ และสภาประชาชนมีมติก็แจ้งให้ประชาชนทราบ ประชาชนก็มาชุมนุมอย่างมโหฬาร แล้วก็กดดันให้สภาตามกฎหมายต้องยอมรับมตินั้นเอาไปเป็นมติสภาผู้แทนราาฎร มติสุดท้ายคือยุบสภาผู้แทนราษฎร และรวมกันกับเยอรมันตะวันตก กลายเป็นประเทศเดียวกัน
หลังจากนั้นสภาประชาชนในลักษณะเดียวกันก็เกิดขึ้นตามมาในหลายประเทศ เช่น ฮังการี บลูแกเรีย และประเทศต่างๆ เวลาสภาประชาชนเกิดขึ้นนอกจากจะเกิดขึ้นในเมืองหลวงแล้วยังเกิดขึ้นตามภูมิภาคตามจังหวัดต่างๆ ประชาชนก็รวมตัวกันเอง เขารู้ว่าใครที่เห็นแก่บ้านเมือง รวมตัวจัดตั้งกัน และบอกว่าจังหวัด สำนักงานจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยราชการในจังหวัด ต้องทำดังต่อไปนี้เป็นข้อๆ นี่คือเสียงของประชาชน เสียงของเจ้าของประเทศ ปวงมหาประชาชน ผู้ทรงอำนาจอธิปไตย และพวกคุณต้องทำตาม
นายกิตติศักดิ์กล่าวทิ้งท้ายว่า สภาประชาชนใช้อำนาจปกป้องรัฐธรรมนูญ ปกป้องประโยชน์ของปวงชน มีอำนาจในการรักษาระบบไว้ และขจัดรัฐบาลที่อยู่นอกรัฐธรรมนูญ แม้จะอ้างว่ารัฐบาลมีขึ้นมาตามรัฐธรรมนูญ แต่ได้ฝ่าฝืนหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญ ประชาชนก็ขจัดรัฐบาลนั้นไปได้ และตั้งตนเป็นผู้ทรงอำนาจอธิปไตย แสดงออกด้วยการปฏิรูปการเมืองอย่างทั่วถึง และทำให้ประเทศเปลี่ยนโฉมหน้าไปได้
เราต้องเข้าใจว่าฝ่ายเสื้อแดงกำลังรวมตัวกัน อ้างว่าปกป้องประชาธิปไตย หน้าที่ของเราในขณะนี้ไม่ใช่ทำลายประชาธิปไตย แต่สร้างประชาธิปไตยที่เป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่าเดิม สร้างชาติไทยที่เป็นของคนไทยยิ่งกว่าเดิม และทำให้รัฐธรรมนูญของเราเป็นรัฐธรรมนูญที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ถูกฉ้อฉล ไม่ถูกฉ้อโกง ทำให้ชาติของเราที่ถูกผลักตกลงไปในหุบเหว ตกลงไปในทะเลลึกนั้น ได้รับการกู้คืนกลับมา และประชาชนก็จะมีประเทศที่ประชาชนเป็นใหญ่อย่างแท้จริง เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง