วานนี้ (10 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณา 707 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน คดีหมายเลขดำ อ.831/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นพ.ระวี มาศฉมาดล แกนนำกองทัพประชาชนและเครือข่ายปฏิรูปพลังงานไทย (กคป.), นายทศพล แก้วทิมา, นายทวีศิลป์ ประทีป, นายวรเดช เมฆไตรภพ, นายบุญเชิด จิตรีเชื้อ, นายนิพล ทรายเผื่อน, นายอโนทัย พุ่มแจ้ง และนายวิชาญ ภูวิหาร จำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ และร่วมกันบุกรุก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215, 216, 362 และ 365 และร่วมกันฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 4, 5, 6, 7, 9, 10 และ 18 ที่ห้ามชุมนุมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป จากกรณี เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 57 นพ.ระวี ในฐานะแกนนำกคป.กับพวก นำผู้ชุมนุมและรถบรรทุกติดเครื่องขยายเสียงไปปิดล้อมและบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ สำนักงานบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) สาขาใหญ่ ถ.วิภาวดี-รังสิต โจมตีการทำงานของรัฐบาล
ทั้งนี้ เมื่อวาน นายบุญเชิด จิตรีเชื้อ จำเลยที่ 5 ไม่ได้มาศาลตามนัด มีเพียงนายประกันเท่านั้นที่เดินทางมาศาล ซึ่งได้แถลงต่อศาลว่า ก่อนจะถึงวันนัด ได้ติดต่อกับจำเลยที่ 5 แล้ว ยืนยันว่าจะมาศาล แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดถึงเวลานัดแล้วไม่มา โดยขณะนี้ติดต่อจำเลยไม่ได้
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 5 ทราบนัดแล้วไม่มาศาล พฤติการณ์จงใจหลบหนี จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับ จำเลยที่ 5 เพื่อนำตัวมาเข้าสู่กระบวนพิจารณาต่อไป และเนื่องจากผิดสัญญาประกัน จึงให้ปรับนายประกันเต็มจำนวน 100,000 บาท
ขณะที่ นพ.ระวี จำเลยที่ 1, นายทศพล แก้วทิมา จำเลยที่ 2, นายทวีศิลป์ ประทีป จำเลยที่ 3, นายวรเดช เมฆไตรภพ จำเลยที่ 4, นายนิพล ทรายเผื่อน จำเลยที่ 6, นายอโนทัย พุ่มแจ้ง จำเลยที่ 7 และนายวิชาญ ภูวิหาร จำเลยที่ 8 ศาลก็ได้อ่าน และอธิบายคำฟ้องให้ฟังแล้วสอบคำให้การ จำเลยที่ 1-4 และที่ 6 ยืนยันให้การปฏิเสธ ทำนองเดียวกันว่า ได้ร่วมกันชุมนุมจริง และได้เข้าไปในพื้นที่สำนักงาน บมจ.ปตท. แต่ก็เป็นการชุมนุมโดยสงบ ตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ
ส่วนนายอโนทัย จำเลยที่ 7 และนายวิชาญ จำเลยที่ 8 ให้การปฏิเสธ ทำนองว่า ในวันเกิดเหตุไม่ได้ร่วมชุมนุมกับ กคป. และไม่ได้เข้าไปในพื้นที่ บมจ.ปตท. โดยนายอโนทัย จำเลยที่ 7 ไปที่เกิดเหตุ เนื่องจากเข้าไปทำงาน
ด้านอัยการโจทก์ ก็ได้แถลงบัญชีพยานเอกสาร และพยานบุคคล ที่จะนำสืบคดีนี้ต่อศาล ประกอบด้วย พยานเอกสาร 9 รายการ เช่น บันทึกการจับกุม แผนผังสถานที่เกิดเหตุ ส่วนพยานบุคคลเตรียมนำสืบรวม 16 ปาก เช่น ผู้รับมอบอำนาจ บมจ.ปตท. ในการแจ้งความดำเนินคดี หัวหน้ารปภ. กลุ่มพ่อค้า-แม่ค้า ที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าจับกุม และพนักงานสอบสวน
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในส่วนของจำเลยที่ 5 น่าจะยังติดตามตัวมาได้ จึงให้นัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้ง ในวันที่ 7 ก.ค. นี้ เวลา 09.00 น. โดยกำชับให้นายประกัน ติดตามตัวมาศาลให้ได้
ทั้งนี้ เมื่อวาน นายบุญเชิด จิตรีเชื้อ จำเลยที่ 5 ไม่ได้มาศาลตามนัด มีเพียงนายประกันเท่านั้นที่เดินทางมาศาล ซึ่งได้แถลงต่อศาลว่า ก่อนจะถึงวันนัด ได้ติดต่อกับจำเลยที่ 5 แล้ว ยืนยันว่าจะมาศาล แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดถึงเวลานัดแล้วไม่มา โดยขณะนี้ติดต่อจำเลยไม่ได้
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 5 ทราบนัดแล้วไม่มาศาล พฤติการณ์จงใจหลบหนี จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับ จำเลยที่ 5 เพื่อนำตัวมาเข้าสู่กระบวนพิจารณาต่อไป และเนื่องจากผิดสัญญาประกัน จึงให้ปรับนายประกันเต็มจำนวน 100,000 บาท
ขณะที่ นพ.ระวี จำเลยที่ 1, นายทศพล แก้วทิมา จำเลยที่ 2, นายทวีศิลป์ ประทีป จำเลยที่ 3, นายวรเดช เมฆไตรภพ จำเลยที่ 4, นายนิพล ทรายเผื่อน จำเลยที่ 6, นายอโนทัย พุ่มแจ้ง จำเลยที่ 7 และนายวิชาญ ภูวิหาร จำเลยที่ 8 ศาลก็ได้อ่าน และอธิบายคำฟ้องให้ฟังแล้วสอบคำให้การ จำเลยที่ 1-4 และที่ 6 ยืนยันให้การปฏิเสธ ทำนองเดียวกันว่า ได้ร่วมกันชุมนุมจริง และได้เข้าไปในพื้นที่สำนักงาน บมจ.ปตท. แต่ก็เป็นการชุมนุมโดยสงบ ตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ
ส่วนนายอโนทัย จำเลยที่ 7 และนายวิชาญ จำเลยที่ 8 ให้การปฏิเสธ ทำนองว่า ในวันเกิดเหตุไม่ได้ร่วมชุมนุมกับ กคป. และไม่ได้เข้าไปในพื้นที่ บมจ.ปตท. โดยนายอโนทัย จำเลยที่ 7 ไปที่เกิดเหตุ เนื่องจากเข้าไปทำงาน
ด้านอัยการโจทก์ ก็ได้แถลงบัญชีพยานเอกสาร และพยานบุคคล ที่จะนำสืบคดีนี้ต่อศาล ประกอบด้วย พยานเอกสาร 9 รายการ เช่น บันทึกการจับกุม แผนผังสถานที่เกิดเหตุ ส่วนพยานบุคคลเตรียมนำสืบรวม 16 ปาก เช่น ผู้รับมอบอำนาจ บมจ.ปตท. ในการแจ้งความดำเนินคดี หัวหน้ารปภ. กลุ่มพ่อค้า-แม่ค้า ที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าจับกุม และพนักงานสอบสวน
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในส่วนของจำเลยที่ 5 น่าจะยังติดตามตัวมาได้ จึงให้นัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้ง ในวันที่ 7 ก.ค. นี้ เวลา 09.00 น. โดยกำชับให้นายประกัน ติดตามตัวมาศาลให้ได้