xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เมื่อมูดี้ส์-ยูเอสเอทูเดย์ กระแทกหน้า “ไอ้กัน” รัฐประหารไทยไม่เลวร้าย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2557 ที่ผ่านมาเครือข่ายรักษ์บ้านเกิดท่าศาลา และเครือข่ายชาวประมงพื้นบ้าน จ.นครศรีธรรมราช ประท้วงอเมริกาเหตุจุ้นการเมืองในประเทศ
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ยังคงแส่ไม่เลิกสำหรับสหรัฐอเมริกากับปฏิกิริยาที่มีต่อประเทศไทยภายหลังการทำรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 25557 เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศจะจัดให้มีการเลือกตั้งอีก 15 เดือนข้างหน้า และรัฐบาลนายบารัค โอมาบาแถลงออกมาว่านานเกินไป อีกทั้งยังปฏิเสธไม่เห็นด้วยกับ “โรดแมป” ที่ไม่มีความชัดเจน

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2557 เจน ซากี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯออกแถลงการณ์ปฏิเสธโรดแมปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยกล่าวว่า “เราทราบว่าพวกเขาได้แถลงสิ่งที่บอกว่าเป็นโรดแมปมุ่งสู่ประชาธิปไตย แต่ยังไม่มีรายละเอียดเพียงพอซึ่งวอชิงตันเชื่อว่าย่างก้าวที่ดีที่สุดคือ กำหนดกรอบเวลาเลือกตั้งโดยเร็ว และทำให้เกิดกระบวนการเลือกตั้งที่โปร่งใสและครอบคลุม อีกทั้งไม่ต้องการให้ทุกอย่างจบลงด้วยความยุ่งเหยิง แต่เราคิดว่าการกำหนดกรอบเวลาในการเลือกตั้งนั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาไม่สามารถจัดเลือกตั้งได้ในระยะเวลาอันสั้นได้”

แน่นอน นั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะเป็นที่รับรู้ดีกว่า สหรัฐฯ นั้นมีความแนบแน่นกับนายใหญ่ของคนเสื้อแดงอย่าง “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งเป็นจักรกลคนสำคัญของทุนนิยมสามานย์มากขนาดไหน และพวกเขาก็สนใจเพียงแค่การรักษาผลประโยชน์สูงสุดของคนอเมริกันเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเอง ก็ได้มีบทความ บทวิเคราะห์ ตลอดรวมถึงท่าทีที่สะท้อนภาพความเป็นจริงของการทำรัฐประหารในประเทศไทยครั้งนี้ รวมถึงตัวตนของระบอบทักษิณมหามิตรของสหรัฐฯ ได้อย่างหมดเปลือกเช่นกัน

เริ่มจาก ศ.ดับเบิลยู สกอตต์ ธอมป์สัน ศาสตราจารย์กิตติคุณทางด้านการเมืองระหว่างประเทศ แห่งมหาวิทยาลัยนิติศาสตร์และการทูตเฟลตเซอร์(Fletcher School of Law and Diplomacy) ที่เขียนบทความเรื่อง “Thai coup holds promise of democracy” (รัฐประหารในไทยให้ความหวังแก่ประชาธิปไตย) ก็ได้วิเคราะห์เห็นด้วยกับการทำรัฐประหารในครั้งนี้

บทความดังกล่าวตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิสไทมส์เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2557และเผยแพร่ในเว็บไซต์กัลฟ์นิวส์ (gulfnews.com) ในวันอาทิตย์ 1 มิถุนายน 2557 ซึ่งมีใจความสำคัญว่า ประเทศไทยได้ตกอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในการประท้วงทางการเมืองยาวนานแรมเดือนระหว่างเสื้อเหลืองซึ่งเป็นคนไทยในเขตชุมชนเมือง และกลุ่มผลประโยชน์ชนชั้นนำผู้ต้องการให้รัฐบาลที่ครองอำนาจอยู่ออกจากตำแหน่งไปกับเสื้อแดงซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชาชนผู้ยากจนกว่าที่พำนักอยู่ในเขตต่างจังหวัด โดยผู้คนเหล่านี้สนับสนุนทักษิณและหาทางให้เขากลับคืนสู่อำนาจ

“ เมื่อมีนายพลผู้มาดมั่นทะเยอทะยานและมีความสามารถผู้หนึ่ง พยายามที่จะทำให้ประเทศชาติมีเสถียรภาพ มันจึงมีความเป็นไปได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ว่า เขาจะพิสูจน์ให้เห็นว่าการรัฐประหารทั้งหลายนั้นใช่ว่าจะเลวร้ายไปเสียทั้งหมด”

“ทฤษฎีเรื่องประชาธิปไตยนั้นไม่เคยเลยที่จะหมายความอย่างง่ายๆ เพียงแค่ว่า การปกครองโดยคนส่วนใหญ่ แน่นอนทีเดียวว่าทักษิณก็ใช้กลไกด้านการตรวจสอบและการคานอำนาจด้วย แต่เป็นชนิดที่แตกต่างออกไป โดยที่เขานำมาใช้เพื่อกระชับฐานอำนาจของเขาให้เข้มแข็ง ทั้งในกิจการตำรวจ และก็ในกองทัพด้วย ถึงแม้มีหลักฐานว่าเขาประสบความสำเร็จน้อยกว่า”

“การเลือกให้ระบอบทักษิณปกครองประเทศต่อไป ก็คือการรับประกันให้ประชาธิปไตยในไทยตายดับสูญไปภายในอนาคตอันใกล้ ขณะที่การสนับสนุนการก่อรัฐประหารยึดอำนาจของฝ่ายทหาร อาจจะเป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะสามารถฟื้นฟูประชาธิปไตยให้กลับคืนมาได้ ความจริงทางประวัติศาสตร์ทั่วๆ ไปนั้นมีอยู่ว่า ระบอบปกครองต่างๆ ที่นำมาซึ่งระเบียบเรียบร้อย อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย ขณะที่แทบไม่ปรากฏเลยว่าระบอบปกครองในทางตรงกันข้ามจะสามารถทำอะไรเช่นนี้ได้ ทั้งนี้ระบอบปกครองที่ปล่อยให้ทำอะไรตามใจนั้น มีความโน้มเอียงที่จะนำไปสู่การปราบปรามอย่างรุนแรง ซึ่งกลายเป็นการสร้างความย่อยยับให้แก่การปกครองอันเรืองปัญญา”

เรียกได้ว่า เขียนได้เข้าถึงหัวอกคนไทย ชนิดที่ว่าสหรัฐฯต้องสำเหนียกแล้วนะ ขนาดบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นนักวิชาการสัญชาติอเมริกันยังวิเคราะห์การเมืองไทยได้เฉียบคมขนาดนี้ แล้วระดับผู้นำประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯจะไม่กลับไปทบทวนระบบความคิดที่ไม่เข้าท่านั้นบ้างเลยหรือ?

นอกจากนี้ “ยูเอสเอทูเดย์” หนังสือพิมพ์ชื่อดังของสหรัฐฯได้ตีแผ่บทความเรื่อง “Why billionaires make bad presidents” ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ www.usatoday.comโดยระบุว่า ทักษิณนั้นเป็นมหาเศรษฐีผู้นำที่เลวของโลกคนหนึ่ง โดยอันดับอันทรงเกียรตินี้ถูกจัดเรียงคู่กันกับ นายเปโต โปโรเชนโก ว่าที่ประธานาธิบดียูเครน เจ้าของฉายาราชาช็อกโกแลต, นายซิลวิโอ แบร์ลุสโกนี เจ้าพ่อโทรคมนาคม และวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซีย โดยบทความชิ้นนี้ได้ตอกย้ำถึงผู้นำมหาเศรษฐีที่ไม่เคยทำตัวให้เหมาะสมกับประชาธิปไตยและตลาดเสรี เป็นแต่เพียง “สัตว์เศรษฐกิจ” โดยสันดานเท่านั้น

“เหล่าผู้นำมหาเศรษฐีที่ก้าวสู่อำนาจส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ประเทศซึ่งมีประชาธิปไตยที่ไม่เป็นไปตามขนบธรรมเนียม อันห้อมล้อมไปด้วยปัญหาคอรัปชันและการต่อรองอยู่ฉากหลัง ประเทศซึ่งคนรวยสามารถซื้อตำแหน่งอย่างง่ายดาย และในประเทศที่ไม่สามารถกำหนดวาระดำรงตำแหน่งของผู้นำ 1 หรือ 2 สมัยได้ เหล่ามหาเศรษฐียังมีคุณลักษณะเฉพาะบางอย่างที่ไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นผู้นำประชาธิปไตยได้ดีเท่าไหร่ ด้วยความสำเร็จของพวกเขามาจากการก่อตั้งบริษัท ละเมิดกฎระเบียบ เพิกเฉยต่อเสียงวิจารณ์ และควบคุมทุกแง่มุมของการใช้ชีวิตของตนเองและบริษัท พอร่ำรวยแล้ว มหาเศรษฐีเหล่านี้ก็เคยชินกับอำนาจเผด็จการ อยากได้อะไรก็ต้องได้ตามต้องการ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เหล่ามหาเศรษฐีซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจโดยสันดาน จะสามารถวางมือจากผลประโยชน์ของตนเองได้อย่างทันทีทันใด”

แต่ที่เด็ดที่สุดเห็นจะเป็นท่าทีของ “มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส” ซึ่งยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลของประเทศไทยหลังการรัฐประหารว่า มิได้ต่างจากรัฐบาทประชาธิปไตยจ๋าแต่ประการใด

นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวว่า มูดีส์ฯ ได้ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลของประเทศไทย ที่ระดับ Baa 1 พร้อมยืนยันแนวโน้มความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ระดับมีเสถียรภาพ เนื่องจากไทยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

“แม้ว่าการเผชิญหน้าทางการเมืองยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการยืนยันแนวโน้มความน่าเชื่อถือที่ระดับมีเสถียรภาพ สะท้อนถึงการรัฐประหารที่เพิ่งเกิดขึ้น และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อยาวนานจะไม่บั่นทอนความแข็งแกร่งด้านความน่าเชื่อถือของไทยอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า”

ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยด้วยว่า ปัจจัยหลักในการยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ Baa 1 ได้แก่ ความสามารถในการบริหารการคลังของรัฐบาลอย่างไม่บกพร่อง โครงสร้างสถาบันที่เข้มแข็ง และไม่ได้รับผลกระทบจากรัฐประหาร ความแข็งแกร่งของภาคต่างประเทศที่ยังคงดำรงอยู่ รวมถึงการยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรไม่ด้อยสิทธิ และไม่มีหลักประกันของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ระดับ Baa 1 ด้วย

ส่วนปฏิกิริยาของคนไทยที่มีต่อสหรัฐฯ นั้น ไม่ต้องพูดถึง ยิ่งในโลกสังคมออนไลน์ยิ่งเห็นชัดแจ้งว่า รุนแรงขนาดไหน เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านรัฐบาลอเมริกันที่เป็นรูปธรรมอย่างการเคลื่อนไหวของเครือข่ายรักษ์บ้านเกิดท่าศาลา สมาคมเครือข่ายประมงพื้นบ้านอ่าวท่าศาลา และชาวประมงชายฝั่ง

ทั้งนี้ กลุ่มดังกล่าวได้ร่วมกันใช้พื้นที่บริเวณจุดจอดเรือประมงพื้นบ้าน บ้านในถุ้ง ตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นพื้นที่แสดงออกผ่านกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์หลายรูปแบบเพื่อการประท้วงต่อท่าทีประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีพฤติกรรมแทรกแซงการเมืองในประเทศไทย รวมทั้งบริษัทด้านพลังงานสัญชาติอเมริกัน ที่ได้รับสัมปทานธุรกิจพลังงานในประเทศไทยที่มีผลประโยชน์บนพื้นฐานทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย

โดยในกิจกรรมได้มีการระบายสีแผ่นผ้าสีขาว และสีดำด้วยสีแดง มีการกล่าวประณามประเทศสหรัฐอเมริกา และบริษัทพลังงานสัญชาติอเมริกัน ด้วยข้อความภาษาอังกฤษ หลังจากนั้น มีการเผาแผ่นป้ายผ้าที่เขียนข้อความหยุดสหรัฐอเมริกา และหยุดบริษัทด้านพลังงานของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นการประณาม และแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ประท้วงประเทศสหรัฐอเมริกามีการเข้ามาแทรกแซงกิจการในประเทศไทยผ่านการแสดงออกของเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย และโฆษกกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นการก้าวก่ายประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัด

ขณะเดียวกัน ในกิจกรรมได้มีการอ่านแถลงการณ์ นายวิชาญ เชาวลิต ปราชญ์อาวุโส ในฐานะเครือข่ายรักษ์บ้านเกิดท่าศาลา โดยมีใจความสำคัญระบุว่า สหรัฐอเมริกาได้สนับสนุนประเทศต่างๆ ให้มีความเป็นประชาธิปไตยในแบบฉบับของตัวเอง แต่ในอีกด้านหนึ่งได้เกิดข้อสงสัยว่า สหรัฐอเมริกา ได้ใช้ความเป็นผู้นำแทรกแซง และหาประโยชน์จากประเทศอื่นหรือไม่ ข้อกังขานี้ชัดเจนขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์รุกรานประเทศอิรัก

“สำหรับประเทศไทย เราไม่อาจทราบได้ว่าสหรัฐอเมริกาได้กระทำการสิ่งใด มีผลประโยชน์ใด แต่ที่เราสัมผัสได้คือ บริษัทน้ำมันสัญชาติอเมริกันที่ชื่อว่า “เชฟรอน” เป็นบรรษัทที่ทรงอิทธิพลและเกี่ยวเนื่องกับระบบพลังงานของสหรัฐอเมริกา ทั้งยังเป็นส่วนสำคัญของอเมริกา สัญลักษณ์แห่งทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย ทำหน้าที่ล่าทรัพยากรน้ำมันไปทั่วโลก เราสงสัยตลอดมาว่าการสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ที่ถูกประชาชนยับยั้งไว้จะถูกผลักดันอีกครั้ง” แถลงการณ์ระบุ

นายวิชาญ ยังระบุผ่านแถลงการณ์อีกว่า เครือข่ายรักษ์บ้านเกิดท่าศาลา และภาคีเครือข่าย จึงขอยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกับชาวท่าศาลา ชาวนครศรีธรรมราช และคนไทยผู้รักชาติว่า 1.ประเทศสหรัฐอเมริกา ต้องหยุดพฤติกรรม และการกระทำที่อาจสงสัยได้ว่า เป็นการแทรกแซงทางการเมืองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติตนเอง 2.จะร่วมกันปกป้องอ่าวทองคำ ท่าศาลาให้เป็นพื้นที่ผลิตอาหารสำหรับคนท้องถิ่น คนไทย และทั่วโลก 3.บริษัท เชฟรอน กลุ่มทุนข้ามชาติสัญชาติอเมริกาถือเป็นกิจการที่เข้ามาทำลายความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ผลิตอาหาร จะต้องยุติการปฏิบัติการใดๆ ในพื้นที่นครศรีธรรมราช

งานนี้ บอกได้คำเดียวว่า ตบหน้าไอ้กันอย่างจังเลยทีเดียว


กำลังโหลดความคิดเห็น