หุ้นไทยปิดตลาดท่ามกลางความร้อนแรงทางการเมืองไปที่ 1,402.61 จุด ลดลง 1.40 จุด มูลค่าการซื้อขาย 32,829.21 ล้านบาท เปลี่ยนแปลง -0.10% โดยระหว่างวันดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ 1,403.55 จุด และต่ำสุดที่ 1,388.29 จุด โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,018.51 ล้านบาท
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟิลลิป สรุปภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงเช้า ดัชนีหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,400 จุด จนดัชนีหุ้นไทยปิดช่วงเช้าที่ 1,395.89 จุด เปลี่ยนแปลง-8.12% ระหว่างรอฟังคำตัดสินของศาล รธน. และปัจจัยกดดันจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ร่วงลง นำโดยหุ้นกลุ่มอินเทอร์เน็ต และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของจีน ปรับตัวลงมากที่สุด เนื่องจากธนาคารกลางจีน จะติดตามสถานการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเข้มงวด ท่ามกลางความกังวลว่า เศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีนจะส่งผลกระทบต่อราคาที่อยู่อาศัย
แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่งนายกฯ แต่ยังคงคณะรัฐมนตรีที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อ ซึ่งสามารถจัดหาผู้ดำรงตำแหน่งแทนได้ และรอการจัดเลือกตั้งต่อไป ตลาดหุ้นก็รีบาวนด์ตอบรับในเชิงบวกระยะสั้นที่ไม่เกิดสุญญากาศทางการเมือง
พร้อมคาดการณ์ความเคลื่อนไหวดัชนีวันพรุ่งนี้ ว่า ดัชนีน่าจะมี Upside จำกัด เนื่องจากยังต้องติดตามท่าทีของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. และคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือ กปปส. ต่อไปว่าจะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร นอกจากนี้ ยังมีคดีของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ในการชี้มูลความผิดกรณีจำนำข้าวอยู่อีก อีกทั้งต้องจับตาดูการจัดการเลือกตั้งต่อไปแต่คาดยังอยู่ในลักษณะซื้อสลับขายเป็นช่วงๆ แนะนำยังเน้นทยอยขายทำกำไรในช่วงดีดตัว โดยมองกรอบซื้อขายคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 1,380-1,410 จุด
สอดคล้องกับฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย ให้น้ำหนักการเคลื่อนไหวของ SET Index พรุ่งนี้ลักษณะทรงตัว หรือปรับลง เนื่องจากการเมืองยังคงยืดเยื้อต่อ หลังศาล รธน.วินิจฉัยให้รักษาการนายกรัฐมนตรี และ รมต.ที่เข้าประชุมครั้งมีมตินายถวิล พ้นจากตำแหน่ง แต่ รมต.อื่นยังสามารถทำหน้าที่ต่อไป เพราะคำตัดสินไม่ทำให้การเมืองพบจุดเปลี่ยน และปัญหาการเมืองยังคงความยืดเยื้อ รัฐบาลรักษาการน่าจะพยายามเดินหน้าการเลือกตั้ง และแต่งตั้ง รักษาการนายกรัฐมนตรีคนใหม่ รวมถึงรักษาการ รมต.แทนตำแหน่งที่ว่าง อย่างไรก็ตาม การทูลเกล้าฯ รายชื่อดังกล่าวในภาวะที่ไม่มีสภาผู้แทน ทำให้เรื่องดังกล่าวอาจกลายเป็นหน้าที่ของวุฒิสภาซึ่งจะเลือกตั้งประธานวันที่ 9 พ.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ด้วยเวลาที่เดินหน้าไปทำให้ใกล้จะเกินกำหนดที่ควรจะสามารถจัดการเลือกตั้ง และแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ให้เสร็จทัน 180 วัน หลังยุบสภา (9 ธ.ค.56) ทำให้รัฐบาลจะเผชิญปัญหาของความชอบธรรมในการรักษาการที่มากขึ้น การเมืองที่ซับซ้อน และยากต่อการคาดการณ์ รวมถึงอาจมีการเมืองภาคประชาชน และการชุมนุมของมวลชน 2 กลุ่มน่าจะเป็นประเด็นกดดันตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 สัปดาห์นี้