เหตุแห่งปัญหาอันใหญ่ยิ่งของชาติและปวงชน คือระบอบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ อันเป็นเหตุวิกฤตชาติในทุกด้าน มีด้านหลักๆ ใหญ่ๆ ได้แก่
1. ความขัดแย้ง ทำลายกันเอง นับแต่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
2. คอร์รัปชัน ในภาพรวมครึ่งหนึ่งของงบประมาณ คอร์รัปชันจากเงินพันเป็นแสนล้านในปัจจุบัน เคยซื้อเสียงปลาทูเพียงหนึ่งตัว รองเท้าหนึ่งข้างเป็นหัวละ 1,000-2,000 บาท บางแห่งสูงถึง 3,000 บาทก็มี หรือมากกว่านั้นสำหรับหัวคะแนน
3. ความอ่อนแอของชาติและประชาชน เพราะสภาพของระบอบเผด็จการนั้น ทำให้ประชาชนไม่รู้จุดหมายของชาติ และจุดหมายปัจเจกบุคคลก็ไปกันคนละทิศละทาง ศาสตร์ต่างๆ ของชาติก็อ่อนแอ คนอ่อนแอ ศาสตร์อ่อนแอ อย่างรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ในเมืองไทยอ่อนแอมากๆ และกลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามของหลักเหตุและผล คือ แทนที่รัฐศาสตร์จะเป็นเหตุของวิชานิติศาสตร์ แต่มันกลายเป็นว่า นิติศาสตร์เป็นเหตุของรัฐศาสตร์ นี่คือการจัดความสัมพันธ์ในระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ที่ผิดอย่างร้ายแรงจริงๆ
4. อำนาอธิปไตยที่แท้จริงเป็นพวกนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว คือเป็นของนายทุนกลุ่มหนุนหลังพรรคการเมือง พรรคการเมือง
5. อันเป็นเหตุให้อำนาจอธิปไตยด้านชาติอ่อนแอถึงขีดสุด ดูได้จากเมื่อมีกรณีพิพาทกับเพื่อนบ้านไทยจะเสียเปรียบและตกเป็นเบี้ยล่างเขามาตลอด
6. โครงสร้างพื้นฐานเสื่อมโทรม เช่น การขนส่ง ซึ่งทุกรัฐบาลสนับสนุนให้มีรถสิบล้อเพราะได้ค่าคอมมิชชันจากต่างชาติ แทนที่จะสนับสนุนเป็นรถไฟ เพราะเป็นการขนส่งที่ถูกที่สุด ต้นทุนต่ำที่สุด แต่รถไฟไทยกลับล้าหลังที่สุด
7. พลังงาน เช่น น้ำมันแพงมาก ทั้งๆ ผลิตได้ในไทย นำขายต่างชาติราคาถูก แต่ขายคนไทยราคาแพง
8. ที่ดิน ที่ดินกระจุกอยู่ในมือคนรวย ที่ดินในประเทศไทย 100% ซึ่ง 90% เป็นของคนรวยเพียง 10% ส่วนที่ดินที่เหลืออีก 10% เป็นของคน 90% และส่วนหนึ่งตกอยู่ความครอบครองของชาวต่างชาติค่อนประเทศ เพราะธนาคารส่วนใหญ่เป็นของต่างชาติไปหมดแล้ว
9. ฯลฯ เหล่านี้คือทุกข์ของแผ่นดินและของประชาชนไทย
สาเหตุหรือสมุทัยแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของชาติและประชาชน มีเพียงประเด็นเดียวเท่านั้นคือ ผู้ปกครองเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติและหลอกลวงประชาชนว่า “กฎหมายรัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” พวกเขาจึงร่างรัฐธรรมนูญและแก้ไขรัฐธรรมนูญ พูดกันง่ายๆ แก้กฎหมายเพื่อประโยชน์ของรัฐบาลหรือของผู้ปกครองเท่านั้น
ทั้งๆ ที่ในความจริงประเทศไทยมีการปกครองแบบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ สองลักษณะคือ รัฐประหาร กับ การเลือกตั้งซื้อเสียง สลับสับเปลี่ยนกันยาวนานที่สุดในโลก 82 ปี ทั้งสองแนวทางนี้ต่างก็ถือลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญเหมือนกัน พิสูจน์ได้จาก
1) รัฐประหาร ยึดอำนาจแล้วร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นเครื่องมือในการปกครอง ทำอย่างนี้มาทุกครั้ง (กำลังจ้องดู คสช.จะเดินซ้ำรอยแนวทางอุบาทว์จัญไรหรือไม่ อีกไม่นานคงรู้)
2) เลือกตั้งซื้อเสียง ได้เป็นรัฐบาลแล้วก็ยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ก็แก้ไขบางมาตรา อย่างเช่น รัฐบาลบรรหาร รัฐบาลปู เป็นต้น
พวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ มันก็ทำได้แค่ 2 อย่างนี้เท่านั้น
ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ เกิดจากลัทธิรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นลัทธิความเชื่อทางรูปธรรมและวิธีการทางการเมือง เช่น
เชื่อว่า “กฎหมายรัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย”
เชื่อว่า “ระบบรัฐสภาคือระบอบประชาธิปไตย”
เชื่อว่า “เลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย” ทั้งๆ ที่เป็นแค่วิธีการ
เชื่อว่า “ประมุขประเทศเป็นประมุขระบอบ” ตามที่พวกเขาเขียนหลอกและทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 2
นี่คือความเห็นผิดของผู้ปกครองอย่างร้ายแรงยิ่งต่อชาติ ช่วยกันเถิดนะครับ ทำความเห็นให้ถูกต้องกันเถิดปัญญาชนทั้งหลาย
คสช.เพื่อนปัญญาชนทั้งหลาย แกนนำประชาชนที่แท้จริงมาสู่แนวทางที่ก้าวหน้าที่สุด ถูกต้องที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นชัยชนะของปวงชนในชาติ อันเป็นแนวทางแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ เลิกทาส (ปลดแอก) ทางการเมืองของปวงชน
ด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่ ถูกต้องโดยธรรม เป็นการเมืองของปวงชน เพื่อปวงชน โดยปวงชนอย่างแท้จริง ปวงชนมีการเมืองใหม่เป็นของปวงชน ด้วยการเสนอยุทธศาสตร์การต่อสู้เอาชนะพรรคการเมืองสามานย์ พวกทุนสามานย์ ซึ่งก็คือพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ทั้ง18 ฉบับที่แล้วมา นั่นเอง
ขอย้ำว่า คสช.ต้องรุกทางการเมืองคือการทำการเมืองให้เหนือกว่าการเมืองที่เห็นผิด คิดผิด ทำผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติ (ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ) การรุกทางการเมืองคือการเสนอยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่เป็นธรรมและประชาชนรับรู้ได้ว่าเป็นของประชาชน เปิดเผยให้ประชาชนรับรู้ ไม่ปิดบังอำพราง
ดังนั้น การรุกทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ของ คสช. ฝ่ายพันธมิตรฯ และประชาชนทุกสาขาอาชีพ คือการเสนอผลักดันให้มีการสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9กล่าวโดยย่อคือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักดุลยภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม (เป็นทั้งหลักการปกครองของประชาชน เป็นทั้งระบอบ เป็นทั้งกฎหมายสูงสุด เป็นหลักนิติธรรม ฯลฯ) ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ดังสัมพันธภาพ ดังนี้
ปวงชนในชาติจะไปในทิศทางเดียวกัน เอกภาพของความแตกต่างหลากหลายไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกันคือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 จึงเป็นพลังปวงชนสร้างสรรค์ชาติอันยิ่งใหญ่
ดวงอาทิตย์เป็นเอกภาพของดาวเคราะห์ ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ย่อมเป็นเอกภาพของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น
คสช. ตั้งคณะกรรมการพิจารณาเถิด สัจธรรมอันยิ่งใหญ่ ประชาชนยิ่งใหญ่ การเมืองยิ่งใหญ่ รัฐบาลยิ่งใหญ่ การปกครองยิ่งใหญ่ ประเทศชาติยิ่งใหญ่ เราก็เป็นหนึ่งของโลกได้ ทั้งเป็นการรุกกลับทางการเมืองต่อสากล สหรัฐอเมริกา อย่างไม่เคยมีมาก่อน
หาก คสช. ปัญญาชน แกนนำพันธมิตรฯ แกนนำประชาชนทุกสาขาอาชีพ และฝ่ายต่างๆ ร่วมมือร่วมใจกัน ช่วยกันทำความเข้าใจ เกิดปัญญาอันยิ่งใหญ่ ความถูกต้องอันยิ่งใหญ่ที่จะมอบให้กับชาติและปวงชน
เราหวังลึกๆ อย่างยิ่งว่า คสช. จะไม่เข้าสู่แนวทางอุบาทว์จัญไรเดิมๆ คือขบวนการลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ที่มีทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย แกนนำเสื้อแดง และอดีตพรรคการเมืองทุกพรรค เป็นพวกที่เห็นผิด ทำผิด ครอบงำประชาชนเพื่อจะเป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้องเท่านั้น พร้อมทั้งครอบงำประชาชนให้เป็นทาสทางการเมืองต่อไป มันก็แค่ผีเปรตในป่าช้าเท่านั้น
หาก คสช. มวลชนสนับสนุนทั้งหลายจะรุกกลับทางการเมือง ด้วยยุทธศาสตร์เอาชนะลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ดังกล่าวนี้แล้ว ก็เป็นที่หมายใจได้ว่าพวกท่านคือ ผู้นำธรรมาธิปไตยที่รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และประชาชนอย่างสุดจิตสุดใจอย่างแท้จริง
หวังใจอย่างยิ่งว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา “จุดหมายเกิดก่อนวิธีการไป ฉันใด หลักการปกครอง (ระบอบ) ย่อมเกิดก่อน มาก่อนของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
ในทางการทหาร “ยุทธศาสตร์ ต้องถูกกำหนดขึ้นก่อนยุทธวิธี ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ย่อมเกิดก่อนและเป็นเหตุของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
“วัดพระแก้ว ย่อมเกิดก่อนวิธีการไปวัดพระแก้ว ฉันใด หลักการปกครอง ย่อมเกิดก่อน มาก่อน เป็นเหตุของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
คสช. ดังนี้แล้ว อย่าทำผิดซ้ำรอย อดีตคณะรัฐประหารอื่นๆ ก็แล้วกัน คสช.ไม่มีทางอื่นใดเลย แนวทางที่จะทำถูกต้องยิ่งใหญ่นี้ มีเพียงทางเดียวเท่านั้น คือ นโยบายสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
1. ความขัดแย้ง ทำลายกันเอง นับแต่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
2. คอร์รัปชัน ในภาพรวมครึ่งหนึ่งของงบประมาณ คอร์รัปชันจากเงินพันเป็นแสนล้านในปัจจุบัน เคยซื้อเสียงปลาทูเพียงหนึ่งตัว รองเท้าหนึ่งข้างเป็นหัวละ 1,000-2,000 บาท บางแห่งสูงถึง 3,000 บาทก็มี หรือมากกว่านั้นสำหรับหัวคะแนน
3. ความอ่อนแอของชาติและประชาชน เพราะสภาพของระบอบเผด็จการนั้น ทำให้ประชาชนไม่รู้จุดหมายของชาติ และจุดหมายปัจเจกบุคคลก็ไปกันคนละทิศละทาง ศาสตร์ต่างๆ ของชาติก็อ่อนแอ คนอ่อนแอ ศาสตร์อ่อนแอ อย่างรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ในเมืองไทยอ่อนแอมากๆ และกลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามของหลักเหตุและผล คือ แทนที่รัฐศาสตร์จะเป็นเหตุของวิชานิติศาสตร์ แต่มันกลายเป็นว่า นิติศาสตร์เป็นเหตุของรัฐศาสตร์ นี่คือการจัดความสัมพันธ์ในระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ที่ผิดอย่างร้ายแรงจริงๆ
4. อำนาอธิปไตยที่แท้จริงเป็นพวกนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว คือเป็นของนายทุนกลุ่มหนุนหลังพรรคการเมือง พรรคการเมือง
5. อันเป็นเหตุให้อำนาจอธิปไตยด้านชาติอ่อนแอถึงขีดสุด ดูได้จากเมื่อมีกรณีพิพาทกับเพื่อนบ้านไทยจะเสียเปรียบและตกเป็นเบี้ยล่างเขามาตลอด
6. โครงสร้างพื้นฐานเสื่อมโทรม เช่น การขนส่ง ซึ่งทุกรัฐบาลสนับสนุนให้มีรถสิบล้อเพราะได้ค่าคอมมิชชันจากต่างชาติ แทนที่จะสนับสนุนเป็นรถไฟ เพราะเป็นการขนส่งที่ถูกที่สุด ต้นทุนต่ำที่สุด แต่รถไฟไทยกลับล้าหลังที่สุด
7. พลังงาน เช่น น้ำมันแพงมาก ทั้งๆ ผลิตได้ในไทย นำขายต่างชาติราคาถูก แต่ขายคนไทยราคาแพง
8. ที่ดิน ที่ดินกระจุกอยู่ในมือคนรวย ที่ดินในประเทศไทย 100% ซึ่ง 90% เป็นของคนรวยเพียง 10% ส่วนที่ดินที่เหลืออีก 10% เป็นของคน 90% และส่วนหนึ่งตกอยู่ความครอบครองของชาวต่างชาติค่อนประเทศ เพราะธนาคารส่วนใหญ่เป็นของต่างชาติไปหมดแล้ว
9. ฯลฯ เหล่านี้คือทุกข์ของแผ่นดินและของประชาชนไทย
สาเหตุหรือสมุทัยแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของชาติและประชาชน มีเพียงประเด็นเดียวเท่านั้นคือ ผู้ปกครองเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติและหลอกลวงประชาชนว่า “กฎหมายรัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” พวกเขาจึงร่างรัฐธรรมนูญและแก้ไขรัฐธรรมนูญ พูดกันง่ายๆ แก้กฎหมายเพื่อประโยชน์ของรัฐบาลหรือของผู้ปกครองเท่านั้น
ทั้งๆ ที่ในความจริงประเทศไทยมีการปกครองแบบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ สองลักษณะคือ รัฐประหาร กับ การเลือกตั้งซื้อเสียง สลับสับเปลี่ยนกันยาวนานที่สุดในโลก 82 ปี ทั้งสองแนวทางนี้ต่างก็ถือลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญเหมือนกัน พิสูจน์ได้จาก
1) รัฐประหาร ยึดอำนาจแล้วร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นเครื่องมือในการปกครอง ทำอย่างนี้มาทุกครั้ง (กำลังจ้องดู คสช.จะเดินซ้ำรอยแนวทางอุบาทว์จัญไรหรือไม่ อีกไม่นานคงรู้)
2) เลือกตั้งซื้อเสียง ได้เป็นรัฐบาลแล้วก็ยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ก็แก้ไขบางมาตรา อย่างเช่น รัฐบาลบรรหาร รัฐบาลปู เป็นต้น
พวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ มันก็ทำได้แค่ 2 อย่างนี้เท่านั้น
ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ เกิดจากลัทธิรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นลัทธิความเชื่อทางรูปธรรมและวิธีการทางการเมือง เช่น
เชื่อว่า “กฎหมายรัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย”
เชื่อว่า “ระบบรัฐสภาคือระบอบประชาธิปไตย”
เชื่อว่า “เลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย” ทั้งๆ ที่เป็นแค่วิธีการ
เชื่อว่า “ประมุขประเทศเป็นประมุขระบอบ” ตามที่พวกเขาเขียนหลอกและทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 2
นี่คือความเห็นผิดของผู้ปกครองอย่างร้ายแรงยิ่งต่อชาติ ช่วยกันเถิดนะครับ ทำความเห็นให้ถูกต้องกันเถิดปัญญาชนทั้งหลาย
คสช.เพื่อนปัญญาชนทั้งหลาย แกนนำประชาชนที่แท้จริงมาสู่แนวทางที่ก้าวหน้าที่สุด ถูกต้องที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นชัยชนะของปวงชนในชาติ อันเป็นแนวทางแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ เลิกทาส (ปลดแอก) ทางการเมืองของปวงชน
ด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่ ถูกต้องโดยธรรม เป็นการเมืองของปวงชน เพื่อปวงชน โดยปวงชนอย่างแท้จริง ปวงชนมีการเมืองใหม่เป็นของปวงชน ด้วยการเสนอยุทธศาสตร์การต่อสู้เอาชนะพรรคการเมืองสามานย์ พวกทุนสามานย์ ซึ่งก็คือพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ทั้ง18 ฉบับที่แล้วมา นั่นเอง
ขอย้ำว่า คสช.ต้องรุกทางการเมืองคือการทำการเมืองให้เหนือกว่าการเมืองที่เห็นผิด คิดผิด ทำผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติ (ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ) การรุกทางการเมืองคือการเสนอยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่เป็นธรรมและประชาชนรับรู้ได้ว่าเป็นของประชาชน เปิดเผยให้ประชาชนรับรู้ ไม่ปิดบังอำพราง
ดังนั้น การรุกทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ของ คสช. ฝ่ายพันธมิตรฯ และประชาชนทุกสาขาอาชีพ คือการเสนอผลักดันให้มีการสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9กล่าวโดยย่อคือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักดุลยภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม (เป็นทั้งหลักการปกครองของประชาชน เป็นทั้งระบอบ เป็นทั้งกฎหมายสูงสุด เป็นหลักนิติธรรม ฯลฯ) ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ดังสัมพันธภาพ ดังนี้
ปวงชนในชาติจะไปในทิศทางเดียวกัน เอกภาพของความแตกต่างหลากหลายไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกันคือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 จึงเป็นพลังปวงชนสร้างสรรค์ชาติอันยิ่งใหญ่
ดวงอาทิตย์เป็นเอกภาพของดาวเคราะห์ ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ย่อมเป็นเอกภาพของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น
คสช. ตั้งคณะกรรมการพิจารณาเถิด สัจธรรมอันยิ่งใหญ่ ประชาชนยิ่งใหญ่ การเมืองยิ่งใหญ่ รัฐบาลยิ่งใหญ่ การปกครองยิ่งใหญ่ ประเทศชาติยิ่งใหญ่ เราก็เป็นหนึ่งของโลกได้ ทั้งเป็นการรุกกลับทางการเมืองต่อสากล สหรัฐอเมริกา อย่างไม่เคยมีมาก่อน
หาก คสช. ปัญญาชน แกนนำพันธมิตรฯ แกนนำประชาชนทุกสาขาอาชีพ และฝ่ายต่างๆ ร่วมมือร่วมใจกัน ช่วยกันทำความเข้าใจ เกิดปัญญาอันยิ่งใหญ่ ความถูกต้องอันยิ่งใหญ่ที่จะมอบให้กับชาติและปวงชน
เราหวังลึกๆ อย่างยิ่งว่า คสช. จะไม่เข้าสู่แนวทางอุบาทว์จัญไรเดิมๆ คือขบวนการลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ที่มีทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย แกนนำเสื้อแดง และอดีตพรรคการเมืองทุกพรรค เป็นพวกที่เห็นผิด ทำผิด ครอบงำประชาชนเพื่อจะเป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้องเท่านั้น พร้อมทั้งครอบงำประชาชนให้เป็นทาสทางการเมืองต่อไป มันก็แค่ผีเปรตในป่าช้าเท่านั้น
หาก คสช. มวลชนสนับสนุนทั้งหลายจะรุกกลับทางการเมือง ด้วยยุทธศาสตร์เอาชนะลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ดังกล่าวนี้แล้ว ก็เป็นที่หมายใจได้ว่าพวกท่านคือ ผู้นำธรรมาธิปไตยที่รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และประชาชนอย่างสุดจิตสุดใจอย่างแท้จริง
หวังใจอย่างยิ่งว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา “จุดหมายเกิดก่อนวิธีการไป ฉันใด หลักการปกครอง (ระบอบ) ย่อมเกิดก่อน มาก่อนของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
ในทางการทหาร “ยุทธศาสตร์ ต้องถูกกำหนดขึ้นก่อนยุทธวิธี ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ย่อมเกิดก่อนและเป็นเหตุของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
“วัดพระแก้ว ย่อมเกิดก่อนวิธีการไปวัดพระแก้ว ฉันใด หลักการปกครอง ย่อมเกิดก่อน มาก่อน เป็นเหตุของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
คสช. ดังนี้แล้ว อย่าทำผิดซ้ำรอย อดีตคณะรัฐประหารอื่นๆ ก็แล้วกัน คสช.ไม่มีทางอื่นใดเลย แนวทางที่จะทำถูกต้องยิ่งใหญ่นี้ มีเพียงทางเดียวเท่านั้น คือ นโยบายสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9