xs
xsm
sm
md
lg

ไทยไม่ต่อต้านชาติเห็นต่าง "บิ๊กตู่"ลั่นส.ค.นี้มีสนช. เด้ง"สุวิจักขณ์-อรรถพล-สุรชัย"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-"ประยุทธ์"ยันไทยไม่ต่อต้านประเทศที่เห็นต่าง วอนทูต กงสุลใหญ่ เร่งทำความเข้าใจเจตนารมณ์การยึดอำนาจของ คสช. เพื่อผลักดันประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ แจงโรดแมป ส.ค.นี้ มี สนช. แน่ เผยยังจะทำงานควบคู่รัฐบาลไปก่อน จัดอีกกิจกรรมปรองดอง ดูหนังฟรี "ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ภาค5"ทั่วประเทศ 15 มิ.ย.นี้ กห.นำผู้แทนเหล่าทัพเยือนจีน กระชับสัมพันธ์ "เจ๊เพ็ญ"กร่างไม่เลิก โพสต์เฟซอัด คสช. เผยตั้งองค์กรต่อสู้แล้ว นำตัว บก.ลายจุด รับทราบข้อหา ก่อนส่งตัวขึ้นศาลทหาร ล่าสุด สั่งเด้ง "สุวิจักขณ์" พ้นเลขาฯ สภาผู้แทน "อรรถพล" พ้นอัยการสูงสุด และ "สุรชัย" พ้นปลัดไอซีที

เมื่อเวลา 10.00น.วานนี้ (11มิ.ย.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช). และพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะรองหัวหน้าคสช. ดูแลงานด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ร่วมพบปะหารือกับผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศ นำโดยนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมเอกอัครราชทูตไทยและกงสุลใหญ่ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ รวมทั้งสหรัฐฯ และออสเตรเลีย รวม 23 คน เพื่อรับทราบแนวทางและแผนดำเนินการ หรือโรดแมปของ คสช. เพื่อนำข้อมูลไปสร้างความเข้าใจกับประเทศต่างๆ ต่อไป

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศและตัวแทนของประเทศไทยที่ปฏิบัติงานอยู่ในต่างประเทศ ในการช่วยสร้างความเข้าใจให้กับประเทศต่างๆ ซึ่งขณะนี้ขอยืนยันว่า การทำงานทุกด้านกำลังขับเคลื่อนโดยส่วนราชการ กระทรวง ทบวง กรม เพื่อเร่งแก้ปัญหา โดยคำนึงถึงประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ขณะนี้ประเทศชาติมีปัญหา ดังนั้น ข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ต้องช่วยกันแก้ไข เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ เพราะประเทศไทยไม่สามารถอยู่คนเดียวในโลกได้ และรายได้หลักของประเทศ ก็มาจากการส่งออก ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับประเทศนั้น

"การที่ คสช. เข้าควบคุมอำนาจการปกครองในครั้งนี้ จะให้ทุกประเทศเห็นชอบในสิ่งที่ คสช.ดำเนินการ คงเป็นไปไม่ได้ แต่เราต้องคำนึงถึงเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของเราด้วย ไทยจะไม่ไปต่อต้านประเทศที่เห็นต่าง หน้าที่ของเรา คือ เร่งทำความเข้าใจ และคาดหวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายลงเมื่อประเทศนั้นๆ ได้ทราบเจตนารมณ์ของ คสช. จึงอยากให้ทูต รวมถึงข้าราชการ ได้ช่วยกันอธิบายอย่างเป็นเป็นทางการ และการพูดคุยส่วนตัวกับทูตประเทศนั้นๆ ให้ยืนยัน ว่า คสช. ต้องการให้ระบอบประชาธิปไตยในประเทศมีความสมบูรณ์ มีฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ ประกอบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ที่เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ ในครั้งนี้ เช่น นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก นางนงนุช เพ็ชรรัตน์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน นายอภิชาติ ชินวรรโณ เอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส นายธนาธิป อุปัติศฤงค์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว นายธีรเทพ พรหมวงศานนท์ กงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ เป็นต้น

***มอบทูตเป็นกระบอกเสียงชี้แจง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงหนึ่งของการประชุมร่วมกับทูตและกงศุลไทยจาก 23 ประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ย้ำว่า อยากเห็นเรื่องการใช้กฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนเชื่อกฎหมาย ส่วนสถาบันที่เป็นเสาหลักของประเทศต้องอยู่เหนือความขัดแย้ง ไม่อยากให้ดึงสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมือง จึงจำเป็นต้องใช้กฎหมายปกป้องสถาบัน อยากให้ทุกคนให้ความสำคัญ และอยากให้ไปอธิบายให้ต่างชาติเข้าใจ เพราะทุกประเทศมีศักดิ์ศรีของตัวเอง อยากให้เป็นมิตรกับประเทศไทย และให้กำลังใจกับไทยที่จะก้าวผ่านตรงนี้ รวมทั้งอยากให้ไปทำความเข้าใจอย่าให้ใครไปใช้ประเทศเป็นฐานความเคลื่อนไหว เพื่อต่อต้านไทย

***"ประยุทธ์"ลั่นสิงหามี สนช.แน่

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังได้ยืนยันถึงกรอบเวลาที่ชัดเจนในการบริหารราชการแผ่นดินว่า จะจัดตั้งรัฐบาลภายใน 3 เดือน ให้นับตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค เป็นต้นไป โดยจะมีธรรมนูญปกครองชั่วคราว มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และสภาปฏิรูป โดยในช่วงเดือน ส.ค. จะมี สนช.อย่างแน่นอน และเมื่อมีรัฐบาลแล้ว คสช. ก็จะยังอยู่ดูแลความสงบ ทำงานควบคู่กับรัฐบาล

"ต่างประเทศมองไทยว่าทำรัฐประหาร แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก มีมา 12 ครั้งแล้ว ครั้งนี้ไม่มีรถถัง ไม่เสียเลือดเสียเนื้อ และไม่มีการยึดทรัพย์ ถ้าเทียบกับการทำรัฐประหารในต่างประเทศ ไทยไม่มีการใช้ความรุนแรง ส่วนการทำงานในวันนี้มีความกดดัน เพราะมีคนรักมาก แต่ขณะเดียวกันก็มีคนต่อต้าน คนด่า ผมไม่ได้โกรธ ไม่ท้อแท้ และยังคงตั้งหน้าทำงานต่อไป เพื่อให้คนไทยมีจริยธรรมมากขึ้น ควบคู่กับการแก้ไขปัญหาทุจริต สร้างชาติของเราขึ้นใหม่ด้วยสติปัญญา ให้โลกยอมรับ และวันนี้อยากจะคืนศักดิ์ศรี เกียรติยศให้กับข้าราชการไทยเป็นข้าราชการที่ดี เป็นที่พึ่งของประชาชน โดยฝ่ายความมั่นคงจะทำงานร่วมกับข้าราชการในการบริหารประเทศ โดยใช้กฎหมายปกติให้มากที่สุด แม้ว่าวันนี้ยังประกาศใช้กฎอัยการศึก"พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

***เน้นชี้แจงประเทศที่ยังต่อต้านไทย

ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมว่า ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงและสร้างความเข้าใจกับประชาคมโลกถึงสถานการณ์การเมืองในไทยแล้ว และในครั้งนี้ เป็นการเชิญเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทย 28 ประเทศ 23 ราย ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหภาพยุโรป เพราะเป็นประเทศที่มีความกังวลเป็นพิเศษกับไทย หรือประกาศจุดยืนหรือมาตรการตอบโต้ จึงต้องให้ทูตไทยที่ประจำอยู่ในประเทศเหล่านี้ไปทำความเข้าใจในประเทศที่เขาดูแล

อย่างไรก็ตาม จากการประเมินท่าทีของประเทศต่างๆ ล่าสุด กลุ่มประเทศตะวันตกมีความเข้าใจในสถานการณ์ของไทยมากขึ้น มีความร่วมมือดีขึ้น โดยเห็นได้จากการที่ไม่มีประกาศจากรัฐบาลในประเทศเหล่านี้เพิ่มเติม ส่วนชุมชนไทยในต่างประเทศที่ยังต่อต้าน เป็นหน้าที่ของสถานทูต กงสุลใหญ่ ต้องทำความเข้าใจ และเปิดโอกาสให้เสนอความคิดเห็นเรื่องการปฏิรูป

***แค่ข่าวลือไม่ให้วีซ่าภรรยา "ประยุทธ์"

นายเสขกล่าวว่า กรณีที่มีข่าวว่าโตโยต้าจะย้ายฐานผลิตไปอินโดนีเซียนั้น ทูตไทยประจำญี่ปุ่นยืนยันว่าภาคเอกชนญี่ปุ่นยังมีความเชื่อมั่นการลงทุนในประเทศไทย และยังสนใจที่มาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต ขณะที่ออสเตรเลียที่ลดระดับปฏิสัมพันธ์ด้านการทหาร เมื่อมีการประกาศโรดแม็ป เขายืนยันว่าจะกลับไปทบทวน โดยปัจจุบันออสเตรเลียจำกัดแค่การเดินทางเข้าประเทศของบุคคลใน คสช. เท่านั้น แต่ข้าราชการประจำสามารถเดินทางได้ปกติ ส่วนกระแสข่าวว่าออสเตรเลียไม่อนุมัติวีซ่าให้ภรรยา พล.อ.ประยุทธ์ เข้าประเทศนั้น เป็นแค่ข่าวลือ ทางสถานทูตออสเตรเลียยืนยันแล้วว่าภรรยา พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยมายื่นขอวีซ่า อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่าปัจจุบันยังไม่มีประเทศใดบอยคอตประเทศไทย

***กัมพูชายันไม่ให้ "เจ๊เพ็ญ"ตั้งที่มั่นต่อสู้

นายเสขกล่าวถึงกรณีนายจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งมีรายชื่อตามคำสั่ง คสช. ให้มารายงานตัว และได้ตั้งองค์กรต่อต้านการรัฐประหาร หรือองค์กรพลัดถิ่นว่า ได้ทำการตรวจสอบไปยังรัฐบาลกัมพูชาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร รัฐบาลกัมพูชาได้ยืนยันว่ากัมพูชายึดหลักในการไม่แทรกแซงกิจการภายในประเทศอาเซียนด้วยกัน และยืนยันท่าทีของสมเด็จ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่าจะไม่ให้องค์กรใดใช้ประเทศเป็นที่เคลื่อนไหวด้านการเมือง จะเห็นว่าช่วงหลังกัมพูชาประกาศว่านายจักรภพไม่ได้อยู่ในกัมพูชาแล้ว ฉะนั้น ประเทศใดเมื่อมีข่าวว่ามีบุคคลใดก็ตามจะใช้ประเทศใดเป็นฐานในการตั้งองค์กรอิสระในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เราจะดำเนินการตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ เพราะเขาใช้การสื่อสารผ่านทางโซเชียลมีเดีย อาจอยู่ในประเทศนี้ แล้วโทรศัพท์สัมภาษณ์กับสื่ออีกประเทศก็ได้ ข้อมูลตรงนี้ต้องมีการตรวจสอบที่อยู่ให้ชัดเจน เวลานี้ยังไม่สามารถจะรู้ได้ว่าตัวตนบุคคลเหล่านี้อยู่ที่ไหน ได้เพียงติดตามผ่านเฟซบุ๊ก

***คตร.วางกรอบใช้งบประมาณ

พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ในฐานะทีมโฆษก คสช. กล่าวว่า พล.ท.อนันตพร กาญจนรัตน์ ประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ได้เชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้แทนฝ่ายต่างๆ มาประชุมหารือเพื่อกำหนดกรอบการตรวจสอบโครงการต่างๆ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส คุ้มค่า และเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยมีหลักดำเนินการ คือ หากโครงการใดที่ คตร. เข้าตรวจสอบแล้วพบว่ามีความเหมาะสมจะให้ส่วนราชการสามารถดำเนินการตามขั้นตอนได้ต่อไป โครงการที่เข้าตรวจสอบแล้ว พบว่าต้องทบทวนเปลี่ยนแปลงจะให้ส่วนราชการได้แก้ไขให้เหมาะสมก่อนแล้วถึงจะดำเนินการ ส่วนโครงการที่ คตร. พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม จะให้ยกเลิกและหยุดดำเนินการ

สำหรับโครงการที่ คตร. จะเข้าดำเนินการตรวจสอบ จะเน้นโครงการขนาดใหญ่ที่วงเงินเกิน1,000 ล้านบาท และเบื้องต้นมีมติจะเข้าตรวจสอบ 8 โครงการ และ 1 หน่วยงาน จากทั้ง 28 โครงการที่อยู่ในข่ายจะเข้าตรวจสอบ

**ดูฟรี ตำนานสมเด็จพระนเรศวร

พ.อ.วินธัยกล่าวอีกว่า คสช.มีแผนจัดกิจกรรมสร้างความปรองดอง ในส่วนของกิจกรรมให้ประชาชนรับชมภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ภาค 5 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายพร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งในวันที่ 14 มิ.ย.เวลา 15.00น. จะฉายรอบพิเศษสำหรับสื่อมวลชนและข้าราชการ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมด้วยคณะ คสช. เข้าร่วมรับชมด้วยที่โรงภาพยนตร์พารากอนซีนีเพลกซ์ จากนั้นวันที่ 15 มิ.ย. รอบเวลา 11.00 น. เป็นรอบของประชาชนที่สามารถเข้ารับชมภาพยนตร์ได้พร้อมกัน จำนวน 160โรง ทุกเครือทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ภาพยนตร์ดังกล่าวมีเนื้อหาในการสร้างจิตสำนึกให้คนไทยรักชาติ วัฒนธรรม ประเพณี และอัตลักษณ์ของไทยรวมไปถึงการเทิดทูนสถาบัน ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงถือเป็นมรดกที่มีค่าของชาติ

**"สุรเกียรติ์"แนะไทยเร่งชี้แจงนานาชาติ

นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีต รมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและการปรองดองแห่งเอเชีย กล่าวถึงข้อเสนอแนะให้สรรหาคนกลางในการเจรจาระหว่างคู่ขัดแย้ง เพื่อเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทยว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีปัจเจกบุคคลที่เหมาะสมในการเข้ามาทำหน้าที่ในส่วนนี้ เพื่อให้เหมาะสมกับสังคมที่มีความหลากหลายและแตกต่างกัน ดังนั้น ควรจัดกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับและเป็นที่ไว้ใจของแต่ละฝ่าย มาทำงานร่วมกัน เพื่อเป็นคนกลางเจรจา จะทำให้การเดินหน้าปฏิรูปมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ส่วนกรณีที่ต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ ประกาศลดระดับความสัมพันธ์กับไทยนั้น นายสุรเกียรติ์ มองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ทางการต้องเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับนานาชาติว่าไทยมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและเดินหน้าปฏิรูปประเทศอย่างไร อีกทั้งควรโน้มน้าวให้ประเทศต่างๆ ที่ไม่มีปัญหาความขัดแย้ง และไม่มีปัญหาคอร์รัปชัน มาร่วมกับไทยในการเดินหน้าปฏิรูปด้วยการนำประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนกับไทย เพื่อให้เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด ซึ่งหากประสบความสำเร็จก็จะนำมาซึ่งความเชื่อมั่นของนานาชาติ

**ผู้แทนเหล่าทัพเยือนจีน กระชับสัมพันธ์

วันเดียวกันนี้ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.อ.สุรศักดิ์ กาณจนรัตน์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะผู้แทน ประกอบด้วย ผู้บังคับบัญชาระดับสูง จากกองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ เดินทางไปกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการนโยบายดำเนินงานความร่วมมือด้านความคงระหว่างกระทรวงกลาโหมไทยกับกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีน ครั้งที่ 10 โดยมี พลโท หวัง ก่วนจง รองประธานกรมเสนาธิการใหญ่ กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน เป็นประธาน ซึ่งการเดินทางดังกล่าว เป็นไปตามคำเชิญของกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีน

พล.อ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า เป็นการหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางทหารระดับทวิภาคี กระทรวงกลาโหมไทย และกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมทบทวนความร่วมมือที่ผ่านมา และการพิจารณาแผนงานที่อยู่ระหว่างดำเนินการร่วมกัน รวมทั้งวางแผนการดำเนินการที่มีต่อไปในอนาคต ส่วนในเรื่องความร่วมมือในกรอบพหุพาคี จะแลกเปลี่ยนมุมมอง สถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาค ขณะที่การฝึกร่วมกันระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพจีนนั้น คงต้องหารือกันว่าจะเพิ่มการฝึกในด้านใดบ้าง

เมื่อถามว่า จะมีการพูดคุยเรื่องสถานการณ์ในประเทศไทย หรือไม่ พล.อ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า ในที่ประชุมคงไม่คุยกันในเรื่องนี้ เพราะไม่เกี่ยวข้อง

**รมว.กห.มาเลย์เยือนไทย16-17 มิ.ย.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 16-17 มิ.ย.นี้ นาย Dato'Seri Hishammuddin bin Tun Hussein รมว.กลาโหม ประเทศมาเลเซีย จะเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยกับมาเลเซีย โดยมีกำหนดการเยี่ยมคำนับและหารือข้อราชการกับ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. ในฐานะรองหัวหน้า คสช. ดูแลงานด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ โดยจะมีการตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ที่กองบัญชาการกองทัพไทย ถ.แจ้งวัฒนะ

สำหรับการเดินทางเยือนครั้งนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและมิตรภาพที่ดีระหว่างประเทศไทยและมาเลเซีย ที่มีต่อกันมาอย่างยาวนาน รวมทั้งมีความเข้าใจในสถานการณ์ของไทยเป็นอย่างดียิ่ง พร้อมที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและความร่วมมือที่ยั่งยืนของทั้งสองประเทศตลอดไป ทั้งนี้ นับเป็นการเยือนในระดับรัฐมนตรีจากมิตรประเทศเป็นประเทศแรกหลังการควบคุมการบริหารประเทศ หลังจากที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซีย เดินทางเยือนไทยเมื่อวันที่ 3-4 มิ.ย. ที่ผ่านมา

** "กิตติพงษ์"ปัดถูกทาบนั่งนายกฯ

นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวชี้แจงถึงเหตุผลการขอย้ายมาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ว่า เป็นการครบวาระการดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม และต้องการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความเหมาะสมเข้าทำหน้าที่ดังกล่าว และไม่ได้ถูกทาบทามจาก คสช. มาทำงานด้านการปฏิรูป อีกทั้งตนตั้งใจเข้ามาพัฒนาสถาบันยุติธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนาให้สถาบันดังกล่าวมีบทบาทในเวทีอาเซียน

นายกิตติพงษ์ ยังได้ปฏิเสธกรณีที่มีข่าวว่ามีข้อเสนอให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ว่า ส่วนตัวไม่มีประสบการณ์ด้านการเมือง และตั้งใจทำงานด้านปฏิรูป หากอนาคตมีการทาบทามให้มามีส่วนร่วมในสภาปฏิรูป คงหารือกับเครือข่ายปฏิรูปก่อน

ทั้งนี้ นายกิตติพงษ์ แสดงความเห็นด้วยกับโรดแมปของคสช. ที่วางไว้ และเห็นว่า คสช.สามารถรักษาความยุติธรรมได้ในระดับที่ดี แต่เห็นว่าการดำเนินการในระยะต่อไป ต้องมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็นภายใต้กฎ กติกา

**"ปนัดดา"ติวเข้มผู้ตรวจฯก่อนลงใต้

ที่ทำเนียบรัฐบาล มล.ปนัดดา ดิศกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันที่ 12 มิ.ย. เวลา 11.00 น. ที่ห้องจูปิเตอร์ โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ อิมแพ็ค เมืองทองธานี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) จัดสัมมนาที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ตรวจราชการกระทรวง เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ด้านการการตรวจราชการ เพื่อติดตาม ประเมินผลโครงการตามนโยบายรัฐบาลในมิติภาคประชาชน และระดมความคิดเห็นในการปรับปรุงพัฒนาวิธีการปฏิบัติงาน

ส่วนการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นแนวทางปฏิรูประบบราชการ ระหว่าง วันที่ 12-16 มิ.ย. ใน 5 จังหวัดภาคใต้ คือ สงขลา สตูล ยะลา ปัตตานี นราธิวาส เป็นการนำร่องเริ่มจากจังหวัดที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูง และข้อสรุปที่ได้ จะนำมาดำเนินการเปรียบเทียบทำให้เกิดเป็นรูปธรรมในการปฏิรูประบบราชการ คาดว่าเดือนส.ค.จะได้ข้อสรุป จากเวที 5 จังหวัดภาคใต้ พร้อมส่งข้อสรุปให้หัวหน้าคสช. และในวันที่ 16 มิ.ย. จะลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.นครปฐม

** ผบ.มทบ.33 พบปะสร้างความสามัคคี

พล.ต.ศรายุธ รังษี ผู้บัญชาการกองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 พบปะกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นําหมู่บ้านของของอําเภอสารภี ณ ที่ว่าการอําเภอสารภี จ.เชียงใหม่ โดยมีนายวรกิตติ ศรีทิพากร นายอําเภอสารภี พร้อมด้วยกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นําชุมชนประมาณ 300 คนจาก 12 ตําบล 106 หมู่บ้านร่วมประชุมดังกล่าว ซึ่งผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 ได้กล่าวถึงนโยบายของ คสช. และขอความร่วมมือจากผู้นําองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนในการร่วมทํางานแก้ปัญหา พัฒนาประเทศชาติให้ก้าวเดินไปข้างหน้า และคืนความรัก ความสามัคคี นําพาประเทศชาติสู่ความสงบสุขอย่างยั่งยืน

พล.ต.ศรายุธกล่าวว่า ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งผู้นําองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนับเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด สามารถทราบปัญหา ความจําเป็นเร่งด่วนของประชาชน นําไปสู่การแก้ไขอย่างถูกจุด ขอให้ร่วมทํางานกับ คสช. เพื่อนําพาสังคมสู่ความพัฒนาอย่างถาวรต่อไป และในการนี้มณฑลทหารบกที่ 33 ได้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการตรวจสุขภาพแก่ประชาชนในพื้นที่ด้วย

**"เจ๊เพ็ญ"ตั้งองค์การต่อสู้เผด็จการแล้ว

ทางด้านนายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาหนีคดีหมิ่นเบื้องสูง ได้โพสต์เฟซบุก ถึงการตั้งองค์การเพื่อต่อต้านการรัฐประหาร ความว่า พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยและชิงชังเผด็จการทุกท่าน ผมต้องขออภัยที่ขาดการติดต่อกับท่านไปนานทีเดียว เหตุผลก็เพราะระบอบเผด็จการของไทย ได้ใช้อำนาจเถื่อนทุกวิถีทางในการทำร้ายและทำลายพวกเราอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งเป็นหลักฐานที่ชี้ว่า เมืองไทยคงไม่ได้กลับคืนสู่ภาวะประชาธิปไตยอีกนาน และเหลือบในเครื่องแบบทหารฝูงนี้ คงจะยึดครองอำนาจรัฐที่ปล้นไปจากประชาชนทั่วทั้งประเทศ รวมทั้งกอบโกยผลประโยชน์ใส่ตัวเอง ลูกเมีย (บางคนหลายๆ บ้าน) และพรรคพวกอย่างนับไม่ถ้วน นี่คือความทุกข์อันมหาศาล ที่ฝ่ายอำมาตย์ศักดินาร่วมกันก่อให้กับสังคมไทย นโยบายคืนความสุขให้กับพวกเรา จึงเป็นเพียงการแสดง (ที่ไม่สมจริง) และเป็นคำโกหกตอแหลล้วนๆ หนทางเดียวที่พวกเราชาวไทยจะได้ความสุขกลับคืนมาคือ ต้องต่อสู้โค่นล้มคนเลวเหล่านี้เท่านั้น

ขอไม่ใช้เวลาท่านมากเหมือนก่อนๆ เพราะสถานการณ์รัดรึง ผมขอสรุปสั้นๆ ให้ทุกท่านได้รับทราบถึงความเคลื่อนไหวของขบวนประชาธิปไตย ดังนี้

1.เราได้ร่วมกันก่อตั้งองค์การเพื่อการต่อสู้เผด็จการขึ้นแล้ว อีกไม่กี่วันนี้ จะถือวันดีทางประวัติศาสตร์ เป็นวันประกาศอิสรภาพของคนไทยทั้งชาติและทั่วทั้งโลก รวมทั้งภารกิจที่เราจะถือเป็นธงชัยแห่งการปฏิวัติประชาธิปไตยสืบไป

2.อย่านึกน้อยใจว่า ทำไมเรายังไม่ปรึกษาหารือ หรือเชื้อเชิญท่านเข้าร่วม ถึงวันนั้นท่านจะรู้เองว่าใครที่มีหัวใจประชาธิปไตยและชิงชังเผด็จการ คือเครือข่ายเดียวกันทั้งสิ้น วันนี้เราอยู่ภายใต้ความกดดันจากทุกสารทิศ ขอให้เห็นใจ เข้าใจ ถึงเวลาเราจะต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดที่สุด ประดุจเป็นร่างกายจิตใจเดียวกัน

3.นานาชาติหลั่งไหลให้ความสนับสนุนเราอย่างน่าชื่นใจ ผมรู้ดี เพราะเป็นศูนย์กลางในเรื่องนี้อยู่ เรามีมวลมิตรประชาธิปไตย ไม่เฉพาะเชื้อสายไทยแต่เป็นระดับโลก ซึ่งประกาศองค์กรแล้วเราจะได้เปิดเผยกันต่อไป วันนี้ต้องขอเก็บหลายอย่างไว้เป็นภารกิจลับก่อน ขอให้ท่านโปรดเข้าใจ

วันนี้คุยเท่านี้ก่อนครับ งานรออยู่อีกมากนัก รักทุกท่านมาก ผมมอบชีวิตให้กับท่านและประชาธิปไตยไทยเรียบร้อยแล้ว

** "ชินวัฒน์ หาบุญพาด" เข้ารายงานตัวคสช.

ส่วนที่หน้าหอประชุมกองทัพบก เทเวศร์ ซึ่งเป็นสถานที่เข้ารับรายงานตัวของบุคคล ตามคำสั่งของ คสช. ล่าสุด หลังหมดเวลารายงานตัวในเวลา 12.00 น. ตามคำสั่งฉบับที่ 61/2557 โดยเมื่อวานนี้ มีบุคคลเข้ารายงานตัวเพียงรายเดียว คือ นายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร

นอกจากนี้ ยังมีนายชินวัฒน์ หาบุญพาด อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ผู้ที่มีรายชื่อในคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 57/2557 ที่จะต้องเข้ามารายงานตัวในวันที่ 10 มิ.ย. แต่เพิ่งเดินทางมารายงานตัว รวมถึงนายพงษ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง ผู้ที่มีรายชื่อในคำสั่งที่ 53/2557 ก็ได้เดินทางเข้ามารายงานตัวด้วยเช่นกัน เนื่องจากไม่สามารถมารายงานตัวในวันจันทร์ที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมาได้

**นำบก.ลายจุดขึ้นศาลทหาร

วานนี้ เจ้าหน้าที่ทหาร นำตัวนายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง เข้ารับแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม พร้อมสอบปากคำ ก่อนส่งศาลทหาร เพื่อขออำนาจฝากขัง

ทั้งนี้ นายอานนท์ นำภา ทนายความของ นายสมบัติ ได้เดินทางมายังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) โดยได้เปิดเผยว่า ตนได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ทหารว่า จะควบคุมตัวนายสมบัติ มายังกองบังคับการ ปอท. เพื่อดำเนินการสอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งเบื้องต้นทราบว่า นายสมบัติ ถูกแจ้งข้อหายั่วยุปลุกปั่นให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. กรณีไม่เข้ารายงานตัวกับ คสช. จากนั้นทราบว่าทางพนักงานสอบสวนจะคุมตัว นายสมบัติ ส่งศาลทหารเพื่อขออำนาจศาลฝากขังผลัดแรก

อย่างไรก็ตาม ทีมทนายความได้เตรียมคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เพื่อยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวนายสมบัติต่อศาลทหาร แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลว่าจะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่

**ทิ้งทีเอ็นที-เชื้อปะทุหน้ารร.ม่านรูด

ร.ต.อ.วิชัย พรมรักษา ร้อยเวรสภ.เมือง จ.พิษณุโลก รับแจ้งพบวัตถุต้องสงสัยหน้าโรงแรมม่านรูดสตาร์อิน รีสอร์ท แอนด์ สปา ถนนบรมไตรโลกนาถ 2 ต.ในเมือง จึงไปที่เกิดเหตุพร้อมชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิดหรืออีโอดีพบกระเป๋าผ้าร่มแบบทหาร 1 ใบ ภายในมีวัตถุระเบิด โดย 1 ใน 5 ลูกใส่สายชนวนหลอกไว้ ตรวจสอบพบเป็นระเบิดทีเอ็นทีขนาด 14 ปอนด์ 5 ลูก เชื้อปะทุจุดระเบิด 6 อัน ชุดประกอบวัตถุระเบิด 10 อัน พร้อมสายไฟอีกจำนวนหนึ่ง จึงเก็บไปทำลายต่อไป

พล.ต.คู่ชีพ เลิศหงิม ผบ.พล.ร.4 กล่าวว่า ระเบิดชุดนี้มีใช้ในราชการทหาร และตำรวจตระเวนชายแดนเท่านั้น สภาพพร้อมใช้งาน ซึ่งต้องประกอบวัตถุอื่นจึงจะมีอานุภาพทำลายล้าง 5-10 เมตร ซึ่งสามารถตรวจสอบที่มาได้เพราะ มีเลขกำกับไว้ ส่วนสาเหตุที่นำมาทิ้งไว้คงเป็นเพราะกลัวความผิด จึงขอเตือนประชาชนพบเห็นวัตถุต้องสงสัยอย่าเข้าไปใกล้หรือเปิดดู เพราะอาจจะเป็นระเบิดอยู่ภายใน ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ

**พบกระสุนเอ็ม16ในเพิงกลางทุ่งนา

ร.ต.ท.สุกิจ ตันเจริญ ร้อยเวรสภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี รับแจ้งพบลูกกระสุนปืนเอ็ม 16 ถูกทิ้งที่เพิงพักกลางทุ่งนา หลังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลปากแรต หมู่ 9 จึงไปตรวจสอบพบถุงพลาสติกสีชมพู ภายในมีกระสุนปืนเอ็ม 16 สภาพใหม่ 872 นัด สอบสวนทราบว่าช่วงเช้ามีชาวบ้านเดินผ่านเพิงพัก พบถุงพาสติกถูกทิ้งไว้จึงเข้าไปเปิดดู เมื่อเห็นว่าเป็นกระสุนปืนจึงแจ้งตำรวจทราบ เบื้องต้นสันนิษฐานว่าผู้ครอบครองกลัวความผิด จึงแอบนำมาทิ้งไว้ที่เพิงพักกลางทุ่งนา ช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ซึ่งตำรวจได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน พร้อมประสานทหารมาตรวจสอบเพื่อดำเนินการต่อไป

***เด้ง"สุวิจักขณ์-อรรถพล-สุรชัย"

เมื่อเวลา 21.00 น. คสช. ได้มีคำสั่งที่ 62/2557 เรื่องการแต่งตั้งให้ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่ โดยได้ให้นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มาปฏิบัติราชการที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และให้รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่มีอาวุโสสูงสุดรักษาราชการแทน ให้นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุด มาปฏิบัติราชการที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และให้นายตระกูล วินิจนัยภาค รองอัยการสูงสุดเป็นผู้รักษาราชการแทน ให้นายสุรชัย ศรีสารคาม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มาปฏิบัติราชการที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และให้นางเมธินี เทพมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นผู้รักษาราชการแทน

***เรียกรายงานตัวเพิ่มอีก12คน

คสช. ยังได้มีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 63/2557 เรื่อง ให้บุคคลมารายงานตัวเพิ่มเติม โดยระบุว่า เพื่อให้การรักษาความสงบและการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงให้บุคคลเข้ามารายงานตัว ณ ห้องจามจุรี สโมสรทหารบก เทเวศร์ ในพฤหัสบดีที่ 12 มิ.ย.2557 เวลา 10.00 -12.00 น. ดังนี้ 1.นายอิสสระ สมชัย 2.นายถนอม อ่อนเกตุพล 3.นายพิภพ ธงไชย 4.นายรัชต์ชยุตม์ ศิรโยธินภักดี 5.นายทินกร ปลอดภัย 6.นายนัสเซอร์ ยีหมะ 7.นายอุทัย ยอดมณี 8.นายมั่นแม่น กะการดี 9.พล.ต.สมเกียรติ วัฒนวิกย์กิจ 10.นายศิรวัฒน์ วิยะเศษ 11.นายกิตติไชย ไสสะอาด 12.นายสุดชาย บุญไชย
กำลังโหลดความคิดเห็น