ASTV ผู้จัดการรายวัน –หุ้นไทยรีบาวนด์เหลือปิดลบ1.40 จุด หลังศาลฯให้ “ยิ่งลักษณ์”พ้นสภาพรักษาการนายกฯ พร้อมครม.ที่เกี่ยวข้อง เหตุไม่เกิดสุญญากาศ การเลือกตั้งส่อเดินได้ต่อ แต่ยังต้องติดตามกรณีปปช.ต่อโครงการข้าววันนี้ ด้าน “ศุภวุฒิ”เชื่อปีนี้ไม่เห็นเลือกตั้ง GDP ไม่ถึง2% ส่งออกไอที อาหาร ยางพาราได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจไทย-จีนที่ถดถอย ประเมิน Set Index ลดลงมาที่ 1,320 จุด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (7พ.ค.) ปิดที่ระดับ 1,402.61 จุด ลดลง 1.40 จุด หรือ -0.10% มูลค่าการซื้อขาย 32,829.21 ล้านบาท ภาพรวมดัชนีหุ้นไทยรีบาวนด์จากช่วงเช้าที่ปรับตัวลงไปร่วม 10 จุด หลังผลตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญไม่รุนแรงมาก โดยยังมีรัฐมนตรีส่วนที่เหลือสามารถปฏิบัติหน้าต่อไปได้ อีกทั้งยังแต่งตั้ง"นิวัฒน์ธำรง"ให้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีได้ทันที มองจากนี้ไปรัฐบาลต้องเร่งจัดเลือกตั้งเร็วขึ้น โดยดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ 1,403.55 จุด ต่ำสุดที่ 1,388.29 จุด และนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,018.51 ล้านบาท
นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟิลลิป สรุปภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงเช้า ดัชนีหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,400 จุด จนปิดที่ 1,395.89 จุด แต่ระหว่างรอฟังคำตัดสินของศาลรธน. และปัจจัยกดดันจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ร่วงลง นำโดยหุ้นกลุ่มอินเทอร์เน็ต และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของจีนปรับตัวลงมากที่สุด เนื่องจากธนาคารกลางจีนจะติดตามสถานการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเข้มงวด ท่ามกลางความกังวลว่า เศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีน
แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งนายกฯ แต่ยังคงคณะรัฐมนตรีที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อ ซึ่งสามารถจัดหาผู้ดำรงตำแหน่งแทนได้ และรอการจัดเลือกตั้งต่อไป ตลาดหุ้นก็รีบาวนด์ตอบรับในเชิงบวกระยะสั้นที่ไม่เกิดสุญญากาศทางการเมือง
พร้อมคาดการณ์ความเคลื่อไหวดัชนี วันนี้(8พ.ค.) ว่า ดัชนีน่าจะมี Upside จำกัด เนื่องจากยังต้องติดตามท่าทีของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. และคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือ กปปส. ต่อไปว่าจะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร
นอกจากนี้ยังมีคดีของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือปปช.ในการชี้มูลความผิดกรณีจำนำข้าวอยู่อีก อีกทั้งต้องจับตาดูการจัดการเลือกตั้งต่อไปแต่คาดยังอยู่ในลักษณะซื้อสลับขายเป็นช่วงๆ แนะนำยังเน้นทยอยขายทำกำไรในช่วงดีดตัวโดยมองกรอบซื้อขายคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 1,380-1,410 จุด
สอดคล้องกับฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย ให้น้ำหนักการเคลื่อนไหวของ SET Index วันนี้(8พ.ค.)ลักษณะทรงตัวหรือปรับลงเนื่องจากการเมืองยังคงยืดเยื้อต่อ หลังศาลรธน.วินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรี และรมต.ที่เข้าประชุมครั้งมีมตินายถวิล พ้นจากตำแหน่ง แต่รมต.อื่นยังสามารถทำหน้าที่ต่อไป เพราะคำตัดสินไม่ทำให้การเมืองพบจุดเปลี่ยนและปัญหาการเมืองยังคงความยืดเยื้อรัฐบาลรักษาการน่าจะพยายามเดินหน้าการเลือกตั้งและแต่งตั้ง รักษาการนายกรัฐมนตรีคนใหม่ รวมถึงรักษาการรมต.แทนตำแหน่งที่ว่าง
อย่างไรก็ตามการทูลเกล้ารายชื่อดังกล่าวในภาวะที่ไม่มีสภาผู้แทน ทำให้เรื่องดังกล่าวอาจกลายเป็นหน้าที่ของวุฒิสภาซึ่งจะเลือกตั้งประธานวันที่ 9 พ.ค.นี้ อย่างไรก็ตามด้วยเวลาที่เดินหน้าไปทำให้ใกล้จะเกินกำหนดที่ควรจะสามารถจัดการเลือกตั้งและแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ให้เสร็จทัน 180 วันหลังยุบสภา (9 ธ.ค.56)ทำให้รัฐบาลจะเผชิญปัญหาของความชอบธรรมในการรักษาการที่มากขึ้น การเมืองที่ซับซ้อนและยากแก่คาดการณ์ รวมถึงอาจมีการเมืองภาคประชาชนและการชุมนุมของมวลชน 2 กลุ่มน่าจะเป็นประเด็นกดดันตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 สัปดาห์นี้
ด้านนายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.ภัทร กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาตัดสิน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องพ้นจากตำแหน่ง จากกรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ตำแหน่งเลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. มิชอบด้วยกฏหมาย ก้าวก่ายการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการประจำ เพื่อเอื้อผลประโยชน์แก่พวกพ้อง เนื่องจากเป็นการกระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการแสดงถึงขาดคุณธรรมและจริยธรรม
ทั้งนี้คาดการณ์ว่าจะไม่มีการเลือกตั้งตลอกทั้งปีไปจนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลที่จะเข้ามารักษาการและบริหารยังไม่มีเสถียรภาพจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังคงมีอยู่
ขณะที่ภาคเอกชนพยายามที่จะผลักดันให้รัฐบาลพยายามรักษาดุลการค้าไม่ให้ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากอัตราเดิมที่ 7% เป็น 10% ที่จะประกาศใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม เพื่อไม่ให้เกิดภาระขึ้นแก่ประชาชนตลอดจนถึงผู้ประกอบการ
อย่างไรก็ดีในส่วนของการส่งออกในปีนี้นั้นอาจจะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในส่วนของภาคอุตสาหกรรมอาหาร อิเล็กโทรนิกส์ และยางพารา ที่มีการปรับตัวลดลง โดยไทยจะต้องคงระดับการส่งออกให้ได้ที่ 2.07 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือนให้ได้ ถึงจะพยุงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP ไว้ที่ 2% ต่อไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งแนวทางที่รัฐบาลชั่วคราวที่จะเข้ามาบริหารประเทศได้นั้น อาจสามารถทำได้ด้วยการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้แข็งค่าจนเกินไปโดยอยู่ในระดับ 32.30-32.50 บาท/เหรียญสหรัฐ
ขณะเดียวกันประมาณการเงินเฟ้อปลายปีนี้จะสูงขึ้นแตะ 3% จากเศรษฐกิจของประเทศจีนที่ประสบปัญหาวิกฤติในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ และสถานการณ์ความตึงเครียดจากการที่รัสเซียบุกโจมตียูเครน ทำให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านราคาน้ำมันและพลังงานสำรอง
ในส่วนของภาพรวม SET INDEX ที่ได้ประเมินไว้ขณะนี้คาดว่าจะปรับตัวลงมาอยู่ในระดับ 1,320 จุด จากภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวลงและการขาดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลของนักลงทุนต่างประเทศ จากโครงการประชานิยมที่ล้มเหลวไม่มีความยั่งยืนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ที่จะสามารถผลักดันให้เป็นรูปธรรมได้
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (7พ.ค.) ปิดที่ระดับ 1,402.61 จุด ลดลง 1.40 จุด หรือ -0.10% มูลค่าการซื้อขาย 32,829.21 ล้านบาท ภาพรวมดัชนีหุ้นไทยรีบาวนด์จากช่วงเช้าที่ปรับตัวลงไปร่วม 10 จุด หลังผลตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญไม่รุนแรงมาก โดยยังมีรัฐมนตรีส่วนที่เหลือสามารถปฏิบัติหน้าต่อไปได้ อีกทั้งยังแต่งตั้ง"นิวัฒน์ธำรง"ให้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีได้ทันที มองจากนี้ไปรัฐบาลต้องเร่งจัดเลือกตั้งเร็วขึ้น โดยดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ 1,403.55 จุด ต่ำสุดที่ 1,388.29 จุด และนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,018.51 ล้านบาท
นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟิลลิป สรุปภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงเช้า ดัชนีหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,400 จุด จนปิดที่ 1,395.89 จุด แต่ระหว่างรอฟังคำตัดสินของศาลรธน. และปัจจัยกดดันจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ร่วงลง นำโดยหุ้นกลุ่มอินเทอร์เน็ต และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของจีนปรับตัวลงมากที่สุด เนื่องจากธนาคารกลางจีนจะติดตามสถานการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเข้มงวด ท่ามกลางความกังวลว่า เศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีน
แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งนายกฯ แต่ยังคงคณะรัฐมนตรีที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อ ซึ่งสามารถจัดหาผู้ดำรงตำแหน่งแทนได้ และรอการจัดเลือกตั้งต่อไป ตลาดหุ้นก็รีบาวนด์ตอบรับในเชิงบวกระยะสั้นที่ไม่เกิดสุญญากาศทางการเมือง
พร้อมคาดการณ์ความเคลื่อไหวดัชนี วันนี้(8พ.ค.) ว่า ดัชนีน่าจะมี Upside จำกัด เนื่องจากยังต้องติดตามท่าทีของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. และคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือ กปปส. ต่อไปว่าจะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร
นอกจากนี้ยังมีคดีของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือปปช.ในการชี้มูลความผิดกรณีจำนำข้าวอยู่อีก อีกทั้งต้องจับตาดูการจัดการเลือกตั้งต่อไปแต่คาดยังอยู่ในลักษณะซื้อสลับขายเป็นช่วงๆ แนะนำยังเน้นทยอยขายทำกำไรในช่วงดีดตัวโดยมองกรอบซื้อขายคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 1,380-1,410 จุด
สอดคล้องกับฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย ให้น้ำหนักการเคลื่อนไหวของ SET Index วันนี้(8พ.ค.)ลักษณะทรงตัวหรือปรับลงเนื่องจากการเมืองยังคงยืดเยื้อต่อ หลังศาลรธน.วินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรี และรมต.ที่เข้าประชุมครั้งมีมตินายถวิล พ้นจากตำแหน่ง แต่รมต.อื่นยังสามารถทำหน้าที่ต่อไป เพราะคำตัดสินไม่ทำให้การเมืองพบจุดเปลี่ยนและปัญหาการเมืองยังคงความยืดเยื้อรัฐบาลรักษาการน่าจะพยายามเดินหน้าการเลือกตั้งและแต่งตั้ง รักษาการนายกรัฐมนตรีคนใหม่ รวมถึงรักษาการรมต.แทนตำแหน่งที่ว่าง
อย่างไรก็ตามการทูลเกล้ารายชื่อดังกล่าวในภาวะที่ไม่มีสภาผู้แทน ทำให้เรื่องดังกล่าวอาจกลายเป็นหน้าที่ของวุฒิสภาซึ่งจะเลือกตั้งประธานวันที่ 9 พ.ค.นี้ อย่างไรก็ตามด้วยเวลาที่เดินหน้าไปทำให้ใกล้จะเกินกำหนดที่ควรจะสามารถจัดการเลือกตั้งและแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ให้เสร็จทัน 180 วันหลังยุบสภา (9 ธ.ค.56)ทำให้รัฐบาลจะเผชิญปัญหาของความชอบธรรมในการรักษาการที่มากขึ้น การเมืองที่ซับซ้อนและยากแก่คาดการณ์ รวมถึงอาจมีการเมืองภาคประชาชนและการชุมนุมของมวลชน 2 กลุ่มน่าจะเป็นประเด็นกดดันตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 สัปดาห์นี้
ด้านนายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.ภัทร กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาตัดสิน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องพ้นจากตำแหน่ง จากกรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ตำแหน่งเลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. มิชอบด้วยกฏหมาย ก้าวก่ายการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการประจำ เพื่อเอื้อผลประโยชน์แก่พวกพ้อง เนื่องจากเป็นการกระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการแสดงถึงขาดคุณธรรมและจริยธรรม
ทั้งนี้คาดการณ์ว่าจะไม่มีการเลือกตั้งตลอกทั้งปีไปจนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลที่จะเข้ามารักษาการและบริหารยังไม่มีเสถียรภาพจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังคงมีอยู่
ขณะที่ภาคเอกชนพยายามที่จะผลักดันให้รัฐบาลพยายามรักษาดุลการค้าไม่ให้ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากอัตราเดิมที่ 7% เป็น 10% ที่จะประกาศใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม เพื่อไม่ให้เกิดภาระขึ้นแก่ประชาชนตลอดจนถึงผู้ประกอบการ
อย่างไรก็ดีในส่วนของการส่งออกในปีนี้นั้นอาจจะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในส่วนของภาคอุตสาหกรรมอาหาร อิเล็กโทรนิกส์ และยางพารา ที่มีการปรับตัวลดลง โดยไทยจะต้องคงระดับการส่งออกให้ได้ที่ 2.07 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือนให้ได้ ถึงจะพยุงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP ไว้ที่ 2% ต่อไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งแนวทางที่รัฐบาลชั่วคราวที่จะเข้ามาบริหารประเทศได้นั้น อาจสามารถทำได้ด้วยการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้แข็งค่าจนเกินไปโดยอยู่ในระดับ 32.30-32.50 บาท/เหรียญสหรัฐ
ขณะเดียวกันประมาณการเงินเฟ้อปลายปีนี้จะสูงขึ้นแตะ 3% จากเศรษฐกิจของประเทศจีนที่ประสบปัญหาวิกฤติในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ และสถานการณ์ความตึงเครียดจากการที่รัสเซียบุกโจมตียูเครน ทำให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านราคาน้ำมันและพลังงานสำรอง
ในส่วนของภาพรวม SET INDEX ที่ได้ประเมินไว้ขณะนี้คาดว่าจะปรับตัวลงมาอยู่ในระดับ 1,320 จุด จากภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวลงและการขาดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลของนักลงทุนต่างประเทศ จากโครงการประชานิยมที่ล้มเหลวไม่มีความยั่งยืนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ที่จะสามารถผลักดันให้เป็นรูปธรรมได้