เมื่อเวลา 12.20 น. วานนี้ (27พ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงการปฏิรูปปรับโครงสร้างตำรวจ ที่มีกระแสข่าวว่า จะปรับเป็นกระทรวงรักษาความปลอดภัยสาธารณะ และปรับกองบัญชาการเป็นกรมต่างๆ ในสังกัด ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน บริหารแบบรวมศูนย์ ซึ่งจะเห็นข้อเรียกร้องของประชาชนในช่วงที่ผ่านมา นอกจากการเรียกร้องให้ปฏิรูปการเมือง การปกครอง ยังเรียกร้องให้มีการปฏิรูปตำรวจด้วย อยากเห็นการกระจายอำนาจ
**ลดอำนาจผบ.ตร.
ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ องคาพยพใหญ่ มีคน 2 แสนกว่า มี 30 กองบัญชาการ (บช.) ทั้ง บช.ที่ปฏิบัติการสนับสนุน และ บช.ที่ดูแลพื้นที่ จึงคิดว่า ทำอย่างไรถึงจะกระจายอำนาจตามข้อเรียกร้องของประชาชน ให้หน่วยงานดูแลพื้นที่มีอำนาจบริหารจัดการได้เบ็ดเสร็จ มีความคิดว่า หากเป็นนิติบุคคลได้ จะสามารถตั้งงบประมาณได้ มีงบประมาณ คน เครื่องมือ และการบริหารจัดการเองได้ สามารถกำหนดตัวชี้วัดตามปัจจัยคุกคามในพื้นที่ได้เอง ซึ่งปัจจุบันทุกอย่างรวมศูนย์ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่แนวคิดในอนาคต เมื่อบช.ต่างๆ เป็นนิติบุคคล ส่วนบังคับบัญชาของตร. ที่เป็นส่วนอำนวยการใหญ่ มี ผบ.ตร.อยู่ จะเป็นเพียงหน่วยสนับสนุน ประสานงาน คิดเรื่องยุทธศาสตร์ วางแผนการสนับสนุนงบ ประมาณ
ในภาพรวม ผบ.ตร. จะถูกลดอำนาจลง เล็กลง ผบ.ตร. จะไม่ใช่ ผบ.กองกำลังลัง จะเป็นการกระจายบอำนาจให้หน่วยปฏบัติมีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่อย่าลืมว่า คดีที่เกิดขึ้นบางครั้งเกี่ยวข้องหลายพื้นที่ บางครั้งเกี่ยวโยงกับต่างประเทศ ผบ.ตร.ก็ยังสามารถประสานงานสั่งการในส่วนเหล่านี้ได้
"เป็นแนวทางที่คิดสอดคล้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน ตามพ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดิน หรือ พ.ร.บ. ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทบวง กรม เป้าหมายคือ กระจายอำนาจลดลง ไม่ได้ใหญ่โตขึ้น ผบ.ตร. ก็จะเล็กลง ส่วนจะเปลี่ยนชื่อหรือไม่ ก็ต้องรอดู ทั้งนี้เมื่อเรามีแนวทางกระจายอำนาจหน่วยปฏิบัติต่างๆ ให้มีอิสระ ก็ต้องดูว่าจะเป็นรูปแบบใด โครงสร้างจะเป็นเหมือนกระทรวงหรือไม่ ก็ยังตอบไม่ได้ อาจไม่ใช่ก็ได้เพียงแต่กฎหมายจะเขียนชัดว่า ให้กองบัญชาการเป็นนิติบุคคล ทั้งนี้กฎหมายเดิม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ก็เขียนไว้ในเรื่องกระจายอำนาจ แต่เขียนว่า ผู้บัญชาการ (ผบช.) เสมือน อธิบดี ผบ.ตร. เสมือนปลัดกระทรวง ทุกวันนี้การกระอำนาจจึงยังไม่ชัดเจน เพราะยังเสมือน ดังนั้นการแก้ไขกฎหมาย ปรับโครงสร้างครั้งนี้ จึงทำให้ถึงที่สุด กระจายอำนาจ ไม่รวมศูนย์อีกต่อไป" รรท.ผบ.ตร. กล่าว และว่า เราทำตามที่ประชาชนอยากเห็นตำรวจกระจายอำนาจ อยากเห็นผู้นำหน่วยต่างๆ เป็นผู้นำหน่วยที่บริหารงาน รับผิดรับชอบด้วยตัวเอง ไม่ต้องการให้ทุกอย่างรวมศูนย์ที่ ผบ.ตร. เรากำลังคิดอยู่ แต่ท้ายที่สุดจะออกมาอย่างไร ก็ต้องหารือกัน ทั้งหน่วยที่เกี่ยวข้อง ผู้บังคับบัญชา และ พี่น้องประชาชน
**ไม่ถึงขั้นตั้งกระทรวงตำรวจ
เมื่อถามว่าโครงสร้างใหม่ จะเป็นเหมือนกระทรวง ที่มีกรมต่างๆ ผบ.ตร.เป็นปลัดกระทรวง หรือไม่ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า โครงสร้างเป็นไปได้หลายแบบ มีโจทย์ว่า ทำอย่างไรให้ บช.ต่างๆ เช่น นครบาล ภาค 1 มีอำนาจบริหารคน และงบประมาณได้เอง มีตัวชี้วัดของหน่วยเอง เพราะแต่ละหน่วยปัจจัยคุกคามต่างกัน มองว่าหากเป็นนิติบุคคล บริหารได้เอง ก็จะดูแลประชาชนได้ตรงกับความต้องการของประชาชน ในพื้นที่
ถามว่าเมื่อปรับโครงสร้างแล้ว ตำรวจก็จะไม่เป็นหนึ่งในเหล่าทัพ ไม่สามารถเคียงข้างเหล่าทัพได้ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า เราไม่ใช่กองทัพ ผบ.ตร.ไม่ใช่ ผบ.เหล่าทัพ ตำรวจไม่ใช่กองกำลังใหญ่โต ตำรวจต้องกระจายอยู่กับประชาชนในพื้นที่ การให้ตำรวจรวมตัวเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ ไม่ใช่หลักการ เมื่อมีสถานการณ์ต่างๆ มีกลไกอยู่แล้วว่า เมื่อเกินศักยภาพของตำรวจ จะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่กองทัพจะเข้ามามีบทบาท ตำรวจไม่มีลักษณะเหมือนกองทัพ ตอนนี้ทำอย่างไรให้ตำรวจในแต่ละพื้นที่ ตอบสนองแก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้ ทั้งนี้หากยังรวมศูนย์รอฟังนโยบาย ผบ.ตร. ก็ไม่ใช่แล้ว ตนว่า บช.ภ.แต่ละแห่ง ดูแลหลายจังหวัด มีตำรวจในสังกัดนับหมื่นนาย จึงต้องมีอำนาจบริหารจัดการในพื้นที่ได้เอง แนวคิดนี้มีมาระยะหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องหาจุดสมดุล ดูทุกมิติที่เกี่ยวข้อง เช่นด้านความมั่นคง
ต่อข้อถามว่า มีการมองว่า การที่ คสช. แต่งตั้งให้ รรท.ผบ.ตร. เพื่อปรับโครงสร้างตำรวจโดยเฉพาะ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ไม่ใช่หรอก ตนเป็น รอง ผบ.ตร. อาวุโสอันดับ 1 ที่เข้ามาทำหน้าที่ในจังหวะนี้พอดี และก็เป็นความต้องการของพี่น้องประชาชน ที่เรียกร้องในห้วงมีปัญหาทางการเมือง ที่ผ่านมา ว่าต้องการปฏิรูปการเมืองปกครอง ที่สะอาดบริสุทธิ์โปร่งใส ทุกคนมุ่งมั่น ทำงานเพื่อประโยชน์ประเทศชาติ และ อยากเห็นตำรวจของพี่น้องประชาชน เป็นที่พึ่งของประชาชน
**ไม่เกี่ยวรับลูก กปปส.
เมื่อถามว่า แนวคิดการปฏิรูปนี้ เหมือนที่ กปปส.พูดบนเวที อาจถูกมองว่าเป็นการรับลูก ทำเพื่อสนองแนวคิดของ กปปส. พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดของใครก็ตาม ขอแค่สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เช่นเดียวกัน เราอยากเห็นการเมืองการปกครองที่ดี มีคุณธรรม ทุกคนอาสาเข้ามาบริหารปกครองประเทศ ตำรวจก็ต้องเป็นตำรวจของประชาชน นี่ไม่ใช่ความคิดของใคร แต่เป็นความคิดของพี่น้องประชาชน
ถามว่าที่ผ่านมา ตำรวจปฏิรูปตำรวจมาหลายครั้งแต่ตำรวจก็ยังมีปัญหา ที่เกิดจากพฤติกรรมของตำรวจ โครงสร้างใหม่จะตอบโจทย์ได้หรือ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า การบริหารราชการเป็นเรื่องหนึ่ง ระบบวิธีการปฏิบัติงานก็เป็นเรื่องหนึ่ง ถ้าเราอยากให้ตำรวจทำงานด้วยความโปร่งใส รับผิดชอบ ต้องใช้กลไกหลายเรื่องสมัยที่ตนทำงานกับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ก็มีแนวคิดการพัฒนาคนด้วยการฝึกอบรมตลอดเวลา นำเทคโนโลยี ไอที เข้ามาทำงานเพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ใช้วิทยาการทำให้การอำนวยความยุติธรรมเป็นวิทยาศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ต้องทำเป็นองคาพยพ ประชาชนมาช่วยสอดส่องดูแล แนะนำ ยืนยันไม่ใช่การตอบโจทย์ กปปส. อย่างแน่นอน ตนมองว่าพี่น้อง ประชาชนอยากเห็นนักการเมือง ข้าราชการ รวมถึงตำรวจเป็นข้าราชการที่ดี ทำเพื่อประชาชน ข้าราชการทั้งตำรวจทหารก็อยากเห็นระบบที่มีคุณธรรม เชื่อมั่นได้ สิ่งเหล่านี้เราฝันอยู่แล้ว จะทำได้แค่ไหนต้องพยายาม
** ปฏิรูปตอบโจทย์ประชาคมอาเซียน
เมื่อถามว่า ปัญหาที่ผ่านมาคือ ฝ่ายการเมืองล้วงลูก การปฏิรูปครั้งนี้จะแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า การเมืองการปกครองเป็นของคู่กัน นักการเมืองที่เป็นคนดี มีความพร้อม เสียสละเข้ามาเป็นนักการเมือง ทำหน้าที่นิติบัญญัติ บริหาร ก็หวังว่าเข้ามาทำอย่างไรให้สังคมรุ่งเรือง ประชาชนมั่นคง กินดี อยู่ดี ปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน ตำรวจทหารก็เป็นกลไกลรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ อยากเห็น ไม่ได้ตอบโจทย์ใคร เปลี่ยนเพื่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 เพื่อแข่งกับคนทั้งโลก
เมื่อถามว่า ตำรวจบางส่วนวิพากษณ์วิจารณ์ และไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปตำรวจ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า หน้าที่ของผู้บังคับบัญชาทำไป หน้าที่หลักตำรวจดูแลประชาชน ในห้วงนี้ที่ประเทศมีปัญหา ต้องการความสามัคคี เมื่อตนเป็นผู้บังคับบัญชา ก็ต้องคิดว่าอะไรดีที่จะตอบโจทย์สังคม ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง ก่อนเปลี่ยนแปลง ก็ต้องรอบคอบ รับฟังความเห็น ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง ลองผิดลองถูก ไม่มีใครเป็นพหูสูตร คิดในฐานะตำรวจคนหนึ่ง คิดว่าถึงเวลาที่ต้องทำให้ตำรวจมั่นใจระบบคุณธรรม และให้ตำรวจทุกคนรับผิดชอบ ทำหน้าที่ดูแลประชาชนในพื้นที่
เมื่อถามว่าการเร่งปฏิรูปตำรวจเช่นนี้ ในห้วงการปกครองโดย คสช. และการแสดงความคิดเห็นมีข้อจำกัด เป็นการมัดมือชกหรือไม่ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ตอนนี้ข่าวต่างๆ ก็ออกไป ขณะนี้ยังเป็นเพียงแนวคิด เป็นโจทย์ที่ประชาชนเห็นว่า ต้องทำตำรวจเป็นตำรวจของประชาชน เพื่อเป็นตำรวจมืออาชีพ เพื่อความผาสุกของประชาชน อย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นได้หรือไม่ มีกระบวนการอีกมากมาย ต้องมีการศึกษาผลกระทบกับหน่วยอื่นๆ รวมทั้งความคิดเห็นของตำรวจด้วย หัวใจของตำรวจ คือ การยอมรับจากประชาชน หากประชาชนไม่ยอมรับ ตำรวจทำงานไม่ได้
** ต้องกล้าคิด กล้าเปลี่ยน
เมื่อถามว่า หากถูกมองรับงานจากฝ่ายที่มีแนวคิดต้องการปฏิรูป รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า ไม่ใช่ คนที่เป็นตำรวจด้วยจิตวิญญาน ก็อยากทำให้ อาชีพมีเกียรติศักดิ์ศรี เป็นที่ยอมรับจากประชาชน ทำอะไรได้ ก็กล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง การที่ตนออกมาพูดเช่นนี้ นี่คือกระบวนการประชาพิจารณ์อย่างหนึ่ง เมื่อพูดไป คนวิจารณ์ ก็รับฟังปรับไป การที่ดำเนินการตรงนี้ ทางคสช. มองว่า มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน
"ผมเป็นรอง ผบ.ตร. อาวุโสอันดับ 1 ที่มาทำหน้าที่ ผมคือ รอง ผบ.ตร. ที่มาทำหน้าที่ อย่างไรก็ตามผมคุย กับ พล.ต.อ.อดุลย์ กับอดีตผู้บังคับบัญชา ก็มีการให้คอมเมนต์มา ก็รับฟัง นี่คือการเบรนสตรอมมิ่ง ย้ำว่า นี่คือกระบวนการคิดตอบโจทย์พี่น้องประชาชน นี่คือการโอเพ่นคิดให้เต็มที่ แนวคิดนี้ คิดมานานแล้ว ในตร.มีคนเก่งหลายคน ที่คิดกันมานาน แต่ขึ้นกับปัจจัยที่เอื้อให้พัฒนา ปัจจัยที่ประชาชนเร่งเร้า ให้ตำรวจเป็นตำรวจของประชาชน การปฏิรูปครั้งนี้ ผมไม่รู้สำเร็จไหม แต่กล้าคิด กล้าเปลี่ยน" พล.ต.อ.วัชรพล กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องแสวงหาข้อมูลรอบด้าน กระบวนการยังอีกยาวนาน เปิดให้พี่น้องประชาชน สื่อมวลชนแนะนำ ซึ่งกระแสตอนนี้ ก็มีทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยขึ้น ผลที่สุดตำรวจไม่ใช่ผู้ตัดสินได้ ขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชา กรอบเวลา 4 เดือน จะทำได้หรือไม่ ตอบไม่ได้ นี่คือกระบวนการคิดเท่านั้น กว่าจะทำสำเร็จ ยังมีกระบวนการอีกมาก
รรท.ผบ.ตร. ยังกล่าวถึง การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจในช่วงนี้ว่า ตนย้ำในที่ประชุมว่า ยามนี้ต้องการความสามัคคี ต้องช่วยกันทำงาน ปัญหาความแตกต่าง แก้ไขได้ระดับหนึ่งแล้ว ใครทำหน้าที่เต็มที่ ก็ยังสามารถปฏิบัติต่อได้ แต่หากละเลย ต้องโยกย้ายสับเปลี่ยนไป
เมื่อถามถึงการที่ พล.ต.ท.วันชัย ถนัดกิจ รรท.ผบช.ภ. 5 ออกคำสั่งให้ พล.ต.ต.กริช กิตติลือ ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ช่วยราชการฯตามคำแนะนำของแม่ทัพภาคที่ 3 ก่อนมีการถอนคำสั่ง ในเวลาต่อมา พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า การได้ข้อมูลก็ต้องตรวจสอบ ห้วงนี้ข้อมูลข่าวสารมากมาย จึงจำเป็นต้องตรวจสอบ เพื่อความเป็นธรรม หากไม่ชัดเจน ข้อมูลไม่ชัด ก็สร้างความหวั่นไหว ตอนนี้ให้ทำหน้าที่ไป วันนี้ พล.ต.ต.กริช ยังทำหน้าที่ ผบก.ภ.ตจว.เชียงใหม่ อยู่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องแจ้งแม่ทัพภาคที่ 3 เชื่อว่า เข้าใจ
**ลดอำนาจผบ.ตร.
ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ องคาพยพใหญ่ มีคน 2 แสนกว่า มี 30 กองบัญชาการ (บช.) ทั้ง บช.ที่ปฏิบัติการสนับสนุน และ บช.ที่ดูแลพื้นที่ จึงคิดว่า ทำอย่างไรถึงจะกระจายอำนาจตามข้อเรียกร้องของประชาชน ให้หน่วยงานดูแลพื้นที่มีอำนาจบริหารจัดการได้เบ็ดเสร็จ มีความคิดว่า หากเป็นนิติบุคคลได้ จะสามารถตั้งงบประมาณได้ มีงบประมาณ คน เครื่องมือ และการบริหารจัดการเองได้ สามารถกำหนดตัวชี้วัดตามปัจจัยคุกคามในพื้นที่ได้เอง ซึ่งปัจจุบันทุกอย่างรวมศูนย์ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่แนวคิดในอนาคต เมื่อบช.ต่างๆ เป็นนิติบุคคล ส่วนบังคับบัญชาของตร. ที่เป็นส่วนอำนวยการใหญ่ มี ผบ.ตร.อยู่ จะเป็นเพียงหน่วยสนับสนุน ประสานงาน คิดเรื่องยุทธศาสตร์ วางแผนการสนับสนุนงบ ประมาณ
ในภาพรวม ผบ.ตร. จะถูกลดอำนาจลง เล็กลง ผบ.ตร. จะไม่ใช่ ผบ.กองกำลังลัง จะเป็นการกระจายบอำนาจให้หน่วยปฏบัติมีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่อย่าลืมว่า คดีที่เกิดขึ้นบางครั้งเกี่ยวข้องหลายพื้นที่ บางครั้งเกี่ยวโยงกับต่างประเทศ ผบ.ตร.ก็ยังสามารถประสานงานสั่งการในส่วนเหล่านี้ได้
"เป็นแนวทางที่คิดสอดคล้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน ตามพ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดิน หรือ พ.ร.บ. ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทบวง กรม เป้าหมายคือ กระจายอำนาจลดลง ไม่ได้ใหญ่โตขึ้น ผบ.ตร. ก็จะเล็กลง ส่วนจะเปลี่ยนชื่อหรือไม่ ก็ต้องรอดู ทั้งนี้เมื่อเรามีแนวทางกระจายอำนาจหน่วยปฏิบัติต่างๆ ให้มีอิสระ ก็ต้องดูว่าจะเป็นรูปแบบใด โครงสร้างจะเป็นเหมือนกระทรวงหรือไม่ ก็ยังตอบไม่ได้ อาจไม่ใช่ก็ได้เพียงแต่กฎหมายจะเขียนชัดว่า ให้กองบัญชาการเป็นนิติบุคคล ทั้งนี้กฎหมายเดิม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ก็เขียนไว้ในเรื่องกระจายอำนาจ แต่เขียนว่า ผู้บัญชาการ (ผบช.) เสมือน อธิบดี ผบ.ตร. เสมือนปลัดกระทรวง ทุกวันนี้การกระอำนาจจึงยังไม่ชัดเจน เพราะยังเสมือน ดังนั้นการแก้ไขกฎหมาย ปรับโครงสร้างครั้งนี้ จึงทำให้ถึงที่สุด กระจายอำนาจ ไม่รวมศูนย์อีกต่อไป" รรท.ผบ.ตร. กล่าว และว่า เราทำตามที่ประชาชนอยากเห็นตำรวจกระจายอำนาจ อยากเห็นผู้นำหน่วยต่างๆ เป็นผู้นำหน่วยที่บริหารงาน รับผิดรับชอบด้วยตัวเอง ไม่ต้องการให้ทุกอย่างรวมศูนย์ที่ ผบ.ตร. เรากำลังคิดอยู่ แต่ท้ายที่สุดจะออกมาอย่างไร ก็ต้องหารือกัน ทั้งหน่วยที่เกี่ยวข้อง ผู้บังคับบัญชา และ พี่น้องประชาชน
**ไม่ถึงขั้นตั้งกระทรวงตำรวจ
เมื่อถามว่าโครงสร้างใหม่ จะเป็นเหมือนกระทรวง ที่มีกรมต่างๆ ผบ.ตร.เป็นปลัดกระทรวง หรือไม่ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า โครงสร้างเป็นไปได้หลายแบบ มีโจทย์ว่า ทำอย่างไรให้ บช.ต่างๆ เช่น นครบาล ภาค 1 มีอำนาจบริหารคน และงบประมาณได้เอง มีตัวชี้วัดของหน่วยเอง เพราะแต่ละหน่วยปัจจัยคุกคามต่างกัน มองว่าหากเป็นนิติบุคคล บริหารได้เอง ก็จะดูแลประชาชนได้ตรงกับความต้องการของประชาชน ในพื้นที่
ถามว่าเมื่อปรับโครงสร้างแล้ว ตำรวจก็จะไม่เป็นหนึ่งในเหล่าทัพ ไม่สามารถเคียงข้างเหล่าทัพได้ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า เราไม่ใช่กองทัพ ผบ.ตร.ไม่ใช่ ผบ.เหล่าทัพ ตำรวจไม่ใช่กองกำลังใหญ่โต ตำรวจต้องกระจายอยู่กับประชาชนในพื้นที่ การให้ตำรวจรวมตัวเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ ไม่ใช่หลักการ เมื่อมีสถานการณ์ต่างๆ มีกลไกอยู่แล้วว่า เมื่อเกินศักยภาพของตำรวจ จะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่กองทัพจะเข้ามามีบทบาท ตำรวจไม่มีลักษณะเหมือนกองทัพ ตอนนี้ทำอย่างไรให้ตำรวจในแต่ละพื้นที่ ตอบสนองแก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้ ทั้งนี้หากยังรวมศูนย์รอฟังนโยบาย ผบ.ตร. ก็ไม่ใช่แล้ว ตนว่า บช.ภ.แต่ละแห่ง ดูแลหลายจังหวัด มีตำรวจในสังกัดนับหมื่นนาย จึงต้องมีอำนาจบริหารจัดการในพื้นที่ได้เอง แนวคิดนี้มีมาระยะหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องหาจุดสมดุล ดูทุกมิติที่เกี่ยวข้อง เช่นด้านความมั่นคง
ต่อข้อถามว่า มีการมองว่า การที่ คสช. แต่งตั้งให้ รรท.ผบ.ตร. เพื่อปรับโครงสร้างตำรวจโดยเฉพาะ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ไม่ใช่หรอก ตนเป็น รอง ผบ.ตร. อาวุโสอันดับ 1 ที่เข้ามาทำหน้าที่ในจังหวะนี้พอดี และก็เป็นความต้องการของพี่น้องประชาชน ที่เรียกร้องในห้วงมีปัญหาทางการเมือง ที่ผ่านมา ว่าต้องการปฏิรูปการเมืองปกครอง ที่สะอาดบริสุทธิ์โปร่งใส ทุกคนมุ่งมั่น ทำงานเพื่อประโยชน์ประเทศชาติ และ อยากเห็นตำรวจของพี่น้องประชาชน เป็นที่พึ่งของประชาชน
**ไม่เกี่ยวรับลูก กปปส.
เมื่อถามว่า แนวคิดการปฏิรูปนี้ เหมือนที่ กปปส.พูดบนเวที อาจถูกมองว่าเป็นการรับลูก ทำเพื่อสนองแนวคิดของ กปปส. พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดของใครก็ตาม ขอแค่สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เช่นเดียวกัน เราอยากเห็นการเมืองการปกครองที่ดี มีคุณธรรม ทุกคนอาสาเข้ามาบริหารปกครองประเทศ ตำรวจก็ต้องเป็นตำรวจของประชาชน นี่ไม่ใช่ความคิดของใคร แต่เป็นความคิดของพี่น้องประชาชน
ถามว่าที่ผ่านมา ตำรวจปฏิรูปตำรวจมาหลายครั้งแต่ตำรวจก็ยังมีปัญหา ที่เกิดจากพฤติกรรมของตำรวจ โครงสร้างใหม่จะตอบโจทย์ได้หรือ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า การบริหารราชการเป็นเรื่องหนึ่ง ระบบวิธีการปฏิบัติงานก็เป็นเรื่องหนึ่ง ถ้าเราอยากให้ตำรวจทำงานด้วยความโปร่งใส รับผิดชอบ ต้องใช้กลไกหลายเรื่องสมัยที่ตนทำงานกับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ก็มีแนวคิดการพัฒนาคนด้วยการฝึกอบรมตลอดเวลา นำเทคโนโลยี ไอที เข้ามาทำงานเพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ใช้วิทยาการทำให้การอำนวยความยุติธรรมเป็นวิทยาศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ต้องทำเป็นองคาพยพ ประชาชนมาช่วยสอดส่องดูแล แนะนำ ยืนยันไม่ใช่การตอบโจทย์ กปปส. อย่างแน่นอน ตนมองว่าพี่น้อง ประชาชนอยากเห็นนักการเมือง ข้าราชการ รวมถึงตำรวจเป็นข้าราชการที่ดี ทำเพื่อประชาชน ข้าราชการทั้งตำรวจทหารก็อยากเห็นระบบที่มีคุณธรรม เชื่อมั่นได้ สิ่งเหล่านี้เราฝันอยู่แล้ว จะทำได้แค่ไหนต้องพยายาม
** ปฏิรูปตอบโจทย์ประชาคมอาเซียน
เมื่อถามว่า ปัญหาที่ผ่านมาคือ ฝ่ายการเมืองล้วงลูก การปฏิรูปครั้งนี้จะแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า การเมืองการปกครองเป็นของคู่กัน นักการเมืองที่เป็นคนดี มีความพร้อม เสียสละเข้ามาเป็นนักการเมือง ทำหน้าที่นิติบัญญัติ บริหาร ก็หวังว่าเข้ามาทำอย่างไรให้สังคมรุ่งเรือง ประชาชนมั่นคง กินดี อยู่ดี ปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน ตำรวจทหารก็เป็นกลไกลรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ อยากเห็น ไม่ได้ตอบโจทย์ใคร เปลี่ยนเพื่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 เพื่อแข่งกับคนทั้งโลก
เมื่อถามว่า ตำรวจบางส่วนวิพากษณ์วิจารณ์ และไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปตำรวจ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า หน้าที่ของผู้บังคับบัญชาทำไป หน้าที่หลักตำรวจดูแลประชาชน ในห้วงนี้ที่ประเทศมีปัญหา ต้องการความสามัคคี เมื่อตนเป็นผู้บังคับบัญชา ก็ต้องคิดว่าอะไรดีที่จะตอบโจทย์สังคม ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง ก่อนเปลี่ยนแปลง ก็ต้องรอบคอบ รับฟังความเห็น ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง ลองผิดลองถูก ไม่มีใครเป็นพหูสูตร คิดในฐานะตำรวจคนหนึ่ง คิดว่าถึงเวลาที่ต้องทำให้ตำรวจมั่นใจระบบคุณธรรม และให้ตำรวจทุกคนรับผิดชอบ ทำหน้าที่ดูแลประชาชนในพื้นที่
เมื่อถามว่าการเร่งปฏิรูปตำรวจเช่นนี้ ในห้วงการปกครองโดย คสช. และการแสดงความคิดเห็นมีข้อจำกัด เป็นการมัดมือชกหรือไม่ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ตอนนี้ข่าวต่างๆ ก็ออกไป ขณะนี้ยังเป็นเพียงแนวคิด เป็นโจทย์ที่ประชาชนเห็นว่า ต้องทำตำรวจเป็นตำรวจของประชาชน เพื่อเป็นตำรวจมืออาชีพ เพื่อความผาสุกของประชาชน อย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นได้หรือไม่ มีกระบวนการอีกมากมาย ต้องมีการศึกษาผลกระทบกับหน่วยอื่นๆ รวมทั้งความคิดเห็นของตำรวจด้วย หัวใจของตำรวจ คือ การยอมรับจากประชาชน หากประชาชนไม่ยอมรับ ตำรวจทำงานไม่ได้
** ต้องกล้าคิด กล้าเปลี่ยน
เมื่อถามว่า หากถูกมองรับงานจากฝ่ายที่มีแนวคิดต้องการปฏิรูป รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า ไม่ใช่ คนที่เป็นตำรวจด้วยจิตวิญญาน ก็อยากทำให้ อาชีพมีเกียรติศักดิ์ศรี เป็นที่ยอมรับจากประชาชน ทำอะไรได้ ก็กล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง การที่ตนออกมาพูดเช่นนี้ นี่คือกระบวนการประชาพิจารณ์อย่างหนึ่ง เมื่อพูดไป คนวิจารณ์ ก็รับฟังปรับไป การที่ดำเนินการตรงนี้ ทางคสช. มองว่า มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน
"ผมเป็นรอง ผบ.ตร. อาวุโสอันดับ 1 ที่มาทำหน้าที่ ผมคือ รอง ผบ.ตร. ที่มาทำหน้าที่ อย่างไรก็ตามผมคุย กับ พล.ต.อ.อดุลย์ กับอดีตผู้บังคับบัญชา ก็มีการให้คอมเมนต์มา ก็รับฟัง นี่คือการเบรนสตรอมมิ่ง ย้ำว่า นี่คือกระบวนการคิดตอบโจทย์พี่น้องประชาชน นี่คือการโอเพ่นคิดให้เต็มที่ แนวคิดนี้ คิดมานานแล้ว ในตร.มีคนเก่งหลายคน ที่คิดกันมานาน แต่ขึ้นกับปัจจัยที่เอื้อให้พัฒนา ปัจจัยที่ประชาชนเร่งเร้า ให้ตำรวจเป็นตำรวจของประชาชน การปฏิรูปครั้งนี้ ผมไม่รู้สำเร็จไหม แต่กล้าคิด กล้าเปลี่ยน" พล.ต.อ.วัชรพล กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องแสวงหาข้อมูลรอบด้าน กระบวนการยังอีกยาวนาน เปิดให้พี่น้องประชาชน สื่อมวลชนแนะนำ ซึ่งกระแสตอนนี้ ก็มีทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยขึ้น ผลที่สุดตำรวจไม่ใช่ผู้ตัดสินได้ ขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชา กรอบเวลา 4 เดือน จะทำได้หรือไม่ ตอบไม่ได้ นี่คือกระบวนการคิดเท่านั้น กว่าจะทำสำเร็จ ยังมีกระบวนการอีกมาก
รรท.ผบ.ตร. ยังกล่าวถึง การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจในช่วงนี้ว่า ตนย้ำในที่ประชุมว่า ยามนี้ต้องการความสามัคคี ต้องช่วยกันทำงาน ปัญหาความแตกต่าง แก้ไขได้ระดับหนึ่งแล้ว ใครทำหน้าที่เต็มที่ ก็ยังสามารถปฏิบัติต่อได้ แต่หากละเลย ต้องโยกย้ายสับเปลี่ยนไป
เมื่อถามถึงการที่ พล.ต.ท.วันชัย ถนัดกิจ รรท.ผบช.ภ. 5 ออกคำสั่งให้ พล.ต.ต.กริช กิตติลือ ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ช่วยราชการฯตามคำแนะนำของแม่ทัพภาคที่ 3 ก่อนมีการถอนคำสั่ง ในเวลาต่อมา พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า การได้ข้อมูลก็ต้องตรวจสอบ ห้วงนี้ข้อมูลข่าวสารมากมาย จึงจำเป็นต้องตรวจสอบ เพื่อความเป็นธรรม หากไม่ชัดเจน ข้อมูลไม่ชัด ก็สร้างความหวั่นไหว ตอนนี้ให้ทำหน้าที่ไป วันนี้ พล.ต.ต.กริช ยังทำหน้าที่ ผบก.ภ.ตจว.เชียงใหม่ อยู่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องแจ้งแม่ทัพภาคที่ 3 เชื่อว่า เข้าใจ