ศูนย์ข่าวภูมิภาค - กองทัพภาคที่ 2 เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารกว่า 800 นายเข้าตรวจโกดังข้าว 20 จังหวัดในภาคอีสาน ด้าน มทภ.3 สั่งล็อกโกดังข้าวทั้ง 35 แห่งของพิษณุโลกใช้ดินเหนียวโปะกุญแจ-ปั๊มตรา พล.ร.4 ล็อกเพิ่มอีก 1 หน่วยงานจาก 3 หน่วยงานเดิมที่เคยดูแล พุ่งเป้าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 55/56 ป้องกันเคลื่อนย้ายข้าว พร้อมจัดชุดลาดตระเวนทุกๆ 2 ชม. เช่นเดียวกับ จทบ.บุรีรัมย์จัดกำลังทหารร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าล็อกกุญแจโกดังจัดเก็บข้าวสารในโครงการรับจำนำปี 55-57 ที่เหลืออีก 6 โกดัง
วานนี้ (16 มิ.ย.) พ.อ.ชินกาจ รัตนจิตติ โฆษกกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยถึงความคืบหน้าทหารเข้าไปล็อกกุญแจดอกที่ 4 โกดังข้าวในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายรอการตรวจสอบความทุจริตโปร่งใส ตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า ขณะนี้ทางกองทัพภาคที่ 2 ได้ส่งกองกำลังหน่วยทหารในพื้นที่เร่งล็อกกุญแจโกดังข้าวให้ครบทุกแห่งภายใน 3 วันนี้แล้ว ซึ่งจากการตรวจสอบในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด มีโกดังข้าวอยู่ประมาณ 315 โกดัง ซึ่งตั้งอยู่ใน 14 จังหวัดเท่านั้น
ส่วนอีก 6 จังหวัดที่ไม่มีโกดังได้แก่ จ.หนองบัวลำภู, จ.หนองคาย, จ.บึงกาฬ, จ.มุกดาหาร, จ.เลย และ จ.มหาสารคาม ขณะที่ จ.สุรินทร์ มีโกดังข้าวมากที่สุดคือ 102 โกดัง ทั้งนี้ ในส่วนของการเข้าไปตรวจสอบคุณภาพ และปริมาณข้าวในโกดัง ก็ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของคณะอนุกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐจะมีคำสั่งมาอีกครั้ง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทหารยังไม่มีความรู้เรื่องด้านนี้ จึงต้องมีการอบรมกันก่อน โดยทางกองทัพภาคที่ 2 ได้จัดกองกำลังทหารร่วมตรวจสอบไว้ 100 ชุดๆ ละ 800 นาย ซึ่งจะมีการอบรม 2 ครั้ง
สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างจะอบรมที่ จ.นครราชสีมา ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนที่ จ.ขอนแก่น แต่ขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดวันที่ชัดเจน โดยจะมีเจ้าหน้าที่จากสำนักนายกฯ, กระทรวงพาณิชย์ และกรมการค้าภายในมาเป็นวิทยากรอบรมให้
"ส่วนหลังจากอบรมเสร็จแล้วจะมีการร่วมกันตรวจโกดังพร้อมกันหรือทยอยตรวจแต่ละพื้นที่ก็ต้องรอคำสั่งจากคณะอนุกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐอีกครั้ง" โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าว
**"มทภ.3" สั่งทหารล็อกโกดังข้าวทุกแห่ง
มีรายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อคืนวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.คู่ชีพ เลิศหงิม ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 4 กองทัพภาคที่ 3 ได้นำกำลังทหารพร้อมตำรวจ, การค้าภายใน, อคส., ปกครอง เข้าตรวจโกดังข้าวเปลือกในโกดังโรงสีมุ้ย เลขที่ 241/1 หมู่ 1 ต.บ้านกร่าง อ.เมือง จ.พิษณุโลก ซึ่งโรงสีแห่งนี้เป็นโกดังกลางตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 255/56 มีจำนวน 5 โกดัง จัดเก็บข้าวกว่า 1 ล้านกระสอบ
จากนั้นได้ให้เจ้าหน้าที่ทหารนำกุญแจไปล็อกเพิ่มอีก 1 ชุด พร้อมใช้ดินเหนียวปั้นปิดลูกกุญแจปั๊มตรากองพลทหารราบที่ 4 เพื่อป้องกันการทุจริต จากเดิมที่มีหน่วยงานถือกุญแจเปิด-ปิดโกดังเพียง 3 หน่วยงาน คือ ฝ่ายปกครอง อคส. ผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว
พล.ต.คู่ชีพ กล่าวว่า หลังจากมีกระแสข่าวว่าจะมีการโยกย้ายข้าวตามโกดังต่างๆ ในพื้นที่ภาคเหนือ แม่ทัพภาคที่ 3 จึงสั่งการให้ทหารเข้ามาตรวจสอบ โดยนำกุญแจมาล็อกเพิ่มอีก 1 ชุดเพื่อป้องกันการทุจริต โดยกุญแจของทหารนั้นมีดินเหนียวปั้นปิดกุญแจไว้ และประทับตราของกองพลทหารราบที่ 4 เฉพาะพื้นที่ จ.พิษณุโลกมีทั้งสิ้น 35 แห่ง แต่ละแห่งจะมีเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลาดตระเวนตรวจสอบทุกๆ 2 ชั่วโมง จนกว่าจะมีอนุคณะกรรมการตรวจรับข้าวมาดำเนินการอีกครั้ง
**ทหารบุรีรัมย์กระจายล็อกโกดังข้าวอีก6แห่ง
ด้านจังหวัดทหารบกบุรีรัมย์ ได้จัดกำลังทหาร ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระจายลงพื้นที่ 3 อำเภอ มี อ.ประโคนชัย อ.นางรอง และ อ.พุทไธสง เพื่อเข้าทำการล็อกกุญแจโกดังกลางจัดเก็บข้าวสารในโครงการรับจำนำปี 2555/57 ที่เหลืออีก 6 โกดัง จากเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ได้เข้าล็อกกุญแจไปแล้ว 1 โกดังในเขต อ.เมืองบุรีรัมย์
ทั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามนโยบายของ คสช.เพื่อเพิ่มมาตรการเข้มในการดูแลข้าวสารที่จัดเก็บไว้ในโกดังเพิ่มอีก 1 ฝ่าย จากที่ก่อนหน้านี้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลกุญแจโกดังกลางเพียง 3 ฝ่าย คือ ผู้แทนจังหวัด เจ้าหน้าที่ อคส.และบริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าว
พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ทหารยังได้ตรวจเช็กกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้รอบบริเวณโกดังกลางด้วยว่าอยู่ในสภาพที่ใช้การได้หรือไม่ เพื่อเป็นการป้องกันการทุจริตหรือลักลอบขนย้ายข้าวสารในโครงการรับจำนำออกจากโกดังกลางดังกล่าว เนื่องจากบุรีรัมย์เป็นอีกหนึ่งพื้นที่จังหวัดที่มีการกระทำทุจริตลักลอบขนย้ายข้าวออกจากโกดัง จนมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมาแล้วและขณะนี้เรื่องยังอยู่ในกระบวนการศาล
หลังจากที่ทางทหารเข้าดำเนินการล็อกกุญแจโกดังกลางครบทั้ง 7 แห่งใน จ.บุรีรัมย์ แล้ว จะได้ร่วมกับหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเข้าทำการตรวจสอบคุณภาพและปริมาณข้าวสารในโกดังตามคำสั่งของ คสช. และทำบันทึกรายงานให้ผู้บังคับบัญชาได้รับทราบด้วย
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานการค้าภายในจังหวัดบุรีรัมย์พบว่า จ.บุรีรัมย์ มีโกดังกลางจัดเก็บข้าวสารในโครงการรับจำนำปี 2555/57 อยู่ทั้งหมด 7 แห่ง ขณะนี้มีข้าวสารที่จัดเก็บไว้ในโกดังกลางตามบัญชีที่ระบุไว้ รวมทั้งสิ้น 224,791 กระสอบ หรือกว่า 22,470 ตัน
**คล้องกุญแจล็อกโกดังข้าวขอนแก่น
ด้าน พ.อ.ประกิจ ทับทอง รองผู้บัญชาการ มณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร์ ได้เดินทางไปที่ คลังสินค้ากลาง จักรเพชรการเกษตร เลขที่ 176 ม.9 ต.บ้านทุ่ม อ.เมืองขอนแก่น ซึ่งเป็นสถานที่เก็บข้าวโครงการรับจำนำข้าว ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 พร้อมกับเจ้าหน้าที่การค้าภายในขอนแก่น ปลัดอำเภอเมืองขอนแก่น ตัวแทน อคส.เพื่อนำแม่กุญแจไปล็อกประตูโกดังข้าวโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ซึ่งเป็นคลังสินค้าในความรับผิดชอบของ อคส. ซึ่งเป็นการเข้าไปปิดล็อกกุญแจแบบกระทัน ทำให้เจ้าของโกดัง เตรียมตัวแทบไม่ทันเนื่องจากโกดังแห่งนี้เป็นลานรับซื้อมันสำปะหลัง มีกองมันกองปิดประตูโกดัง จนต้องเร่งให้คนงานช่วยกันเปิดทางอย่างเร่งด่วน
สำหรับโกดัง จักรเพชรการเกษตร เป็นสถานที่เก็บข้าวโครงการรับจำนำข้าว ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 จำนวน 3 โกดัง ที่ต.บ้านทุ่ม 2 โกดัง จำนวน 118,786 กระสอบ และที่ อ.หนองเรืออีก 1 โกดัง จำนวน 70,663 กระสอบ
**ปิดล็อกโกดังเก็บข้าวอยุธยา 15 แห่ง
นายชัยรัตน์ บุญส่ง การค้าภายในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา จังหวัดทหารบกสระบุรี ซึ่งรับผิดชอบในเขต จ.พระนครศรีอยุธยา ได้มอบหมายให้ พ.อ.ศุภเศรษฐ์ สว่างแสง สัสดีจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นตัวแทนฝ่ายทหารนำแม่กุญแจชุดที่ 4 ไปปิดล๊อกเพิ่มที่โกดังกลางเก็บข้าวสารตามโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลรวม 15 แห่งใน จ.ระนครสรีอยุธยา ปริมาณจัดเก็บรวมกว่า 175,000 ตัน ซึ่งตามปกติทุกโกดังจะมีแม่กุญแจล็อกแค่ 3 ชุดคือชุดที่ 1 ของ อคส.ชุดที่ 2 ของจังหวัด และชุดที่ 3 ของบริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าว โดยกุญแจของทหารถือเป็นชุดที่ 4 ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเพื่อเป็นการป้องกันการทุจริต และบริหารจัดการทุกอย่างให้โปร่งใส่ อย่างไรก็ตามพบว่าทุกโกดังให้ความร่วมมือในการดำเนินการในครั้งนี้
**ล็อกโกดังข้าวนครศรีฯ หลังแอบขนย้าย
ส่วนที่โกดังข้าว บริษัทมหาชัยพาราวู๊ด ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบหลังจากพบว่ามีรถบรรทุกเข้าเปิดโกดังขนย้ายข้าวสารอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้แจ้งให้ฝ่ายตำรวจ และทหารทราบ ขณะเดียวกัน พ.อ.ภาสกร ทวีตา เสนาธิการมณฑลทหารบกที่ 41 ได้เข้าทำการตรวจสอบการขนย้ายทันที เนื่องจากเสี่ยงต่อการขัดคำสั่งในการปิดล็อกโกดังเพื่อทำการตรวจสต๊อกทั้งหมด
โดยการตรวจสอบเอกสารพบว่านางจุฑาภรณ์ สถิตกุลทอง ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ น.ส.สิริภัต จุลทอง ชาวอำเภอหัวไทร เป็นผู้ขนย้ายข้าวสาร 50 แสนกิโลกรัมชนิดข้าวสาร 10 เปอร์เซ็นต์ ปีการผลิต 2555 จากโกดังข้าวแห่งนี้ ตามใบส่งสินค้าที่ออกโดย อคส.ที่มีรายละเอียดสั่งซื้อโดยร้านจุฑาภรณ์การค้า มีที่ตั้งอยู่ใน จ.สงขลา โดยจำนวนน้ำหนักข้าว 6 แสนกิโลกรัม ที่ลูกค้ารายนี้ได้ซื้อจาก อคส.ในราคากิโลกรัมละ 9 บาท 30 สตางค์ รวมเป็นเงิน 5,580,000 บาท แต่ได้แจ้งยอดการขนส่งต่อเจ้าหน้าที่ว่าข้างที่ต้องขนส่งทั้งหมดนั้นมีจำนวน 66,212 กระสอบ
และเป็นที่น่าสังเกตว่าการขนย้ายข้าวสารนั้นได้ขนออกไปเกือบหมดโกดังแล้ว เหลือเพียงปริมาณไม่กี่พันกระสอบเท่านั้น ส่วนรถที่ขนส่งนั้นเป็นรถที่มีป้ายทะเบียนจากจังหวัดสุพรรณบุรีทั้งสิ้น ส่วนผู้รับมอบอำนาจนั้นอ้างว่าข้าวทั้งหมดจะถูกขนย้ายไปเก็บยังโกดังใน อ.หัวไทร ก่อนที่กระจายไปสู่ตลาด ซึ่งจำเป็นต้องขนย้ายให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 24 มิ.ย.นี้ที่เป็นวันหมดสัญญา และการทำสัญญาซื้อขายกับ อคส.นั้นได้เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการยึดอำนาจ
พ.อ.ภาสกร ทวีตา เสนาธิการมณฑลทหารบกที่ 41 ได้เข้าตรวจสอบการขนย้ายพร้อมทั้งประสานไปยังคณะทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่รับผิดชอบงานด้านนี้เพื่อตรวจสอบข้อมูล และพิจารณาว่าจะต้องระงับการขนย้ายไว้ก่อน หรือมีการตรวจสอบหรือไม่อย่างไร ขณะเดียวกัน ทหารได้นำกุญแจเข้าล็อกประตูโกดังข้าวที่เหลือที่ยังไม่มีการขนย้ายไว้ก่อน เพื่อทำการตรวจสอบทั้งระบบ
***นพ.วรงค์แนะทำให้ชาวนาอยู่ได้
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่เห็นด้วยกับโครงการประกันราคาข้าวและโครงการรับจำนำข้าว ว่า ส่วนตัวไม่ติดใจว่าจะยกเลิกทั้ง 2 โครงการหรือไม่ หาก คสช.มีมาตรการอื่นในการช่วยเหลือที่ดีกว่า แต่อยากให้ช่วยเหลือทั้งระยะสั้นและระยะยาว ที่สำคัญคือทำอย่างไรให้อยู่ในจุดที่สมดุล กับสถานภาพการเงินการคลังของประเทศ และชาวนาต้องอยู่ได้โดยที่ตัวเองไม่เป็นภาระด้วย
นพ.วรงค์ กล่าวว่า การช่วยเหลือชาวนาแบบเฉพาะหน้ายังมีความจำเป็นที่ต้องทำ แต่ไม่ทราบว่า คสช.จะทำรูปแบบไหน ส่วนตัวคิดว่าการประกันรายได้ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด แต่สัมพันธ์กับราคาข้าวในตลาด ทั้งนี้ตนเกรงว่าคนที่ให้ข้อมูล คสช.เรื่องการประกันรายได้อาจจะเข้าใจเรื่องประกันรายได้ไม่ดี ก็เลยอาจจะมองโครงการนี้แบบเข้าใจผิด แต่ถ้าคิดว่ามีโครงการที่ดีกว่านี้ พรรคประชาธิปัตย์ก็เห็นด้วย เพราะในสภาวะอย่างนี้ยังจำเป็นที่ต้องช่วยเหลือชาวนาอยู่ โดยพิจารณาถึงความเหมาะสม ก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย
***โรงสีหนุนนโยบายชดเชยขายข้าว
นายมนัส กิจประเสริฐ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย เปิดเผยว่า เห็นด้วยที่ คสช.จะใช้นโยบายชดเชยขายข้าวเปลือกทดแทนโครงการรับจำนำ หรือประกันรายได้ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องกำหนดหลักเกณฑ์ทีชัดเจน เน้นเกษตรกรรายย่อยได้รับชดเชยขายข้าวต่ำกว่าราคาตลาด จากกรณีที่มีความชื้นสูง โดยต้องเน้นชาวนาระดับล่าง เพื่อให้ได้เงินค่าขายข้าว และชดเชยเพียงพอต่อภาระต้นทุนเพาะปลูก และให้ปล่อยไปตามกลไกตลาด น่าจะช่วยให้ราคาข้าวโดยรวมกลับมาดีขึ้นได้
วานนี้ (16 มิ.ย.) พ.อ.ชินกาจ รัตนจิตติ โฆษกกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยถึงความคืบหน้าทหารเข้าไปล็อกกุญแจดอกที่ 4 โกดังข้าวในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายรอการตรวจสอบความทุจริตโปร่งใส ตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า ขณะนี้ทางกองทัพภาคที่ 2 ได้ส่งกองกำลังหน่วยทหารในพื้นที่เร่งล็อกกุญแจโกดังข้าวให้ครบทุกแห่งภายใน 3 วันนี้แล้ว ซึ่งจากการตรวจสอบในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด มีโกดังข้าวอยู่ประมาณ 315 โกดัง ซึ่งตั้งอยู่ใน 14 จังหวัดเท่านั้น
ส่วนอีก 6 จังหวัดที่ไม่มีโกดังได้แก่ จ.หนองบัวลำภู, จ.หนองคาย, จ.บึงกาฬ, จ.มุกดาหาร, จ.เลย และ จ.มหาสารคาม ขณะที่ จ.สุรินทร์ มีโกดังข้าวมากที่สุดคือ 102 โกดัง ทั้งนี้ ในส่วนของการเข้าไปตรวจสอบคุณภาพ และปริมาณข้าวในโกดัง ก็ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของคณะอนุกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐจะมีคำสั่งมาอีกครั้ง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทหารยังไม่มีความรู้เรื่องด้านนี้ จึงต้องมีการอบรมกันก่อน โดยทางกองทัพภาคที่ 2 ได้จัดกองกำลังทหารร่วมตรวจสอบไว้ 100 ชุดๆ ละ 800 นาย ซึ่งจะมีการอบรม 2 ครั้ง
สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างจะอบรมที่ จ.นครราชสีมา ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนที่ จ.ขอนแก่น แต่ขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดวันที่ชัดเจน โดยจะมีเจ้าหน้าที่จากสำนักนายกฯ, กระทรวงพาณิชย์ และกรมการค้าภายในมาเป็นวิทยากรอบรมให้
"ส่วนหลังจากอบรมเสร็จแล้วจะมีการร่วมกันตรวจโกดังพร้อมกันหรือทยอยตรวจแต่ละพื้นที่ก็ต้องรอคำสั่งจากคณะอนุกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐอีกครั้ง" โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าว
**"มทภ.3" สั่งทหารล็อกโกดังข้าวทุกแห่ง
มีรายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อคืนวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.คู่ชีพ เลิศหงิม ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 4 กองทัพภาคที่ 3 ได้นำกำลังทหารพร้อมตำรวจ, การค้าภายใน, อคส., ปกครอง เข้าตรวจโกดังข้าวเปลือกในโกดังโรงสีมุ้ย เลขที่ 241/1 หมู่ 1 ต.บ้านกร่าง อ.เมือง จ.พิษณุโลก ซึ่งโรงสีแห่งนี้เป็นโกดังกลางตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 255/56 มีจำนวน 5 โกดัง จัดเก็บข้าวกว่า 1 ล้านกระสอบ
จากนั้นได้ให้เจ้าหน้าที่ทหารนำกุญแจไปล็อกเพิ่มอีก 1 ชุด พร้อมใช้ดินเหนียวปั้นปิดลูกกุญแจปั๊มตรากองพลทหารราบที่ 4 เพื่อป้องกันการทุจริต จากเดิมที่มีหน่วยงานถือกุญแจเปิด-ปิดโกดังเพียง 3 หน่วยงาน คือ ฝ่ายปกครอง อคส. ผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว
พล.ต.คู่ชีพ กล่าวว่า หลังจากมีกระแสข่าวว่าจะมีการโยกย้ายข้าวตามโกดังต่างๆ ในพื้นที่ภาคเหนือ แม่ทัพภาคที่ 3 จึงสั่งการให้ทหารเข้ามาตรวจสอบ โดยนำกุญแจมาล็อกเพิ่มอีก 1 ชุดเพื่อป้องกันการทุจริต โดยกุญแจของทหารนั้นมีดินเหนียวปั้นปิดกุญแจไว้ และประทับตราของกองพลทหารราบที่ 4 เฉพาะพื้นที่ จ.พิษณุโลกมีทั้งสิ้น 35 แห่ง แต่ละแห่งจะมีเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลาดตระเวนตรวจสอบทุกๆ 2 ชั่วโมง จนกว่าจะมีอนุคณะกรรมการตรวจรับข้าวมาดำเนินการอีกครั้ง
**ทหารบุรีรัมย์กระจายล็อกโกดังข้าวอีก6แห่ง
ด้านจังหวัดทหารบกบุรีรัมย์ ได้จัดกำลังทหาร ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระจายลงพื้นที่ 3 อำเภอ มี อ.ประโคนชัย อ.นางรอง และ อ.พุทไธสง เพื่อเข้าทำการล็อกกุญแจโกดังกลางจัดเก็บข้าวสารในโครงการรับจำนำปี 2555/57 ที่เหลืออีก 6 โกดัง จากเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ได้เข้าล็อกกุญแจไปแล้ว 1 โกดังในเขต อ.เมืองบุรีรัมย์
ทั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามนโยบายของ คสช.เพื่อเพิ่มมาตรการเข้มในการดูแลข้าวสารที่จัดเก็บไว้ในโกดังเพิ่มอีก 1 ฝ่าย จากที่ก่อนหน้านี้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลกุญแจโกดังกลางเพียง 3 ฝ่าย คือ ผู้แทนจังหวัด เจ้าหน้าที่ อคส.และบริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าว
พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ทหารยังได้ตรวจเช็กกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้รอบบริเวณโกดังกลางด้วยว่าอยู่ในสภาพที่ใช้การได้หรือไม่ เพื่อเป็นการป้องกันการทุจริตหรือลักลอบขนย้ายข้าวสารในโครงการรับจำนำออกจากโกดังกลางดังกล่าว เนื่องจากบุรีรัมย์เป็นอีกหนึ่งพื้นที่จังหวัดที่มีการกระทำทุจริตลักลอบขนย้ายข้าวออกจากโกดัง จนมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมาแล้วและขณะนี้เรื่องยังอยู่ในกระบวนการศาล
หลังจากที่ทางทหารเข้าดำเนินการล็อกกุญแจโกดังกลางครบทั้ง 7 แห่งใน จ.บุรีรัมย์ แล้ว จะได้ร่วมกับหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเข้าทำการตรวจสอบคุณภาพและปริมาณข้าวสารในโกดังตามคำสั่งของ คสช. และทำบันทึกรายงานให้ผู้บังคับบัญชาได้รับทราบด้วย
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานการค้าภายในจังหวัดบุรีรัมย์พบว่า จ.บุรีรัมย์ มีโกดังกลางจัดเก็บข้าวสารในโครงการรับจำนำปี 2555/57 อยู่ทั้งหมด 7 แห่ง ขณะนี้มีข้าวสารที่จัดเก็บไว้ในโกดังกลางตามบัญชีที่ระบุไว้ รวมทั้งสิ้น 224,791 กระสอบ หรือกว่า 22,470 ตัน
**คล้องกุญแจล็อกโกดังข้าวขอนแก่น
ด้าน พ.อ.ประกิจ ทับทอง รองผู้บัญชาการ มณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร์ ได้เดินทางไปที่ คลังสินค้ากลาง จักรเพชรการเกษตร เลขที่ 176 ม.9 ต.บ้านทุ่ม อ.เมืองขอนแก่น ซึ่งเป็นสถานที่เก็บข้าวโครงการรับจำนำข้าว ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 พร้อมกับเจ้าหน้าที่การค้าภายในขอนแก่น ปลัดอำเภอเมืองขอนแก่น ตัวแทน อคส.เพื่อนำแม่กุญแจไปล็อกประตูโกดังข้าวโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ซึ่งเป็นคลังสินค้าในความรับผิดชอบของ อคส. ซึ่งเป็นการเข้าไปปิดล็อกกุญแจแบบกระทัน ทำให้เจ้าของโกดัง เตรียมตัวแทบไม่ทันเนื่องจากโกดังแห่งนี้เป็นลานรับซื้อมันสำปะหลัง มีกองมันกองปิดประตูโกดัง จนต้องเร่งให้คนงานช่วยกันเปิดทางอย่างเร่งด่วน
สำหรับโกดัง จักรเพชรการเกษตร เป็นสถานที่เก็บข้าวโครงการรับจำนำข้าว ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 จำนวน 3 โกดัง ที่ต.บ้านทุ่ม 2 โกดัง จำนวน 118,786 กระสอบ และที่ อ.หนองเรืออีก 1 โกดัง จำนวน 70,663 กระสอบ
**ปิดล็อกโกดังเก็บข้าวอยุธยา 15 แห่ง
นายชัยรัตน์ บุญส่ง การค้าภายในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา จังหวัดทหารบกสระบุรี ซึ่งรับผิดชอบในเขต จ.พระนครศรีอยุธยา ได้มอบหมายให้ พ.อ.ศุภเศรษฐ์ สว่างแสง สัสดีจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นตัวแทนฝ่ายทหารนำแม่กุญแจชุดที่ 4 ไปปิดล๊อกเพิ่มที่โกดังกลางเก็บข้าวสารตามโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลรวม 15 แห่งใน จ.ระนครสรีอยุธยา ปริมาณจัดเก็บรวมกว่า 175,000 ตัน ซึ่งตามปกติทุกโกดังจะมีแม่กุญแจล็อกแค่ 3 ชุดคือชุดที่ 1 ของ อคส.ชุดที่ 2 ของจังหวัด และชุดที่ 3 ของบริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าว โดยกุญแจของทหารถือเป็นชุดที่ 4 ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเพื่อเป็นการป้องกันการทุจริต และบริหารจัดการทุกอย่างให้โปร่งใส่ อย่างไรก็ตามพบว่าทุกโกดังให้ความร่วมมือในการดำเนินการในครั้งนี้
**ล็อกโกดังข้าวนครศรีฯ หลังแอบขนย้าย
ส่วนที่โกดังข้าว บริษัทมหาชัยพาราวู๊ด ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบหลังจากพบว่ามีรถบรรทุกเข้าเปิดโกดังขนย้ายข้าวสารอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้แจ้งให้ฝ่ายตำรวจ และทหารทราบ ขณะเดียวกัน พ.อ.ภาสกร ทวีตา เสนาธิการมณฑลทหารบกที่ 41 ได้เข้าทำการตรวจสอบการขนย้ายทันที เนื่องจากเสี่ยงต่อการขัดคำสั่งในการปิดล็อกโกดังเพื่อทำการตรวจสต๊อกทั้งหมด
โดยการตรวจสอบเอกสารพบว่านางจุฑาภรณ์ สถิตกุลทอง ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ น.ส.สิริภัต จุลทอง ชาวอำเภอหัวไทร เป็นผู้ขนย้ายข้าวสาร 50 แสนกิโลกรัมชนิดข้าวสาร 10 เปอร์เซ็นต์ ปีการผลิต 2555 จากโกดังข้าวแห่งนี้ ตามใบส่งสินค้าที่ออกโดย อคส.ที่มีรายละเอียดสั่งซื้อโดยร้านจุฑาภรณ์การค้า มีที่ตั้งอยู่ใน จ.สงขลา โดยจำนวนน้ำหนักข้าว 6 แสนกิโลกรัม ที่ลูกค้ารายนี้ได้ซื้อจาก อคส.ในราคากิโลกรัมละ 9 บาท 30 สตางค์ รวมเป็นเงิน 5,580,000 บาท แต่ได้แจ้งยอดการขนส่งต่อเจ้าหน้าที่ว่าข้างที่ต้องขนส่งทั้งหมดนั้นมีจำนวน 66,212 กระสอบ
และเป็นที่น่าสังเกตว่าการขนย้ายข้าวสารนั้นได้ขนออกไปเกือบหมดโกดังแล้ว เหลือเพียงปริมาณไม่กี่พันกระสอบเท่านั้น ส่วนรถที่ขนส่งนั้นเป็นรถที่มีป้ายทะเบียนจากจังหวัดสุพรรณบุรีทั้งสิ้น ส่วนผู้รับมอบอำนาจนั้นอ้างว่าข้าวทั้งหมดจะถูกขนย้ายไปเก็บยังโกดังใน อ.หัวไทร ก่อนที่กระจายไปสู่ตลาด ซึ่งจำเป็นต้องขนย้ายให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 24 มิ.ย.นี้ที่เป็นวันหมดสัญญา และการทำสัญญาซื้อขายกับ อคส.นั้นได้เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการยึดอำนาจ
พ.อ.ภาสกร ทวีตา เสนาธิการมณฑลทหารบกที่ 41 ได้เข้าตรวจสอบการขนย้ายพร้อมทั้งประสานไปยังคณะทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่รับผิดชอบงานด้านนี้เพื่อตรวจสอบข้อมูล และพิจารณาว่าจะต้องระงับการขนย้ายไว้ก่อน หรือมีการตรวจสอบหรือไม่อย่างไร ขณะเดียวกัน ทหารได้นำกุญแจเข้าล็อกประตูโกดังข้าวที่เหลือที่ยังไม่มีการขนย้ายไว้ก่อน เพื่อทำการตรวจสอบทั้งระบบ
***นพ.วรงค์แนะทำให้ชาวนาอยู่ได้
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่เห็นด้วยกับโครงการประกันราคาข้าวและโครงการรับจำนำข้าว ว่า ส่วนตัวไม่ติดใจว่าจะยกเลิกทั้ง 2 โครงการหรือไม่ หาก คสช.มีมาตรการอื่นในการช่วยเหลือที่ดีกว่า แต่อยากให้ช่วยเหลือทั้งระยะสั้นและระยะยาว ที่สำคัญคือทำอย่างไรให้อยู่ในจุดที่สมดุล กับสถานภาพการเงินการคลังของประเทศ และชาวนาต้องอยู่ได้โดยที่ตัวเองไม่เป็นภาระด้วย
นพ.วรงค์ กล่าวว่า การช่วยเหลือชาวนาแบบเฉพาะหน้ายังมีความจำเป็นที่ต้องทำ แต่ไม่ทราบว่า คสช.จะทำรูปแบบไหน ส่วนตัวคิดว่าการประกันรายได้ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด แต่สัมพันธ์กับราคาข้าวในตลาด ทั้งนี้ตนเกรงว่าคนที่ให้ข้อมูล คสช.เรื่องการประกันรายได้อาจจะเข้าใจเรื่องประกันรายได้ไม่ดี ก็เลยอาจจะมองโครงการนี้แบบเข้าใจผิด แต่ถ้าคิดว่ามีโครงการที่ดีกว่านี้ พรรคประชาธิปัตย์ก็เห็นด้วย เพราะในสภาวะอย่างนี้ยังจำเป็นที่ต้องช่วยเหลือชาวนาอยู่ โดยพิจารณาถึงความเหมาะสม ก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย
***โรงสีหนุนนโยบายชดเชยขายข้าว
นายมนัส กิจประเสริฐ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย เปิดเผยว่า เห็นด้วยที่ คสช.จะใช้นโยบายชดเชยขายข้าวเปลือกทดแทนโครงการรับจำนำ หรือประกันรายได้ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องกำหนดหลักเกณฑ์ทีชัดเจน เน้นเกษตรกรรายย่อยได้รับชดเชยขายข้าวต่ำกว่าราคาตลาด จากกรณีที่มีความชื้นสูง โดยต้องเน้นชาวนาระดับล่าง เพื่อให้ได้เงินค่าขายข้าว และชดเชยเพียงพอต่อภาระต้นทุนเพาะปลูก และให้ปล่อยไปตามกลไกตลาด น่าจะช่วยให้ราคาข้าวโดยรวมกลับมาดีขึ้นได้