ASTVผู้จัดการรายวัน-เอกชน-นักลงทุน มองรัฐประหารแง่ดี ช่วยแก้วิกฤตการเมือง จี้หาคนทำงานบริหารประเทศ ล้างบางคอร์รัปชัน โบรกฯชี้นักลงทุนเฝ้ารอคณะผู้บริหารประเทศชุดใหม่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นเหมือนช่วงปี49 คาดดัชนีแค่ผันผวนช่วงสั้น ก่อนฟื้นตัวเหมือนคราวก่อน หากไม่เกิดการปะทะของมวลชน ส่วนต่างชาติยังเห็นขายออก แต่สถาบัน ยังเข้าเก็บช่วยพยุงดัชนีต่อเนื่อง ตลท.ย้ำวันนี้เปิดทำการปกติ
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้รอความชัดเจนมาตรการต่างๆ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ว่ามีเนื้อหาอย่างไรบ้าง ซึ่งขณะนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือคณะรัฐบาลชุดใหม่ที่จะแต่งตั้งขึ้น ควรมีระยะเวลาทำงานไม่เกิน 6 เดือน และกำหนดให้ชัดเจนว่า จะมีการเลือกตั้งวันไหนให้ชัดเจน และอยากให้ความสำคัญในการไขปัญหาการคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหา และทำให้มีการเบิกจ่ายงบประมาณ ของรัฐบาลออกมา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ขณะนี้ชะลอตัวอย่างมาก
"ในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ อย่างเหตุการณ์ครั้งนี้ก็เหมือนเริ่มเซทที่ศูนย์ใหม่ ล้างใหม่ทั้งหมด อยากให้ตั้งคณะทำงานหรือรัฐบาลที่เข้ามาทำงานจริงๆ เหมือนสมัย"นายอานันท์"เป็นนายกรัฐมนตรีแต่ถ้าถ้าอยากให้คนในประเทศและต่างชาติเข้าใจ จะต้องมีการกำหนดวันเลือกตั้งให้ชัดเจนว่าเมื่อไรด้วย"นายสุพันธุ์กล่าว
ด้าน นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน(ประเทศไทย)กล่าวว่า แม้วิธีนี้จะเป็นปัญหาที่ทั่วโลกไม่ยอมรับ แต่เมื่อถึงจุดนี้แล้วผู้ที่เกี่ยวข้องต้องเร่งหาแนวทางการปฏิรูปประเทศไทยให้ได้ เพราะไหนๆทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด และต้องเร่งชี้แจงต่างชาติให้เข้าใจว่าปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้จบยาก หากไม่มีวิธีแก้ปัญหาก็จะคาราคาซังแต่เมื่อทำแบบนี้แล้ว แม้จะเจ็บบ้างก็ต้องเข้าใจ และเชื่อว่าบางประเทศเข้าใจ บางประเทศไม่เข้าใจ
**นักลงทุนรอรัฐบาลใหม่ฟื้นลงทุน**
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ธนชาต คาดการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังเหล่าทัพประกาศแต่งตั้ง คสช. เข้ามาคุมอำนาจ ตลาดหุ้นไทยชอบความชัดเจน คงต้องแบ่งภาพออกเป็น 2 ส่วน คือนักลงทุนไทยรับทราบข่าวดังกล่าวไปแล้วระดับหนึ่ง คาดว่าเบื้องต้นดัชนีน่าจะผันผวน จากนั้นจะเริ่มฟื้นตัว แต่จะพุ่งไปได้ไกลแค่ไหนถึงจุดไหนนั้น นักลงทุนคงพิจารณาจากโฉมหน้าของ “คณะผู้บริหารประเทศ” ว่าจะสามารถสร้างความมั่นใจในระบบเศรษฐกิจได้ชัดเจนขนาดไหน ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2549 แล้วดัชนีน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,380 - 1,390 จุด และแนวต้าน 1,425 จุด
สำหรับนักลงทุนต่างชาติ นายอดิศักดิ์มองว่ายังคงเป็นผู้ลงทุนกลุ่มเดิมที่ขายหุ้นไทยไปก่อนหน้า เนื่องจากติดกฏเกณฑ์ไม่สามารถเข้าลงทุนในประเทศที่ประกาศกฏอัยการศึกได้ ดังนั้นคาดว่าแรงขายไม่น่าจะมากกว่าที่ขายออกมาก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์คลี่คลายและภาพรวมคณะรัฐบาลชั่วคราวสามารถสร้าง ความมั่นใจได้ว่าจะสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทยได้อย่างต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติอาจพิจารณากลับเข้ามาลงทุน ซึ่งคาดว่าน่าจะให้เวลาระยะหนึ่ง
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยหลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุโดยภาพรวมสถานการณ์ทางการเมืองถือว่าคลี่คลายแล้ว ดังนั้นคงต้องรอดูท่าทีชองกลุ่มผู้ชุมนุมหากไม่มีสถานการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ไม่มีเหตุประทะระหว่างทหารกับประชาชน หรือ ประชาชนปะทะกันเองคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะปรับตัวลงไม่มาก แนวรับที่ 1,380 จุดน่าจะเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง เนื่องจาก 2 วันที่ผ่านมากองทุน และสถาบันไทยเข้ามาช้อนซื้ออย่างต่อเนื่อง แต่หากเกิดการปะทะถึงขั้นมีความสูญเสียจนไม่สามารถตอบคำถามต่างชาติได้ จุดนั้นก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าดัชนีจะปรับลงขนาดไหนส่วนนักลงทุนต่างชาติ คงต้องยอมรับว่าจะยังคงมีแรงขายเข้ามาอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่น่าจะมากเพราะ 2 วันที่ผ่านมาก็ขายมาอย่างต่อเนื่องโดยวันนี้ขายสุทธิอีก 1,882.47 ล้านบาท ทั้งนี้โดยภาพรวมนักลงทุนไทยยังเชื่อมั่นว่าการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุด และคาดว่าเมื่อเหตุการณ์คลี่คลาย และเห็นภาพการแก้ไข ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ดัชนีฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
**ตลาดหุ้นเปิดปกติวันนี้**
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) และตลาดตราสารหนี้ (BEX) แจ้งว่าจะเปิดดำเนินการซื้อขายตามปกติในวันนี้ (23 พ.ค.) เพื่อให้ผู้ลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ (22พ.ค.) ตลอดทั้งวันดัชนีปรับตัวในแดนบวก หวังรอรับข่าวดีกลุ่มผู้เจรจาหาทองออกประเทศสามารถได้ข้อยุติที่ชัดเจน ทำให้ช่วงเช้าดัชนีปิดตลาดระหว่างวันเพิ่มขึ้น 7.40 จุด ต่อมาในการซื้อขายรอบบ่ายดัชนียังปรับในแดนบวกเช่นเดิม จนกระทั่ง 4 เหล่าทัพลงมติเข้าคุมอำนาจบริหารประเทศ ภายใต้ชื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในช่วง 16.30 น. ทำให้ดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นปรับตัวลดลงมาเหลือปิดตลาดที่ระดับ 1,405.21 จุด เพิ่มขึ้น 2.29 จุด หรือ 0.61%มูลค่าการซื้อขาย 41,281.00 ล้านบาท โดยระหว่างวัน ดัชนีแตะจุดสูงสุดของวันที่ 1,415.36 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,401.73 จุด ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิออกไปอีก 1,882.47 ล้านบาท และสถาบันเข้าซื้อสุทธิ 1,721.14 ล้านบาท
**พาณิชย์ยันการค้าส่งออกไม่กระทบ**
นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ที่ประจำอยู่ 64 แห่งทั่วโลก รีบไปชี้แจงและทำความเข้าใจกับคู่ค้าในประเทศที่ตนเองประจำอยู่อย่างเร่งด่วน ถึงกรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ประกาศควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ ไม่มีผลกระทบต่อภาคการค้าโดยไทยยังสามารถผลิตและส่งออกสินค้าได้ตามปกติ ขอให้ลูกค้ามั่นใจและทำการค้ากับไทยต่อไป
“ขอให้ทำอย่างเร่งด่วน เพราะเกรงว่าจะเป็นปัญหาบานปลาย ถ้าลูกค้าเกิดไม่มั่นใจ และไม่ค้าขายกับไทย ก็จะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวอยู่ในขณะนี้”
นางศรีรัตน์กล่าวว่า ในด้านการดูแลภาวะราคาสินค้า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบภาวะราคาสินค้า โดยเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบให้มากขึ้น เพราะยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ อาจจะมีพ่อค้าแม่ค้าบางรายฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้บริโภคได้ จึงต้องป้องกันไว้ก่อน ส่วนการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงฯ ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ และให้บริการประชาชนตามสายงานที่รับผิดชอบต่อไป
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้รอความชัดเจนมาตรการต่างๆ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ว่ามีเนื้อหาอย่างไรบ้าง ซึ่งขณะนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือคณะรัฐบาลชุดใหม่ที่จะแต่งตั้งขึ้น ควรมีระยะเวลาทำงานไม่เกิน 6 เดือน และกำหนดให้ชัดเจนว่า จะมีการเลือกตั้งวันไหนให้ชัดเจน และอยากให้ความสำคัญในการไขปัญหาการคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหา และทำให้มีการเบิกจ่ายงบประมาณ ของรัฐบาลออกมา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ขณะนี้ชะลอตัวอย่างมาก
"ในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ อย่างเหตุการณ์ครั้งนี้ก็เหมือนเริ่มเซทที่ศูนย์ใหม่ ล้างใหม่ทั้งหมด อยากให้ตั้งคณะทำงานหรือรัฐบาลที่เข้ามาทำงานจริงๆ เหมือนสมัย"นายอานันท์"เป็นนายกรัฐมนตรีแต่ถ้าถ้าอยากให้คนในประเทศและต่างชาติเข้าใจ จะต้องมีการกำหนดวันเลือกตั้งให้ชัดเจนว่าเมื่อไรด้วย"นายสุพันธุ์กล่าว
ด้าน นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน(ประเทศไทย)กล่าวว่า แม้วิธีนี้จะเป็นปัญหาที่ทั่วโลกไม่ยอมรับ แต่เมื่อถึงจุดนี้แล้วผู้ที่เกี่ยวข้องต้องเร่งหาแนวทางการปฏิรูปประเทศไทยให้ได้ เพราะไหนๆทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด และต้องเร่งชี้แจงต่างชาติให้เข้าใจว่าปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้จบยาก หากไม่มีวิธีแก้ปัญหาก็จะคาราคาซังแต่เมื่อทำแบบนี้แล้ว แม้จะเจ็บบ้างก็ต้องเข้าใจ และเชื่อว่าบางประเทศเข้าใจ บางประเทศไม่เข้าใจ
**นักลงทุนรอรัฐบาลใหม่ฟื้นลงทุน**
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ธนชาต คาดการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังเหล่าทัพประกาศแต่งตั้ง คสช. เข้ามาคุมอำนาจ ตลาดหุ้นไทยชอบความชัดเจน คงต้องแบ่งภาพออกเป็น 2 ส่วน คือนักลงทุนไทยรับทราบข่าวดังกล่าวไปแล้วระดับหนึ่ง คาดว่าเบื้องต้นดัชนีน่าจะผันผวน จากนั้นจะเริ่มฟื้นตัว แต่จะพุ่งไปได้ไกลแค่ไหนถึงจุดไหนนั้น นักลงทุนคงพิจารณาจากโฉมหน้าของ “คณะผู้บริหารประเทศ” ว่าจะสามารถสร้างความมั่นใจในระบบเศรษฐกิจได้ชัดเจนขนาดไหน ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2549 แล้วดัชนีน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,380 - 1,390 จุด และแนวต้าน 1,425 จุด
สำหรับนักลงทุนต่างชาติ นายอดิศักดิ์มองว่ายังคงเป็นผู้ลงทุนกลุ่มเดิมที่ขายหุ้นไทยไปก่อนหน้า เนื่องจากติดกฏเกณฑ์ไม่สามารถเข้าลงทุนในประเทศที่ประกาศกฏอัยการศึกได้ ดังนั้นคาดว่าแรงขายไม่น่าจะมากกว่าที่ขายออกมาก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์คลี่คลายและภาพรวมคณะรัฐบาลชั่วคราวสามารถสร้าง ความมั่นใจได้ว่าจะสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทยได้อย่างต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติอาจพิจารณากลับเข้ามาลงทุน ซึ่งคาดว่าน่าจะให้เวลาระยะหนึ่ง
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยหลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุโดยภาพรวมสถานการณ์ทางการเมืองถือว่าคลี่คลายแล้ว ดังนั้นคงต้องรอดูท่าทีชองกลุ่มผู้ชุมนุมหากไม่มีสถานการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ไม่มีเหตุประทะระหว่างทหารกับประชาชน หรือ ประชาชนปะทะกันเองคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะปรับตัวลงไม่มาก แนวรับที่ 1,380 จุดน่าจะเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง เนื่องจาก 2 วันที่ผ่านมากองทุน และสถาบันไทยเข้ามาช้อนซื้ออย่างต่อเนื่อง แต่หากเกิดการปะทะถึงขั้นมีความสูญเสียจนไม่สามารถตอบคำถามต่างชาติได้ จุดนั้นก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าดัชนีจะปรับลงขนาดไหนส่วนนักลงทุนต่างชาติ คงต้องยอมรับว่าจะยังคงมีแรงขายเข้ามาอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่น่าจะมากเพราะ 2 วันที่ผ่านมาก็ขายมาอย่างต่อเนื่องโดยวันนี้ขายสุทธิอีก 1,882.47 ล้านบาท ทั้งนี้โดยภาพรวมนักลงทุนไทยยังเชื่อมั่นว่าการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุด และคาดว่าเมื่อเหตุการณ์คลี่คลาย และเห็นภาพการแก้ไข ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ดัชนีฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
**ตลาดหุ้นเปิดปกติวันนี้**
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) และตลาดตราสารหนี้ (BEX) แจ้งว่าจะเปิดดำเนินการซื้อขายตามปกติในวันนี้ (23 พ.ค.) เพื่อให้ผู้ลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ (22พ.ค.) ตลอดทั้งวันดัชนีปรับตัวในแดนบวก หวังรอรับข่าวดีกลุ่มผู้เจรจาหาทองออกประเทศสามารถได้ข้อยุติที่ชัดเจน ทำให้ช่วงเช้าดัชนีปิดตลาดระหว่างวันเพิ่มขึ้น 7.40 จุด ต่อมาในการซื้อขายรอบบ่ายดัชนียังปรับในแดนบวกเช่นเดิม จนกระทั่ง 4 เหล่าทัพลงมติเข้าคุมอำนาจบริหารประเทศ ภายใต้ชื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในช่วง 16.30 น. ทำให้ดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นปรับตัวลดลงมาเหลือปิดตลาดที่ระดับ 1,405.21 จุด เพิ่มขึ้น 2.29 จุด หรือ 0.61%มูลค่าการซื้อขาย 41,281.00 ล้านบาท โดยระหว่างวัน ดัชนีแตะจุดสูงสุดของวันที่ 1,415.36 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,401.73 จุด ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิออกไปอีก 1,882.47 ล้านบาท และสถาบันเข้าซื้อสุทธิ 1,721.14 ล้านบาท
**พาณิชย์ยันการค้าส่งออกไม่กระทบ**
นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ที่ประจำอยู่ 64 แห่งทั่วโลก รีบไปชี้แจงและทำความเข้าใจกับคู่ค้าในประเทศที่ตนเองประจำอยู่อย่างเร่งด่วน ถึงกรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ประกาศควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ ไม่มีผลกระทบต่อภาคการค้าโดยไทยยังสามารถผลิตและส่งออกสินค้าได้ตามปกติ ขอให้ลูกค้ามั่นใจและทำการค้ากับไทยต่อไป
“ขอให้ทำอย่างเร่งด่วน เพราะเกรงว่าจะเป็นปัญหาบานปลาย ถ้าลูกค้าเกิดไม่มั่นใจ และไม่ค้าขายกับไทย ก็จะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวอยู่ในขณะนี้”
นางศรีรัตน์กล่าวว่า ในด้านการดูแลภาวะราคาสินค้า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบภาวะราคาสินค้า โดยเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบให้มากขึ้น เพราะยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ อาจจะมีพ่อค้าแม่ค้าบางรายฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้บริโภคได้ จึงต้องป้องกันไว้ก่อน ส่วนการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงฯ ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ และให้บริการประชาชนตามสายงานที่รับผิดชอบต่อไป