วานนี้(16 มิ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง เป็นประธานการประชุมเร่งรัดติดตามความคืบหน้ากรณีบุคคล หรือกลุ่มบุคคล ที่กระทำความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยมี พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.ศ.ช่วยราชการ บช.น. พล.ต.ต.ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) ตัวแทนกองปราบปราม กองต่างประเทศ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล และกองบัญชาการตำรวจนครบาล เข้าร่วมประชุม
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ได้เรียกผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบเกี่ยวกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมาลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาประชุมหารือ เพื่อวางแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องกันทุกหน่วย โดยเฉพาะ บช.ที่ต้องรับผิดชอบ หรือ มีการรับแจ้งความให้ดำเนินการกับผู้กระทำผิดในคดีหมิ่นฯ ซึ่งตนได้กำหนดแนวทางที่ชัดเจน โดยให้ทุกหน่วยติดตามคดีหมิ่นฯ ที่เป็นคดีค้างเก่าว่า ได้ดำเนินไปถึงขั้นตอนใด ติดขัดตรงจุดไหน อย่างไร ส่วนคดีที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่มีการดำเนินการ หรือยังไม่มีผู้แจ้งความ หรือเป็นคดีที่เข้าข่ายเป็นคดีหมิ่นฯ แต่ยังไม่มีการแจ้งความร้องทุกข์ ก็ให้ดำเนินตรวจสอบจากหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร ภาพถ่ายจาก หนังสือพิมพ์ ทีวี หรือ วิดีโอต่างๆ ที่ปรากฏ ให้ตรวจสอบว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดหรือไม่ หากเข้าข่ายก็ให้ดำเนินการร้องทุกข์ตามระเบียบ ส่วนคดีที่ยังไม่เกิดก็ให้เฝ้าติดตาม ว่ามีการกระทำใดๆ ที่เข้าข่ายความผิดคดีหมิ่นฯ หรือไม่ โดยกำชับให้ดำเนินอย่างรอบคอบ และผู้ปฏิบัติต้องเอาใจใส่ติดตาม
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวต่อไปว่า ขณะเดียวกันตนได้สั่งการให้ กองการต่างประเทศ ตั้งเรื่องผ่านตนเองเพื่อขออนุมัติจาก พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รรท. ผบ.ตร. ในการตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามผู้ต้องหาที่ทำความผิดเกี่ยวกับคดีหมิ่นฯ โดยแบ่ง 2 กรณี ได้แก่ ผู้ที่กระทำผิดในประเทศและหลบหนีไปต่างประเทศ ขณะที่อีกกรณีคือ ผู้ที่กระทำผิดในต่างประเทศ และหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ ทั้งที้่เป็นคนไทย และเป็นคนไทยแต่ไปที่ถือสัญชาติอื่น ในส่วนนี้ยังแยกเป็น 2 กรณี คือ ผู้กระทำผิดอยู่นอกประเทศ แต่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย และมีหมายจับ อีกกรณี คือ ผู้ที่กระทำผิดอยู่นอกประเทศถือสัญชาติไทย และกระทำผิดในต่างประเทศ และจากการติดตามเร่งรัดคดีหมิ่นฯ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตำรวจสามารถขออนุมัติศาลออกหมายจับ น.ส.ฉัตรวดี อมรพัฒน์ หรือ “โรส”อายุ 34 ปี ที่มีการเผยแพร่คลิปที่เข้าข่ายความผิดคดีหมิ่นฯ คณะทำงานที่ตั้งขึ้นจะดำเนินการติดตามตัวบุคคลเหล่านี้ที่กระทำผิดมาดำเนินคดี โดยจะใช้ช่องทางตั้งแต่กองการต่างประเทศ ส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุด และกระทรวงการต่างประเทศ จากนั้นทางกระทรวงการต่างประเทศของไทยก็จะประสานไปยังกระทรวงต่างประเทศที่บุคคลเหล่านี้พำนัก
"คดีนี้เป็นคดีที่คนไทยให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ให้ความสำคัญกับคดีหมิ่นฯ เป็นอันดับต้นๆ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ได้สนองนโยบาย คสช. ผมขับเคลื่อนในฐานะที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาอาจจะไม่มีความเคลื่อนไหวด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ แต่วันนี้ผมบอกกับผู้ปฏิบัติทุกคนแล้วว่า ผมสตาร์ทเครื่องยนต์แล้ว และผมจะไม่ให้ดับด้วย นอกจากนี้ไม่อยากให้มองว่าการดำเนินการกับผู้กระทำผิดเหล่านี้เป็นการไปไล่ล่า แต่ให้มองว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ และต้องทำให้ครบ" รองผบ.ตร.กล่าว
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า นอกจากนี้กำชับให้ พล.ต.ต.เรวัช กลิ่นเกษร รรท.ผบช.ส. เรียกประชุมคณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นฯ หลังไม่ได้มีการประชุมกว่า 2 ปี แล้ว ซึ่งการจัดให้มีการประชุมพิจารณาคดีหมิ่นฯ ก็เพื่อความรอบคอบ ซึ่งตนได้กำชับ ว่าหากตำรวจสันติบาลจะร้องทุกข์กล่าวโทษ หรือ ดำเนินคดีหมิ่นฯ กับใครต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ และต้องพิจารณาในรูปคณะกรรมการ เพื่อที่จะได้มีความหลากหลายทางความคิด รอบคอบและจะได้ไม่ถูกมองว่าไปกลั่นแกล้งใคร ทั้งนี้ ในวันที่ 20 มิ.ย. เวลา 10.00 น.จะเรียกคณะทำงานเข้าร่วมประชุมอีกครั้งเพื่อนำข้อมูลต่างๆ ในทางคดีมาติดตามความคืบหน้า รงมทั้งข้อมูลคดีค้างเก่ามาพิจารณาเพื่อดำเนินการต่อไป
ด้าน พล.ต.ต.อำนวย กล่าวว่า การดำเนินการกับบุคคลที่ถูกออกหมายจับในคดีหมิ่นฯ แต่หลบหนีไปต่างประเทศ ตำรวจจะดำเนินการในรูปแบบเดียวกับการดำเนินการกับ นายราเกซ สักเสนา จำเลยในคดีบีบีซี ซึ่งยอมรับว่าขั้นตอนอาจจะต้องใช้เวลา แต่ก็ต้องทำ ซึ่งการดำเนินการตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้นผู้ที่รับผิดชอบได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และกระทรวงการต่างประเทศ แต่หากประเทศนั้นไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ก็จะใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยความร่วมมือทางอาญาระหว่างประเทศ พ.ศ.2535 ส่วนจะส่งตัวให้หรือไม่ หรือ เป็นคดีการเมือง เป็นเรื่องที่ประเทศที่เราร้องขอไปจะเป็นผู้พิจารณา
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ได้เรียกผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบเกี่ยวกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมาลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาประชุมหารือ เพื่อวางแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องกันทุกหน่วย โดยเฉพาะ บช.ที่ต้องรับผิดชอบ หรือ มีการรับแจ้งความให้ดำเนินการกับผู้กระทำผิดในคดีหมิ่นฯ ซึ่งตนได้กำหนดแนวทางที่ชัดเจน โดยให้ทุกหน่วยติดตามคดีหมิ่นฯ ที่เป็นคดีค้างเก่าว่า ได้ดำเนินไปถึงขั้นตอนใด ติดขัดตรงจุดไหน อย่างไร ส่วนคดีที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่มีการดำเนินการ หรือยังไม่มีผู้แจ้งความ หรือเป็นคดีที่เข้าข่ายเป็นคดีหมิ่นฯ แต่ยังไม่มีการแจ้งความร้องทุกข์ ก็ให้ดำเนินตรวจสอบจากหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร ภาพถ่ายจาก หนังสือพิมพ์ ทีวี หรือ วิดีโอต่างๆ ที่ปรากฏ ให้ตรวจสอบว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดหรือไม่ หากเข้าข่ายก็ให้ดำเนินการร้องทุกข์ตามระเบียบ ส่วนคดีที่ยังไม่เกิดก็ให้เฝ้าติดตาม ว่ามีการกระทำใดๆ ที่เข้าข่ายความผิดคดีหมิ่นฯ หรือไม่ โดยกำชับให้ดำเนินอย่างรอบคอบ และผู้ปฏิบัติต้องเอาใจใส่ติดตาม
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวต่อไปว่า ขณะเดียวกันตนได้สั่งการให้ กองการต่างประเทศ ตั้งเรื่องผ่านตนเองเพื่อขออนุมัติจาก พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รรท. ผบ.ตร. ในการตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามผู้ต้องหาที่ทำความผิดเกี่ยวกับคดีหมิ่นฯ โดยแบ่ง 2 กรณี ได้แก่ ผู้ที่กระทำผิดในประเทศและหลบหนีไปต่างประเทศ ขณะที่อีกกรณีคือ ผู้ที่กระทำผิดในต่างประเทศ และหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ ทั้งที้่เป็นคนไทย และเป็นคนไทยแต่ไปที่ถือสัญชาติอื่น ในส่วนนี้ยังแยกเป็น 2 กรณี คือ ผู้กระทำผิดอยู่นอกประเทศ แต่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย และมีหมายจับ อีกกรณี คือ ผู้ที่กระทำผิดอยู่นอกประเทศถือสัญชาติไทย และกระทำผิดในต่างประเทศ และจากการติดตามเร่งรัดคดีหมิ่นฯ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตำรวจสามารถขออนุมัติศาลออกหมายจับ น.ส.ฉัตรวดี อมรพัฒน์ หรือ “โรส”อายุ 34 ปี ที่มีการเผยแพร่คลิปที่เข้าข่ายความผิดคดีหมิ่นฯ คณะทำงานที่ตั้งขึ้นจะดำเนินการติดตามตัวบุคคลเหล่านี้ที่กระทำผิดมาดำเนินคดี โดยจะใช้ช่องทางตั้งแต่กองการต่างประเทศ ส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุด และกระทรวงการต่างประเทศ จากนั้นทางกระทรวงการต่างประเทศของไทยก็จะประสานไปยังกระทรวงต่างประเทศที่บุคคลเหล่านี้พำนัก
"คดีนี้เป็นคดีที่คนไทยให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ให้ความสำคัญกับคดีหมิ่นฯ เป็นอันดับต้นๆ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ได้สนองนโยบาย คสช. ผมขับเคลื่อนในฐานะที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาอาจจะไม่มีความเคลื่อนไหวด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ แต่วันนี้ผมบอกกับผู้ปฏิบัติทุกคนแล้วว่า ผมสตาร์ทเครื่องยนต์แล้ว และผมจะไม่ให้ดับด้วย นอกจากนี้ไม่อยากให้มองว่าการดำเนินการกับผู้กระทำผิดเหล่านี้เป็นการไปไล่ล่า แต่ให้มองว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ และต้องทำให้ครบ" รองผบ.ตร.กล่าว
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า นอกจากนี้กำชับให้ พล.ต.ต.เรวัช กลิ่นเกษร รรท.ผบช.ส. เรียกประชุมคณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นฯ หลังไม่ได้มีการประชุมกว่า 2 ปี แล้ว ซึ่งการจัดให้มีการประชุมพิจารณาคดีหมิ่นฯ ก็เพื่อความรอบคอบ ซึ่งตนได้กำชับ ว่าหากตำรวจสันติบาลจะร้องทุกข์กล่าวโทษ หรือ ดำเนินคดีหมิ่นฯ กับใครต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ และต้องพิจารณาในรูปคณะกรรมการ เพื่อที่จะได้มีความหลากหลายทางความคิด รอบคอบและจะได้ไม่ถูกมองว่าไปกลั่นแกล้งใคร ทั้งนี้ ในวันที่ 20 มิ.ย. เวลา 10.00 น.จะเรียกคณะทำงานเข้าร่วมประชุมอีกครั้งเพื่อนำข้อมูลต่างๆ ในทางคดีมาติดตามความคืบหน้า รงมทั้งข้อมูลคดีค้างเก่ามาพิจารณาเพื่อดำเนินการต่อไป
ด้าน พล.ต.ต.อำนวย กล่าวว่า การดำเนินการกับบุคคลที่ถูกออกหมายจับในคดีหมิ่นฯ แต่หลบหนีไปต่างประเทศ ตำรวจจะดำเนินการในรูปแบบเดียวกับการดำเนินการกับ นายราเกซ สักเสนา จำเลยในคดีบีบีซี ซึ่งยอมรับว่าขั้นตอนอาจจะต้องใช้เวลา แต่ก็ต้องทำ ซึ่งการดำเนินการตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้นผู้ที่รับผิดชอบได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และกระทรวงการต่างประเทศ แต่หากประเทศนั้นไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ก็จะใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยความร่วมมือทางอาญาระหว่างประเทศ พ.ศ.2535 ส่วนจะส่งตัวให้หรือไม่ หรือ เป็นคดีการเมือง เป็นเรื่องที่ประเทศที่เราร้องขอไปจะเป็นผู้พิจารณา