ก่อนอื่นขอแนะนำว่า กำนันสุเทพ แกนนำ กปปส. อย่าออกนอกลู่นอกทางและเหล่าพสกนิกรที่แท้จริงทั้งหลาย จะต้องมีองค์ความรู้เหล่านี้อย่างจริงจังและเคร่งครัดที่จะเชิดชูชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างจริง เด็ดเดี่ยว และไม่เป็นอย่างอื่น คือไม่เป็นสาธารณรัฐ ต้องรู้เท่าทัน ไม่ถูกหลอกพาไปโค่นราชอาณาจักร สร้างสาธารณรัฐตามที่ต่างประเทศและคนไทยร่วมกันขายชาติแย่งชิง ปล้นทรัพยากรของชาติไปเป็นของนักการเมืองและพวกพ้อง
ต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยเป็นประเทศราชอาณาจักร มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐโดยการสืบสันตติวงศ์
ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยวจะแบ่งแยกมิได้
ประเทศไทยมีระบอบการเมือง เป็นระบอบเผด็จการ คือ มีคณะบุคคล พรรคการเมือง ผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียวเป็นศูนย์กลางการปกครอง จึงเรียกว่าระบอบเผด็จการพวกเขาใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือ เป็นวิธีการในการปกครอง จึงเรียกว่า “ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ”
ประเทศไทย ใช้รูปการปกครอง ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) แบบประเทศอังกฤษจึงเรียกเต็มๆ ว่า “ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา”
ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญไม่มีหลักการปกครองหรือไม่มีระบอบโดยธรรมเป็นศูนย์กลางของการปกครอง แต่ใช้คณะบุคคลเป็นศูนย์กลางการปกครอง และใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือในการปกครอง และหลอกลวงบิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยหลอกลวงดังนี้
1) เขียนโกหกบิดเบือนหลอกลวงว่า ใน “มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” จะเห็นได้ว่า 1)ระบอบประชาธิปไตย หรือหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยไม่มีอยู่จริง 2) พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ไม่ใช่ประมุขระบอบ (ซึ่งในความเป็นจริงเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ)
2) เขาใช้ กฎหมายรัฐธรรมนูญแล้วโกหกบิดเบือนหลอกลวงว่าเป็น “ระบอบประชาธิปไตย”
3) เขาใช้ระบบรัฐสภามีการเลือกตั้ง ส.ส. ส.ว. มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล แล้วก็โกหกบิดเบือนหลอกลวงว่า “นี่คือระบอบประชาธิปไตย”
4) เขาใช้การเลือกตั้งก็โกหก บิดเบือน หลอกลวงว่า การเลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย แท้จริงการเลือกตั้ง เป็นเพียงวิธีการประชาธิปไตย ซึ่งเป็นของกลางๆ ระบอบอะไรก็นำไปใช้ได้
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงรูปการปกครอง (กฎหมายรัฐธรรมนูญ, ระบบรัฐสภา, การเลือกตั้ง) ส่วนแก่นสาร เนื้อหาการปกครอง คือ คุณบุคคล พรรครัฐบาลเพียงหยิบมือเดียว นี่แหละลักษณะของ “ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา” อันเป็นเหตุแห่งความอุบาทว์-อัปรีย์-จัญไร ดังต่อไปนี้ เช่น
1) เป็นเหตุแห่งเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติที่ยาวนานที่สุดในโลก 81 ปี
2) เป็นแห่งการโกหกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ยาวนานที่สุดของโลก
3) เป็นเหตุของความเห็นผิดของนักวิชาการ นักการเมืองรุ่นต่อๆ มา
4) เป็นเหตุของความขัดแย้งทางการเมือง แตกแยกกันเป็นเสี่ยงๆ
5) เป็นเหตุของการคอร์รัปชัน โกงชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างมโหฬาร
6) เป็นเหตุของการรัฐประหารอย่างซ้ำซากและทำผิดซ้ำซาก
7) เป็นเหตุของการร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างซ้ำซาก และทำผิดอย่างซ้ำซากมากถึง 18 ครั้งและความพยายามจะร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่ต่ำกว่า 60 ครั้ง
8) เป็นเหตุของเผด็จการรัฐสภา
9) เป็นเหตุของระบอบทักษิณ ระบอบมาร์ค ฯลฯ
10) เป็นแห่งการขายชาติ
11) เป็นเหตุของการเสี่ยงภัย เสียเวลา ล้าหลัง ซ้ำรอยเดิมๆ
12) เป็นแห่งความไม่เป็นธรรมที่ครอบงำทั่วทั้งประเทศ
แนวทางแก้ไข และเป็นชัยชนะของมวลมหาประชาชน คือ เพียงกำนันสุเทพ และ กปปส. แกนนำต่างๆ ช่วยกันเสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เสนอทุกวัน เสนอทุกครั้งที่จับไมค์
เมื่อเสนอย่อมทำให้กองทัพ เห็นด้วย ข้าราชการทั้งไปเห็นด้วย ตำรวจ 90% เห็นด้วย พวกที่ต่อต้านจะอยู่เฉยๆ พวกที่อยู่เฉยๆ จะเข้าร่วม พวกที่เข้าร่วมจะฮึกเหิม นี่คือชัยชนะทางการเมืองของปวงชนอย่างแท้จริง
ย้ำเรื่องอื่นๆ ที่ กปปส.ทำอยู่นั้น เป็นเรื่องปลายเหตุทั้งสิ้นในตอนนี้และไม่ใช่เรื่องของประชาชน และเป็นเรื่องที่จะต้องทำหลังมีชัยชนะทางการเมืองแล้ว
การเมืองโดยธรรมอันเป็นการเมืองปวงชนอย่างแท้จริงภายใต้หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ผลสำเร็จจะออกมาในรูปลักษณะ อันเป็นความถูกต้องยิ่งใหญ่ เป็นการใส่กระดุมเม็ดแรกถูกต้อง เป็นการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติอย่างแท้จริงดังนี้
1) เป็นสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองกับประชาชน
2) เป็นสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ
3) นักการเมืองเสมอกับประชาชน รู้เท่ากัน เป็นการเมืองสว่างไม่มีปกปิดเรื่องหลักการปกครอง นักการเมืองใหม่หรือเก่า ก็บริหารการเมืองการปกครองภายใต้หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 และกฎหมายรัฐธรรมนูญ
นี่คือ รากฐาน แก่นแท้การเมืองสมัยใหม่แห่งราชอาณาจักร นับแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผ่องถ่ายอำนาจอธิปไตยของพระองค์มาสู่ประชาชนอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยการเลิกทาสและการปฏิรูปการปกครองเป็น 12 กระทรวง
สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า รัฐกาลที่ 6 ทรงสร้างเมืองจำลองเพื่อฝึกหัดการปกครองแบบประชาธิปไตย
สมเด็จพระปกเกล้าฯ รัฐกาลที่ 7 ทรงเสนอการสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย
คนพิทักษ์ราชอาณาจักร รักพระเจ้าแผ่นดิน เห็นด้วยไหม ที่พวกเราจะต้องร่วมกันศึกษา ผลักดันหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
1) สอน-เรียนรู้ ให้รู้จักให้ถือหลักธรรม สัจธรรมเป็นใหญ่ หรือธรรมาธิปไตย
2) สอน-เรียนรู้ ให้รู้จักให้ถือหลักพระมหากษัตริย์ประมุขแห่งรัฐ
3) สอน-เรียนรู้ ให้รู้จักให้ถือหลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวง และมีจิตสำนึกในการรักชาติ เป็นเจ้าของประเทศ ป้องกันความชั่วร้ายที่จะเกิดขึ้นในชาติและสังคม
4) สอน-เรียน ให้รู้จักให้ถือหลักเสรีภาพบริบูรณ์ในการคิด คิดต่างได้ แต่ก้าวไปสู่จุดหมายเดียวกันคือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
5) สอน-เรียนรู้ ให้รู้จักให้ถือหลักความเสมอภาคทางโอกาสไม่ใช่เสมอภาคเท่าเทียมกันอันจอมปลอมของพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้
6) สอน-เรียนรู้ ให้รู้จักให้ถือหลักภราดรภาพ ไม่คิดแบ่งชนชั้น แตกต่างเพราะหน้าที่ ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย ก้าว...ไปสู่จุดหมายเดียวกัน
7) สอน-เรียน ให้รู้จักให้ถือหลักเอกภาพ มีแต่พวกเรา อันแตกต่างหลากหลาย ก้าวไป มุ่งไปสู่จุดหมายทางการเมืองเดียวกัน
8) สอน-เรียนรู้ ให้รู้จักให้ถือหลักดุลยภาพ ความพอเพียง ความมั่นคง ความสมดุล
9) สอน-เรียนรู้ ให้รู้จักให้ถือหลักการทั้ง 8 ที่กล่าวมานั้นคือ หลักนิติธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่การพูดลอยๆ ให้ดูดี แต่ไม่รู้อะไรเลยแล้วทำผิดๆ ต่อประชาชน
10) สอนให้รู้ว่า หลักการปกครองโดยธรรมทั้ง 9 ข้อนี้ คือ ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่สุด เป็นกฎหมายความมั่นคงสูงสุดในการรักษา ปกป้องคุ้มครองชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองแบบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ หรือเรียกว่าหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
ถามมา-ตอบไป เรื่องการกระจายอำนาจ
อำนาจอธิปไตย มี 2 ด้าน2 ลักษณะ 1) อำนาจอธิปไตยของปวงชน 2) อำนาจอธิปไตยด้านชาติ
หากอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนเข้มแข็ง จะทำให้อำนาจอธิปไตยด้านชาติเข้มแข็งตามไปด้วย ใครหยามไม่ได้ ไม่กล้าแบ่งแยกราชอาณาจักร ไม่กล้าแย่งชิงดินแดน
หากว่า...อำนาจอธิปไตยเป็นของชนส่วนน้อย เช่น นักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว อำนาจอธิปไตยด้านชาติก็จะอ่อนแอ เช่น จะตกเป็นเบี้ยล่างของประเทศเพื่อนบ้าน
สัมพันธภาพของอำนาจอธิปไตยของปวงชนกับอำนาจการปกครอง
1) อำนาจอธิปไตย ต้องกระจายเป็นของปวงชนอย่างแท้จริง ให้รับรู้ด้วยปัญญา
2) อำนาจการปกครอง ต้องรวมศูนย์
3) สัมพันธภาพระหว่างแผ่กระจาย (อำนาจอธิปไตยของปวงชน) กับรวมศูนย์(อำนาจการปกครอง) ก่อให้เกิดดุลยภาพ มั่นคง ตั้งอยู่ได้ไม่เสื่อมสูญ
4) อำนาจของการปกครองท้องถิ่น มีลักษณะ กึ่ง-กระจาย กึ่ง-รวมศูนย์
ข้อสังเกต ระบอบเผด็จการทุกชนิดรวมศูนย์อำนาจอธิปไตยไว้ที่คณะผู้ปกครอง ส่วนอำนาจการปกครองซึ่งจริงๆ ต้องรวมศูนย์ แต่พวกเขาเอาหัวเดินต่างเท้าคือไปกระจายอำนาจการปกครองเช่น เลือกผู้ว่าราชการจังหวัด กระจายเพื่อยึด แอบแย่งชิงทรัพยากรของชาติมาเป็นของตนและพวกพ้อง ได้ง่ายขึ้น
ลักษณะสัมพันธภาพระหว่าอำนาจอธิปไตยกับอำนาจการปกครอง
เส้นสีน้ำเงิน เป็นลักษณะ อำนาจอธิปไตยของปวงชน
เส้นสีแดงเป็นลักษณะอำนาจการปกครอง
เส้นสีน้ำเงิน เป็นลักษณะของสภาวะนิพพาน อสังขตธรรม ดวงอาทิตย์ พระพุทธเจ้า ชาติ พระเจ้าแผ่นดิน ระบอบหรือหลักการปกครอง ฯลฯ
เส้นสีแดงเป็นลักษณะสังขตธรรมหรือสังขารทั้งปวง, ดาวเคราะห์, พุทธบริษัท 4, ประชาชน, พสกนิกร, กฎหมายรัฐธรรมนูญ ฯลฯ
เส้นสีฟ้า เป็นเหตุ เส้นสีแดงเป็นผล
สัจธรรมนี้ สั้นๆ แต่ยิ่งใหญ่ นำไปอธิบายได้ทุกเรื่อง เส้นสีฟ้า เป็นลักษณะของ มหาวิทยาลัย คือ แผ่กระจาย แผ่เมตตา คิดให้ก่อน
เส้นสีแดงเป็นลักษณะของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด นักเรียนทั้งหมด ผู้คนที่เข้าหามหาลัยทั้งหมด
สัมพันธภาพระหว่างแผ่กระจายกับรวมศูนย์ ก่อให้เกิดลักษณะดุลยภาพ ตั้งอยู่ได้นานตามอายุของ ม.นั้นๆ
สิ่งที่นำเสนอเป็นแนวคิดทางการเมืองราชอาณาจักร ไม่มีในตำรา แต่สามารถพิสูจน์ได้ทุกคน หากตั้งใจจริงที่จะเรียนรู้และเข้าถึงมัน เพราะมันเป็นธรรมะ เป็นกฎธรรมชาติจริงๆ ที่ดำรงอยู่จริง เราก็เพียงคิด นำเสนอ และทำตามกฎธรรมชาติ
เราเชื่อว่า กำนันและคณะกรรมการ กปปส. แกนนำทั้งหลายจะทำได้ และนำชัยชนะมาสู่ปวงชน หากไม่ทำก็นำผิด การนำผิดแม้มีมวลชนเป็นล้าน ก็ไม่มีสักคนเดียว ดังตัวอย่างเป็นๆ พลเอกสุจินดา คราประยูร มีกองทัพ 4 เหล่าทัพ แต่นำการเมืองผิด ก็ไม่มีทหารสักคนเดียว และการนำมวลชนในอดีต ฯลฯ
ต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยเป็นประเทศราชอาณาจักร มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐโดยการสืบสันตติวงศ์
ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยวจะแบ่งแยกมิได้
ประเทศไทยมีระบอบการเมือง เป็นระบอบเผด็จการ คือ มีคณะบุคคล พรรคการเมือง ผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียวเป็นศูนย์กลางการปกครอง จึงเรียกว่าระบอบเผด็จการพวกเขาใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือ เป็นวิธีการในการปกครอง จึงเรียกว่า “ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ”
ประเทศไทย ใช้รูปการปกครอง ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) แบบประเทศอังกฤษจึงเรียกเต็มๆ ว่า “ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา”
ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญไม่มีหลักการปกครองหรือไม่มีระบอบโดยธรรมเป็นศูนย์กลางของการปกครอง แต่ใช้คณะบุคคลเป็นศูนย์กลางการปกครอง และใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือในการปกครอง และหลอกลวงบิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยหลอกลวงดังนี้
1) เขียนโกหกบิดเบือนหลอกลวงว่า ใน “มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” จะเห็นได้ว่า 1)ระบอบประชาธิปไตย หรือหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยไม่มีอยู่จริง 2) พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ไม่ใช่ประมุขระบอบ (ซึ่งในความเป็นจริงเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ)
2) เขาใช้ กฎหมายรัฐธรรมนูญแล้วโกหกบิดเบือนหลอกลวงว่าเป็น “ระบอบประชาธิปไตย”
3) เขาใช้ระบบรัฐสภามีการเลือกตั้ง ส.ส. ส.ว. มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล แล้วก็โกหกบิดเบือนหลอกลวงว่า “นี่คือระบอบประชาธิปไตย”
4) เขาใช้การเลือกตั้งก็โกหก บิดเบือน หลอกลวงว่า การเลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย แท้จริงการเลือกตั้ง เป็นเพียงวิธีการประชาธิปไตย ซึ่งเป็นของกลางๆ ระบอบอะไรก็นำไปใช้ได้
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงรูปการปกครอง (กฎหมายรัฐธรรมนูญ, ระบบรัฐสภา, การเลือกตั้ง) ส่วนแก่นสาร เนื้อหาการปกครอง คือ คุณบุคคล พรรครัฐบาลเพียงหยิบมือเดียว นี่แหละลักษณะของ “ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา” อันเป็นเหตุแห่งความอุบาทว์-อัปรีย์-จัญไร ดังต่อไปนี้ เช่น
1) เป็นเหตุแห่งเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติที่ยาวนานที่สุดในโลก 81 ปี
2) เป็นแห่งการโกหกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ยาวนานที่สุดของโลก
3) เป็นเหตุของความเห็นผิดของนักวิชาการ นักการเมืองรุ่นต่อๆ มา
4) เป็นเหตุของความขัดแย้งทางการเมือง แตกแยกกันเป็นเสี่ยงๆ
5) เป็นเหตุของการคอร์รัปชัน โกงชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างมโหฬาร
6) เป็นเหตุของการรัฐประหารอย่างซ้ำซากและทำผิดซ้ำซาก
7) เป็นเหตุของการร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างซ้ำซาก และทำผิดอย่างซ้ำซากมากถึง 18 ครั้งและความพยายามจะร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่ต่ำกว่า 60 ครั้ง
8) เป็นเหตุของเผด็จการรัฐสภา
9) เป็นเหตุของระบอบทักษิณ ระบอบมาร์ค ฯลฯ
10) เป็นแห่งการขายชาติ
11) เป็นเหตุของการเสี่ยงภัย เสียเวลา ล้าหลัง ซ้ำรอยเดิมๆ
12) เป็นแห่งความไม่เป็นธรรมที่ครอบงำทั่วทั้งประเทศ
แนวทางแก้ไข และเป็นชัยชนะของมวลมหาประชาชน คือ เพียงกำนันสุเทพ และ กปปส. แกนนำต่างๆ ช่วยกันเสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เสนอทุกวัน เสนอทุกครั้งที่จับไมค์
เมื่อเสนอย่อมทำให้กองทัพ เห็นด้วย ข้าราชการทั้งไปเห็นด้วย ตำรวจ 90% เห็นด้วย พวกที่ต่อต้านจะอยู่เฉยๆ พวกที่อยู่เฉยๆ จะเข้าร่วม พวกที่เข้าร่วมจะฮึกเหิม นี่คือชัยชนะทางการเมืองของปวงชนอย่างแท้จริง
ย้ำเรื่องอื่นๆ ที่ กปปส.ทำอยู่นั้น เป็นเรื่องปลายเหตุทั้งสิ้นในตอนนี้และไม่ใช่เรื่องของประชาชน และเป็นเรื่องที่จะต้องทำหลังมีชัยชนะทางการเมืองแล้ว
การเมืองโดยธรรมอันเป็นการเมืองปวงชนอย่างแท้จริงภายใต้หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ผลสำเร็จจะออกมาในรูปลักษณะ อันเป็นความถูกต้องยิ่งใหญ่ เป็นการใส่กระดุมเม็ดแรกถูกต้อง เป็นการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติอย่างแท้จริงดังนี้
1) เป็นสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองกับประชาชน
2) เป็นสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ
3) นักการเมืองเสมอกับประชาชน รู้เท่ากัน เป็นการเมืองสว่างไม่มีปกปิดเรื่องหลักการปกครอง นักการเมืองใหม่หรือเก่า ก็บริหารการเมืองการปกครองภายใต้หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 และกฎหมายรัฐธรรมนูญ
นี่คือ รากฐาน แก่นแท้การเมืองสมัยใหม่แห่งราชอาณาจักร นับแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผ่องถ่ายอำนาจอธิปไตยของพระองค์มาสู่ประชาชนอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยการเลิกทาสและการปฏิรูปการปกครองเป็น 12 กระทรวง
สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า รัฐกาลที่ 6 ทรงสร้างเมืองจำลองเพื่อฝึกหัดการปกครองแบบประชาธิปไตย
สมเด็จพระปกเกล้าฯ รัฐกาลที่ 7 ทรงเสนอการสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย
คนพิทักษ์ราชอาณาจักร รักพระเจ้าแผ่นดิน เห็นด้วยไหม ที่พวกเราจะต้องร่วมกันศึกษา ผลักดันหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
1) สอน-เรียนรู้ ให้รู้จักให้ถือหลักธรรม สัจธรรมเป็นใหญ่ หรือธรรมาธิปไตย
2) สอน-เรียนรู้ ให้รู้จักให้ถือหลักพระมหากษัตริย์ประมุขแห่งรัฐ
3) สอน-เรียนรู้ ให้รู้จักให้ถือหลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวง และมีจิตสำนึกในการรักชาติ เป็นเจ้าของประเทศ ป้องกันความชั่วร้ายที่จะเกิดขึ้นในชาติและสังคม
4) สอน-เรียน ให้รู้จักให้ถือหลักเสรีภาพบริบูรณ์ในการคิด คิดต่างได้ แต่ก้าวไปสู่จุดหมายเดียวกันคือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
5) สอน-เรียนรู้ ให้รู้จักให้ถือหลักความเสมอภาคทางโอกาสไม่ใช่เสมอภาคเท่าเทียมกันอันจอมปลอมของพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้
6) สอน-เรียนรู้ ให้รู้จักให้ถือหลักภราดรภาพ ไม่คิดแบ่งชนชั้น แตกต่างเพราะหน้าที่ ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย ก้าว...ไปสู่จุดหมายเดียวกัน
7) สอน-เรียน ให้รู้จักให้ถือหลักเอกภาพ มีแต่พวกเรา อันแตกต่างหลากหลาย ก้าวไป มุ่งไปสู่จุดหมายทางการเมืองเดียวกัน
8) สอน-เรียนรู้ ให้รู้จักให้ถือหลักดุลยภาพ ความพอเพียง ความมั่นคง ความสมดุล
9) สอน-เรียนรู้ ให้รู้จักให้ถือหลักการทั้ง 8 ที่กล่าวมานั้นคือ หลักนิติธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่การพูดลอยๆ ให้ดูดี แต่ไม่รู้อะไรเลยแล้วทำผิดๆ ต่อประชาชน
10) สอนให้รู้ว่า หลักการปกครองโดยธรรมทั้ง 9 ข้อนี้ คือ ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่สุด เป็นกฎหมายความมั่นคงสูงสุดในการรักษา ปกป้องคุ้มครองชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองแบบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ หรือเรียกว่าหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
ถามมา-ตอบไป เรื่องการกระจายอำนาจ
อำนาจอธิปไตย มี 2 ด้าน2 ลักษณะ 1) อำนาจอธิปไตยของปวงชน 2) อำนาจอธิปไตยด้านชาติ
หากอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนเข้มแข็ง จะทำให้อำนาจอธิปไตยด้านชาติเข้มแข็งตามไปด้วย ใครหยามไม่ได้ ไม่กล้าแบ่งแยกราชอาณาจักร ไม่กล้าแย่งชิงดินแดน
หากว่า...อำนาจอธิปไตยเป็นของชนส่วนน้อย เช่น นักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว อำนาจอธิปไตยด้านชาติก็จะอ่อนแอ เช่น จะตกเป็นเบี้ยล่างของประเทศเพื่อนบ้าน
สัมพันธภาพของอำนาจอธิปไตยของปวงชนกับอำนาจการปกครอง
1) อำนาจอธิปไตย ต้องกระจายเป็นของปวงชนอย่างแท้จริง ให้รับรู้ด้วยปัญญา
2) อำนาจการปกครอง ต้องรวมศูนย์
3) สัมพันธภาพระหว่างแผ่กระจาย (อำนาจอธิปไตยของปวงชน) กับรวมศูนย์(อำนาจการปกครอง) ก่อให้เกิดดุลยภาพ มั่นคง ตั้งอยู่ได้ไม่เสื่อมสูญ
4) อำนาจของการปกครองท้องถิ่น มีลักษณะ กึ่ง-กระจาย กึ่ง-รวมศูนย์
ข้อสังเกต ระบอบเผด็จการทุกชนิดรวมศูนย์อำนาจอธิปไตยไว้ที่คณะผู้ปกครอง ส่วนอำนาจการปกครองซึ่งจริงๆ ต้องรวมศูนย์ แต่พวกเขาเอาหัวเดินต่างเท้าคือไปกระจายอำนาจการปกครองเช่น เลือกผู้ว่าราชการจังหวัด กระจายเพื่อยึด แอบแย่งชิงทรัพยากรของชาติมาเป็นของตนและพวกพ้อง ได้ง่ายขึ้น
ลักษณะสัมพันธภาพระหว่าอำนาจอธิปไตยกับอำนาจการปกครอง
เส้นสีน้ำเงิน เป็นลักษณะ อำนาจอธิปไตยของปวงชน
เส้นสีแดงเป็นลักษณะอำนาจการปกครอง
เส้นสีน้ำเงิน เป็นลักษณะของสภาวะนิพพาน อสังขตธรรม ดวงอาทิตย์ พระพุทธเจ้า ชาติ พระเจ้าแผ่นดิน ระบอบหรือหลักการปกครอง ฯลฯ
เส้นสีแดงเป็นลักษณะสังขตธรรมหรือสังขารทั้งปวง, ดาวเคราะห์, พุทธบริษัท 4, ประชาชน, พสกนิกร, กฎหมายรัฐธรรมนูญ ฯลฯ
เส้นสีฟ้า เป็นเหตุ เส้นสีแดงเป็นผล
สัจธรรมนี้ สั้นๆ แต่ยิ่งใหญ่ นำไปอธิบายได้ทุกเรื่อง เส้นสีฟ้า เป็นลักษณะของ มหาวิทยาลัย คือ แผ่กระจาย แผ่เมตตา คิดให้ก่อน
เส้นสีแดงเป็นลักษณะของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด นักเรียนทั้งหมด ผู้คนที่เข้าหามหาลัยทั้งหมด
สัมพันธภาพระหว่างแผ่กระจายกับรวมศูนย์ ก่อให้เกิดลักษณะดุลยภาพ ตั้งอยู่ได้นานตามอายุของ ม.นั้นๆ
สิ่งที่นำเสนอเป็นแนวคิดทางการเมืองราชอาณาจักร ไม่มีในตำรา แต่สามารถพิสูจน์ได้ทุกคน หากตั้งใจจริงที่จะเรียนรู้และเข้าถึงมัน เพราะมันเป็นธรรมะ เป็นกฎธรรมชาติจริงๆ ที่ดำรงอยู่จริง เราก็เพียงคิด นำเสนอ และทำตามกฎธรรมชาติ
เราเชื่อว่า กำนันและคณะกรรมการ กปปส. แกนนำทั้งหลายจะทำได้ และนำชัยชนะมาสู่ปวงชน หากไม่ทำก็นำผิด การนำผิดแม้มีมวลชนเป็นล้าน ก็ไม่มีสักคนเดียว ดังตัวอย่างเป็นๆ พลเอกสุจินดา คราประยูร มีกองทัพ 4 เหล่าทัพ แต่นำการเมืองผิด ก็ไม่มีทหารสักคนเดียว และการนำมวลชนในอดีต ฯลฯ