xs
xsm
sm
md
lg

สรุป7แนวทางฟื้นศก. เร่งโครงการพื้นฐาน เตรียมปรับแท็บเล็ตปี57ผ่อนเคอร์ฟิว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ที่ประชุม 7 องค์กร สรุป 7 ประเด็นฟื้นฟูเศรษฐกิจ มอบการบ้านไปทำให้ชัดภายใน 1 สัปดาห์ก่อนมาสรุปเพื่อเสนอคสช. ด้าน ส.อ.ท.เตรียมนัดธุรกิจต่างชาติในไทยชี้แจง เพื่อดึงความเชื่อมั่นคืน สทท.ขอผ่อนเคอร์ฟิวช่วยท่องเที่ยว แบงก์แนะเดินหน้าโครงการพื้นฐาน รถไฟรางคู่ ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ตลท.เผยต่างชาติเริ่มเข้าใจ ทิ้งหุ้นน้อยลง ขณะที่ ผบ.ทร.เรียกปลัด 7 กระทรวงถกงานด้านสังคม ขันน็อตให้ทันกรอบงบปี 57 แย้มรื้อโครงการแจกแท็บเล็ต รับกฎอัยการกระทบนักท่องเที่ยว โบ้ย หน.คสช.พิจารณาปรับตามสถานการณ์ ขอเวลาเดินงานสร้างความปรองดอง

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยภายหลังการประชุม 7 องค์กรภาคเอกชนวานนี้ (27 พ.ค.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบ 7 แนวทางในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ, การปฏิรูปการลงทุนของภาครัฐและเอกชน, การยกระดับการศึกษาและนวัตกรรม, การแก้ปัญหาสังคมและความเหลื่อมล้ำ, การสร้างธรรมาภิบาลและแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น, การพัฒนาระเบียบต่างๆ ของภาครัฐ และการพัฒนาโครงสร้างใหม่ในระบบเศรษฐกิจไทย เพื่อเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาต่อไป

“ได้ขอให้แต่ละภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกลับไปทำการบ้านภายใน 1 สัปดาห์ จากนั้นให้มาหารือกันอีกครั้ง โดยแผนทั้งหมดจะต้องมีแผนระยะสั้น และแผนปฏิรูปในระยะยาว 15-20 ปีว่า ไทยเป็นศูนย์กลางในด้านไหนบ้าง”

อย่างไรก็ตาม ในประเด็นการเสนอตัวนายกรัฐมนตรี ที่ประชุมไม่มีการหารือในเรื่องนี้

เชิญนักธุรกิจต่างชาติในไทยชี้แจง

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท.และหอการค้าไทย จะเชิญหอการค้าต่างประเทศและธุรกิจต่างประเทศที่อยู่ในไทย ซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 30 แห่ง มาพูดคุยเพื่อสร้างความเชื่อมั่น และตอกย้ำว่าไทย ยังผลิตและส่งออกได้ตามปกติ หลังจากที่ความเชื่อมั่นหายไป

นายวัลลภ วิตนากร รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ผู้ประกอบการของไทยได้มีการหารือกับลูกค้า เพื่อสร้างความมั่นใจในสถานการณ์การเมืองของไทย และขอให้ไปชี้แจงกับผู้บริหารระดับสูงของแต่ละประเทศให้เข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าไทย ซึ่งมั่นใจว่าการส่งออกในไตรมาส 2 และ 3 ยังเป็นปกติ

วอนขยายเวลาเคอร์ฟิวหนุนท่องเที่ยว

นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า อยากให้ คสช. ขยายระยะเวลาเคอร์ฟิวส์จาก 22.00-05.00 น. เป็น 24.00-05.00 น. ซึ่งจะช่วยภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และยังควรจะส่งเสริมให้คนไทยมีการท่องเที่ยวระหว่างภูมิภาคให้มากขึ้น ให้คนภาคใต้ไปภาคเหนือ อีสานไปภาคใต้ เป็นต้นเพื่อให้ได้เรียนรู้วิถีชีวิตและจะได้เข้าใจความคิดของคนต่างถิ่นมากขึ้น

แบงก์หวังรถไฟรางคู่-ส่วนต่อขยายเดินหน้าต่อ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า หากการเมืองนิ่งจะทำให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเกิดความเชื่อมั่นในการลงทุน ประชาชนเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอย เพราะปัจจุบันประชาชนมีกำลังซื้อ แต่ไม่กล้าใช้จ่าย เนื่องจากไม่มั่นใจการเมือง ส่วนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ต้องเร่งผลักดัน ให้เน้นโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น รถไฟรางคู่ หรือส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าที่มีอยู่ในแผนเดิมให้สำเร็จเป็นรูปธรรม

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า จะเร่งสร้างความเข้าใจแก่นักลงทุนต่างชาติเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองไทย เพื่อให้นักลงทุนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยที่ผ่านมา ดัชนีก็ไม่ปรับลดลงมาก และทิศทางการปรับลด ก็ลดน้อยกว่าบางประเทศในภูมิภาคนี้ เนื่องจากต่างชาติเริ่มเข้าใจสถานการณ์ของไทยมากขึ้น

ผบ.ทร.เรียกปลัด 7 กระทรวงถกงานด้าน

วานนี้ (27 พ.ค.) พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ในฐานะรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำกับดูแลฝ่ายสังคมจิตวิทยา เป็นประธานการประชุมชี้แจงและหารือแนวทางการทำงานของฝ่ายสังคมจิตวิทยาร่วมกับปลัดกระทรวง และผู้บริหารระดับสูง ที่เกี่ยวข้อง 7 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยใช้เวลาประชุมประมาณ 3 ชั่วโมง

พล.ร.อ.ณรงค์แถลงหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้รับฟังและมอบแนวทางการดำเนินงานให้แต่ละกระทรวงกลับไปว่าจะทำอะไรต่อไป โดยเรื่องหลักคือ ให้ทุกกระทรวงเร่งผลักดันโครงการเร่งด่วนของตัวเองให้ลุล่วงโดยเร็วและทันต่อกรอบการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2557 (ต.ค.56-ก.ย.57) โดย คสช.ฝ่ายสังคมและจิตวิทยาจะช่วยดูในโครงการสำคัญว่าที่ผ่านมาโครงการใดมีความเหมาะสมและมีแผนงานรองรับเพียงพอหรือไม่

นอกจากนี้ ยังได้ให้ปลัดทุกกระทรวงสะท้อนปัญหาการทำงานในปัจจุบันและที่ผ่านมาให้ทราบ เพื่อให้ช่วยกันดำเนิน การเนื่องจากงานในส่วนสังคมและจิตวิทยามีความเชื่อมโยงกันหลายกระทรวง รวมทั้งร่างพ.ร.บ.ต่างๆ ที่มีการเสนอค้างไว้ที่จะต้องพิจารณาต่อไป ขณะเดียวกัน ยังพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วง 2 - 3 วันที่ผ่านมาและก่อนหน้านี้ว่ามาจากคนในสังคม ดังนั้น เราต้องมาดูว่าจะทำอย่างไรให้สังคมมีความสงบสุข สมานฉันท์กลมเกลียวกัน ถือเป็นงานที่ท้าทาย

สำหรับโครงการของกระทรวงศึกษาการ และสาธารณสุขนั้น จะต้องเร่งทำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน โดยพิจารณางบประมาณที่ยังเหลือว่าจะดำเนินการโครงการต่างๆ เช่น โครงการเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และโครงการจัดซื้อแท็บเล็ตและคอมพิวเตอร์พกพา ซึ่งบางส่วนมีการจัดซื้อไปแล้ว และยังต้องมาทบทวนการดำเนินการอีกครั้ง เนื่องจากก่อนหน้านี้ติดขัดเรื่องธุรการจากการยุบสภา จึงต้องพิจารณาร่วมกันว่าจะทำต่อไปได้หรือไม่

พร้อมยกเลิกกฎอัยการศึกหากสงบสุข

ทั้งนี้ ยอมรับว่าสถานการณ์ตั้งแต่ประกาศกฎอัยการศึกและมีการรัฐประหารเกิดขึ้นนั้น ทำให้นักท่องเที่ยวตื่นตกใจกับสถานการณ์ในบ้านเรา และทำให้ตัวเลขของนักเที่ยวที่เดินทางมาลดลงประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ จึงต้องประชาสัมพันธ์ข้อเท็จจริงให้ทราบว่าปัจจุบันสถานการณ์ในบ้านเราไม่รุนแรงอย่างที่คิด ในความเป็นจริงไม่ได้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น และเหตุการณ์เป็นปกติมากกว่าตอนประกาศกฎอัยการศึกด้วยซ้ำ ซึ่งการจะยกเลิกขึ้นอยู่กับหัวหน้า คสช.จะพิจารณา หากสถานการณ์สงบเรียบร้อยอาจจะยกเลิกได้ในเร็วๆนี้

คสช.ส่อชะลอแท็บเล็ตปี 57

นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กลุ่มงานฝ่ายสังคมและจิตวิทยา ว่า ในปีงบประมาณ 2557 รวมถึงโครงการที่จะต้องเสนอของบประมาณในการดำเนินการในปี2558 ซึ่งกลุ่มงานฝ่ายสังคมฯ ยังไม่มีการไฟเขียวต่อโครงการใด ๆ โดยในส่วนของ ศธ. พล.ร.อ.ณรงค์ ได้พูดถึงนโยบายแจกแท็บเล็ตให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และประถมศึกษาปีที่ 1 ตามโครงการ 1 คอมพิวเตอร์พกพา(แท็บเล็ต) ต่อ 1 นักเรียน ซึ่งขณะนี้ยังเหลือการจัดซื้อของปีการศึกษา 2556 อีก 1 โซน คือโซนที่ 4 มัธยมศึกษาปีที่ 1 และครู (ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เนื่องจากมีการยกเลิกสัญญาและอยู่ระหว่างดำเนินการใหม่ซึ่งคาดว่าจะมีการจัดซื้อจัดจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-ออกชัน กลางเดือนมิถุนายนนี้

ขณะที่ แท็บเล็ต ปีการศึกษา 2557 มีงบประมาณรองรับไว้แล้วและจัดทำสเปกไว้แล้ว อยู่ระหว่างการจัดทำร่างขอบเขตงาน หรือ ทีโออาร์ เท่านั้น ส่วนแท็บเล็ตปีการศึกษา 2558 ก็ได้ตั้งวงเงินไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ทั้งนี้ ผบ.ทร.ยังไม่มีการปฏิเสธหรือตอบรับโครงการแท็บเล็ตทั้งหมด เพราะต้องการมาคุยรายละเอียดในภาพรวมกับผู้บริหารศธ.ก่อน เพราะโดยหลักการแล้ว คสช.ต้องการเดินหน้าโครงการที่เกิดประโยชน์กับผู้เรียนจริง ๆ และเป็นโครงการที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการงบประมาณ

พร้อมจัดสรรงบเงินกู้ กยศ.

ทั้งนี้ ในส่วนของศธ. ได้เสนอโยบายสำคัญที่ คสช.จะต้องเร่งดำเนินการ ได้แก่ จัดสรรงบประมาณให้กับกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เป็นเงิน 3,610 ล้านบาท เพื่อปล่อยให้กับผู้กู้รายใหม่ 204,000 ราย งบซ่อมแซมอาคารเรียนจากเหตุแผ่นดินไหวที่จังหวัดเชียงราย 298 ล้านบาท เงินงบประมาณค่าใช้จ่ายต่อหัวสำหรับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย

สธ.เสนอ 4 ประเด็น เดินหน้าระบบบริการสุขภาพเชิงรุก

นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุม ว่า สธ.ได้เสนอยุทธศาสตร์และนโยบายในการดำเนินงาน 4 ประเด็นคือ 1.การจัดระบบบริการสุขภาพ ซึ่ง คสช.ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการจัดระบบบริการที่เป็นไปตามความต้องการของประชาชน มีคุณภาพมาตรฐาน ประชาชนเข้าถึงบริการ และต้องทำงานในแบบเชิงรุก ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของ สธ.อยู่แล้วใน 5 กลุ่มอายุ แบ่งเป็น เด็ก เด็กวัยเรียน สตรี ผู้สูงอายุ และผู้พิการ

นพ.ณรงค์ กล่าวอีกว่า 2.การจัดเขตบริการสุขภาพ เพื่อให้เกิดการจัดสรรและใช้ทรัพยากรร่วมกันของหน่วยบริการภายในเขต นำไปสู่ความเท่าเทียมของการรับบริการสาธารณสุขของประชาชน 3.ขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ คือ การบรรจุลูกจ้างชั่วคราวเป็นข้าราชการ ซึ่ง สธ.ยังค้างการบรรจุอีก 2 ปี ซึ่งเดิมทียังติดอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน แต่จากนี้สามารถดำเนินการได้เลย โดยเสนอตรงให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยาคสช.พิจารณา รวมถึงค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และ 4.การเตรียมออกนอกสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ซึ่ง สธ.มีแนวทางศึกษาอยู่แล้ว แต่จะต้องศึกษาประสบการณ์การออกนอก ก.พ.ของหน่วยงานอื่นด้วย

เคอร์ฟิวดี!ลดอาชญากรรม-แต่นักท่องเที่ยวลด

นายสุวัตร สิทธิหล่อ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ตอนนี้ต้องยอมรับว่าตัวเลขของนักท่องเที่ยวที่เข้าประเทศไทยลดลงไปถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ประมาณหลายหมื่นคน หลังการประกาศกฎอัยการศึก โดยตนได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวในจังหวัดสำคัญๆ อาทิ พัทยา ภูเก็ต ว่าหากเป็นไปได้ขอให้ผ่อนผันยืดหยุ่นเรื่องการประกาศเคอร์ฟิวบ้าง อย่างไรก็ตาม ในข้อจำกัดนั้นก็มีข้อดีคือพวกที่หลอกลวง เอาเปรียบ นักท่องเที่ยวนั้นลดลงไปเพราะมีกฎหมายอัยการศึกควบคุมดูแลอยู่ อาชญากรรม และประทุษร้ายนักท่องเที่ยวลดลงไปเช่นกัน นั่นคือ ข้อดี ดังนั้น กระทรวงต้องพยายามจัดการเรื่องมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล และเรื่องศาลท่องเที่ยวให้ดำเนินการได้อย่างเข้มงวดได้โดยเร็ว

ลุ้นการเมืองสงบ ไร้ม็อบต้าน ท่องเที่ยวฟื้น

ส่วนการกระตุ้นการท่องเที่ยวให้ตัวเลขกลับคืนมานั้น ต้องดูสถานการณ์ก่อนเพราะหากยังมีความรุนแรงและมีการประกาศอัยการศึกอยู่คงทำได้ยาก เพราะถ้ายังมีกลุ่มผู้ชุมนุมดาวกระจายไม่ว่าในกทม.หรือต่างจังหวัด กระตุ้นการท่องเที่ยวไปคงไม่กระเตื้อง แต่ถ้าเมื่อใดมีความสงบจึงเดินหน้ากันอย่างเต็มที่ ดังนั้น ช่วงนี้ต้องปล่อยตามธรรมชาติไปก่อน เพราะถ้าฝืนธรรมชาติเราก็ต้องสูญเสียงบประมาณมากตามไปด้วย.
กำลังโหลดความคิดเห็น