“พล.ต.อ.วัชรพล” รักษาราชการแทน ผบ.ตร.สัมมนาปรองดองสมานฉันท์และความร่วมมือป้องกันอาชญากรรมใน กทม.ระบุเจ้าหน้าที่มีแผนเฝ้าระวังเหตุร้าย ส่วนเหตุระเบิดแยกพระราม 9 อยู่ระหว่างตรวจสอบกล้องวงจรปิดและติดตามหาตัวคนร้าย
เมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ (14 มิ.ย.) ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) รักษาราชการแทน ผบ.ตร. เป็นประธานโครงการสัมมนาการสร้างความปรองดองสมานฉันท์และความร่วมมือการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมของคณะกรรมการติดตามและบริหารงานตำรวจ กรุงเทพมหานคร (กต.ตร.กทม. และ กต.ตร.สน.) โดยมี พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ ผู้อำนวยการศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายยุทธการ และ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมงานสัมมนาในครั้งนี้ด้วย โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนากว่า 1,323 คน
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า วันนี้ได้มีขอความร่วมมือทุกภาคส่วนรวมถึงหน่วยงานราชการ ถึงการดำเนินการต่อไป ซึ่งหากได้รับความร่วมเมื่อจากพี่น้องประชาชนภารกิจก็จะสามารถลุล่วงไปด้วยดี ส่วนในเรื่องของเหตุระเบิดเมื่อคืนนี้ ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการสืบสวนติดตามคนร้าย มีตรวจสอบกล้องวงจรปิด และรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ อย่างเร่งด่วน ซึ่งวัตถตุระเบิดยังคงมีหลงเหลืออยู่ในพื้นที่อยู่แล้วตั้งแต่ช่วงก่อนการมีรัฐประหาร เหตุการณ์เช่นนี้ประเทศเพื่อนบ้านก็มีเหมือนบ้านเรา โดยยังตอบไม่ได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวโยงกับการเมืองหรือไม่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการเพิ่มกำลังในการดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนหรือไม่หลังจากเกิดเหตุระเบิด
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่มีแผนการเพิ่มกำลังในพื้นที่ต่างๆ อยู่แล้ว โดยเฉพาะพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ขอให้ประชาชนมั่นใจในการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ที่ตั้งใจจะคืนความสุขให้ประชาชนตามนโยบาย คสช. ซึ่งต้องต้องทำความเข้าใจว่าเราเป็นเมืองใหญ่ เหตุเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง เรามีมาตรการพิเศษ และมีแผนรองรับเรื่องนี้อยู่แล้ว ส่วนจะมีการนำประกาศเคอร์ฟิวกลับมาใช้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับคณะ คสช.
พล.ท.กัมปนาท กล่าวว่า ในวันนี้มาให้ความรู้ และสร้างเข้าใจถึงบทบาทของศูนย์ปรองดองและจุดมุ่งหมายเป็นหลัก โดยมีการทำงานร่วมกันระหว่างตำรวจ และทหาร ซึ่งทุกฝ่ายเข้าใจถึงนโยบายของหัวหน้า คสช. และได้นำมาปฏิบัติเพื่อร่วมกันคืนความสุขให้แก่ประชาชนทุกคน ส่วนกรณีที่มีเหตุระเบิดอาร์จีดี 5 แยกพระราม 9 เมื่อคืนที่ผ่านมา ไม่หนักใจเนื่องจากตอนนี้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และตอนนี้ทุกภาคส่วนกำลังร่วมกันอย่างเต็มกำลัง ซึ่งมีผลให้เห็นเป็นรูปธรรม หากมีข้อผิดพลาดก็ต้องแก้ไขกันไป เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านช่วงนี้ไปให้ได้
ด้าน พ.ต.อ.กิติ ยุกตานนท์ ผกก.สน.มักกะสัน กล่าวถึงเหตุระเบิด บริเวณแยกพระราม 9 ทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหาย 2 คัน ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 19.30 น.ของวันที่ 13 มิ.ย. ขณะนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดว่าคนร้ายนำระเบิดมาวางไว้ หรือขว้างใส่ที่เกิดเหตุ รวมทั้งตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามเส้นทางใกล้เคียง ที่คาดว่าคนร้ายจะใช้เข้าก่อเหตุและหลบหนี ซึ่งในที่เกิดเหตุพบว่ามีรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นบริโอ้ สีขาว ได้รับความเสียหายยางรถด้านหน้าขวาแตก รวมทั้งรถเก๋งยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นมิราจ เสียหายหม้อน้ำแตก ภายหลังตรวจสอบแล้วพบว่าเสียหายจากแรงระเบิด จึงได้ประสานหน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด บก.สปพ. ไปตรวจสอบ ก็พบกระเดื่องของระเบิดชนิด อาร์จีดี 5 ตกอยู่สวนหย่อมใกล้ป้อมตำรวจ เจ้าหน้าที่จึงเก็บรายละเอียดที่พบไว้ไปตรวจสอบ ส่วนสาเหตุได้ตั้งไว้ 2 ประเด็น คือ จากจะเป็นการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความว่นวาย และประเด็นที่ 2 อาจจะเป็นการขับรถปาดหน้าแล้วคู่กรณีตามมาก่อเหตุก็เป็นได้ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้ง ต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง
ร.ต.ท.จักรภพ ฉิมผึ้งพระเนาว์ พงส.สน.มักกะสัน กล่าวว่า สอบปากคำผู้เสียหายไปแล้ว 1 ปาก ซึ่งเป็นเจ้าของรถยี่ห้อฮอนด้า รุ่นบริโอ ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุขับรถมาจากถนนพระรามเก้ามุ่งหน้าแยกพระรามเก้า ขณะกำลังเลี้ยวขวาเข้าถนนรัชดาภิเษก ก็ได้ยินเสียงดังคล้ายระเบิดบริเวณล้อหน้าด้านขวาจึงจอดรถ เพื่อลงมาตรวจสอบก็พบว่ายางล้อหน้าด้านขวาแตก เจ้าของรถจึงได้เรัยกประกันมาเนื่องจากคิดว่าเป็นอุบัติเหตุยางแตกเท่านั้น แต่เมื่อเจ้าหน้าที่สายตรวจ สน.ดินแดง ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมาตรวจสอบก็พบว่าสาเหตุของยางแตก น่าจะเกิดจากแรงระเบิด ก่อนเรียกเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานมาตรวจสอบ ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานผู้เสียหายอีก 1 ราย ซึ่งขับรถเก๋งยี่ห้อมิตซูบิชิ มิราจ มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม หลังจากนี้จะได้ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่หาข่าว รวมทั้งตรวจสอบว่าระเบิดดังกล่าวถูกนำมาวางหรือถูกโยนใส่ที่เกิดเหตุ เพื่อจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป