**มติครม.วันที่ 6 พ.ค.57 ย้ายกิตติพงษ์ กิตติยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ไปนั่งตบยุงในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แทน พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ที่รับใช้ได้ดีเป็นขี้ข้าแล้วมีตำแหน่ง รองรับขยับก้นไปเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ขณะเดียวกัน โยก ธงทอง จันทรางศุ จากปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ไปเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมแทน กิตติพงษ์
ถือเป็นเรื่อง “สามเส้า” อีกครั้งในแวดวงราชการภายใต้การครอบงำของระบอบทักษิณ ที่ไม่เพียงไร้สำนึกแต่ยังลุแก่อำนาจอย่างไม่รู้จบ กล้ากระทำการตามอำเภอใจ โดยไม่สนว่า ครม.รักษาการนั้นมีอำนาจจำกัดตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
แต่ข้อดีจากเหตุการณ์นี้คือ น่าจะทำให้คนที่สนับสนุนรัฐบาลเพื่อไทยได้รู้เช่นเห็นชาติถึงสันดานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่า ไม่เคยเห็นหัวประชาชน ไม่สนความเดือดร้อนของชาวบ้าน หากพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจส่งลิ่วล้อไปนั่งในตำแหน่งสำคัญ
**เพื่อเป็นมือเป็นไม้คอยทำชั่วตาม “ใบสั่ง”
ก่อนหน้านี้มีการเรียกร้องให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พิจารณาการขยับราคาแก๊สหุงต้มที่เริ่มมีราคาทิ้งห่างจากภาคขนส่ง แต่รัฐบาลอ้างว่าไม่มีอำนาจที่จะทำได้ เพราะอยู่ในช่วงรักษาการต้องรอครม.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ซึ่งกว่าจะถึงวันนั้นการขยับราคาแก๊สหุงต้มก็จะเต็มเพดานที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำหนดไว้พอดิบพอดี
หากการเลือกตั้งสามารถเดินหน้าได้ตามที่กำหนดไว้ในวันที่ 20 ก.ค.57 คือราวเดือนกันยายน 57 เพราะตามแผนของรัฐบาลคือขยับราคาเดือนละห้าสิบสตางค์เป็นเวลา 12 เดือน เริ่มตั้งแต่ ก.ย.56 – ก.ย.57
**ภาระชาวบ้านไม่สนใจ ปัญหาคนจนไม่เหลียวแล อ้างว่าไม่มีอำนาจแล้วเอาความเดือดร้อนนั้นกลับมาข่มขู่ประชาชนด้วยว่า ถ้าอยากให้แก้ปัญหาให้ก็ต้องไปเลือกตั้ง
แต่พอมาถึงเรื่องของ “ขี้ข้าดีเด่น”ที่ทั้งชีวิตราชการไม่เคยปรากฏผลงานรับใช้แผ่นดิน นอกจากพฤติกรรมรับใช้แบบสุดลิ่มทิ่มประตู กระทั่งทำให้จากข้าราชการทหารมาเป็นเลขา สมช. และเมื่อต้องกระเด็นไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ เพราะต้องคืนตำแหน่งให้เจ้าของเดิมคือ ถวิล เปลี่ยนศรี ที่ถูกโยกย้ายโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งผลกรรมกำลังไล่ล่าให้ ยิ่งลักษณ์ ต้องพ้นสภาพความเป็นนายกรัฐมนตรี จากการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญในเร็ววันนี้
ดูเหมือนว่า ยิ่งลักษณ์ จะไม่ได้สำนึก เพราะยังลุแก่อำนาจ โยกย้ายข้าราชการตามอำเภอใจ ดันภราดร ขึ้นเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จนแจ๊กพ็อตไปตกที่ กิตติพงษ์ ที่ถูกโยกไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ เพื่อเปิดทางให้ตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรมว่างลง ให้ ธงทอง ไปนั่งแทน ตามความปรารถนาที่มีมาหลายปีดีดัก
การย้าย “สามเส้า”ครั้งนี้ แม้จะมีการอ้างว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะ กิตติพงษ์ อยู่ในตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม มีการต่อวาระมา 6 ปีแล้ว จึงเป็นการโยกย้ายตามปกติ และเจ้าตัวก็ไม่ติดใจเรื่องนี้ เพราะไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งเดิมได้อีก
หากการโยกย้ายครั้งนี้ ไม่มีความก้าวหน้าของ ภราดร เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็คงพอกล้อมแกล้มอธิบายอย่างนี้ได้ เพราะ ชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม เคยหลุดปากมาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ตอนที่ กิตติพงษ์ เปิดห้องต้อนรับ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขา กปปส. ที่กระทรวงยุติธรรม แล้วว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่ไม่เป็นไรเพราะครบวาระอยู่แล้ว
**โดยเมื่อตรวจสอบการต่ออายุในตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรมของ กิตติพงษ์ ก็พบว่า เพิ่งครบในวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมาในขณะที่ ภราดร เพิ่งถูกเด้งจาก เลขาฯสมช. อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 เม.ย.57 หลังมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ ถวิล กลับไปดำรงตำแหน่ง เลขา สมช. เท่ากับว่า ภราดร ไปนั่งตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพียงแค่สัปดาห์เดียว ก็ส้มหล่นใส่ตีนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่ใหญ่กว่าคือ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรมของ กิตติพงษ์ มาช่วยให้การขยับขยายเป็นไปได้อย่างคล่องตัวมากขึ้นพอดี
นับว่าชีวิตราชการของ ภราดร ไม่ธรรมดา เพราะตำแหน่งเลขา สมช.ที่เขาเคยเป็น ก็ได้มาจากการวางตัวไว้แต่ต้น มีการย้าย สมเกียรติ บุญชู จากรองเลขา สมช. ไปเป็นที่ปรึกษานายกเปิดทางให้ ภราดร เสียบแทนและอยู่ในตำแหน่งนี้เพียงแค่ 4 เดือนก็ขึ้นแท่นเป็นเลขา สมช. แทน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ได้รับการตบรางวัลจากการเป็นเด็กดีให้ไปเป็นปลัดกระทรวงคมนาคม
คนที่น่าจะผิดหวังที่สุดเห็นจะไม่พ้น พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง เลขา ศอ.บต. ที่เล็งตำแหน่งปลัดยุติธรรมมานาน สุดท้ายก็พลาด เพราะคนเคยรู้ใจไม่ใหญ่จริง เป็นแค่ตุ๊กตาเสียกบาล ที่ถูกชักเชิดตามใจของนักโทษเท่านั้น
**งานนี้ จึงถือว่าเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ ยิ่งลักษณ์ ต้องอยู่ในสภาพสนองตัณหาของพี่ชาย ที่ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ในทางกฎหมาย แต่คนที่เสี่ยงคุกทุกวันก็คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ที่สำคัญคือ ยังไม่แน่ว่า การโยกย้ายครั้งนี้จะเรียบร้อยโรงเรียนดูไบ ดังที่หวังหรือไม่ เพราะด่านต่อไปที่จะต้องผ่านคือ หลังครม.มีมติแล้ว จะต้องเสนอไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
**หาก กกต.ไม่อนุมัติ ก็ต้องกินแห้วกันไป ทั้งนาย ทั้งบ่าว
เหมือนที่เพิ่งกินแห้วไม่สามารถออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง 20 ก.ค.57 ได้ เนื่องจาก กกต. ยังไม่เสนอร่างให้ ครม.พิจารณาในวันที่ 6 พ.ค.ได้ตามที่วางแผนไว้ เพื่อให้ทันก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยสถานภาพของ ยิ่งลักษณ์ เพราะศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 7 พ.ค.นี้ แล้ว
ผลจากคำวินิจฉัยไม่ได้กระทบเฉพาะตำแหน่งของยิ่งลักษณ์เท่านั้น แต่ยังสะเทือนไปถึงการกำหนดวันเลือกตั้งด้วยว่า จะสามารถออกพระราชกฤษฎีกา กำหนดวันเลือกตั้งได้หรือไม่ เพราะสถานะของครม.รักษาการจะถูกตั้งคำถามว่าสามารถทำได้หรือไม่
**เมื่อกงล้อแห่งกรรมเวียนมาบรรจบ ความบรรลัยก็เริ่มปรากฏให้คนทำกรรมชั่วได้เห็นชัดเจนมากขึ้น
ขณะเดียวกัน โยก ธงทอง จันทรางศุ จากปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ไปเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมแทน กิตติพงษ์
ถือเป็นเรื่อง “สามเส้า” อีกครั้งในแวดวงราชการภายใต้การครอบงำของระบอบทักษิณ ที่ไม่เพียงไร้สำนึกแต่ยังลุแก่อำนาจอย่างไม่รู้จบ กล้ากระทำการตามอำเภอใจ โดยไม่สนว่า ครม.รักษาการนั้นมีอำนาจจำกัดตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
แต่ข้อดีจากเหตุการณ์นี้คือ น่าจะทำให้คนที่สนับสนุนรัฐบาลเพื่อไทยได้รู้เช่นเห็นชาติถึงสันดานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่า ไม่เคยเห็นหัวประชาชน ไม่สนความเดือดร้อนของชาวบ้าน หากพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจส่งลิ่วล้อไปนั่งในตำแหน่งสำคัญ
**เพื่อเป็นมือเป็นไม้คอยทำชั่วตาม “ใบสั่ง”
ก่อนหน้านี้มีการเรียกร้องให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พิจารณาการขยับราคาแก๊สหุงต้มที่เริ่มมีราคาทิ้งห่างจากภาคขนส่ง แต่รัฐบาลอ้างว่าไม่มีอำนาจที่จะทำได้ เพราะอยู่ในช่วงรักษาการต้องรอครม.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ซึ่งกว่าจะถึงวันนั้นการขยับราคาแก๊สหุงต้มก็จะเต็มเพดานที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำหนดไว้พอดิบพอดี
หากการเลือกตั้งสามารถเดินหน้าได้ตามที่กำหนดไว้ในวันที่ 20 ก.ค.57 คือราวเดือนกันยายน 57 เพราะตามแผนของรัฐบาลคือขยับราคาเดือนละห้าสิบสตางค์เป็นเวลา 12 เดือน เริ่มตั้งแต่ ก.ย.56 – ก.ย.57
**ภาระชาวบ้านไม่สนใจ ปัญหาคนจนไม่เหลียวแล อ้างว่าไม่มีอำนาจแล้วเอาความเดือดร้อนนั้นกลับมาข่มขู่ประชาชนด้วยว่า ถ้าอยากให้แก้ปัญหาให้ก็ต้องไปเลือกตั้ง
แต่พอมาถึงเรื่องของ “ขี้ข้าดีเด่น”ที่ทั้งชีวิตราชการไม่เคยปรากฏผลงานรับใช้แผ่นดิน นอกจากพฤติกรรมรับใช้แบบสุดลิ่มทิ่มประตู กระทั่งทำให้จากข้าราชการทหารมาเป็นเลขา สมช. และเมื่อต้องกระเด็นไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ เพราะต้องคืนตำแหน่งให้เจ้าของเดิมคือ ถวิล เปลี่ยนศรี ที่ถูกโยกย้ายโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งผลกรรมกำลังไล่ล่าให้ ยิ่งลักษณ์ ต้องพ้นสภาพความเป็นนายกรัฐมนตรี จากการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญในเร็ววันนี้
ดูเหมือนว่า ยิ่งลักษณ์ จะไม่ได้สำนึก เพราะยังลุแก่อำนาจ โยกย้ายข้าราชการตามอำเภอใจ ดันภราดร ขึ้นเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จนแจ๊กพ็อตไปตกที่ กิตติพงษ์ ที่ถูกโยกไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ เพื่อเปิดทางให้ตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรมว่างลง ให้ ธงทอง ไปนั่งแทน ตามความปรารถนาที่มีมาหลายปีดีดัก
การย้าย “สามเส้า”ครั้งนี้ แม้จะมีการอ้างว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะ กิตติพงษ์ อยู่ในตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม มีการต่อวาระมา 6 ปีแล้ว จึงเป็นการโยกย้ายตามปกติ และเจ้าตัวก็ไม่ติดใจเรื่องนี้ เพราะไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งเดิมได้อีก
หากการโยกย้ายครั้งนี้ ไม่มีความก้าวหน้าของ ภราดร เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็คงพอกล้อมแกล้มอธิบายอย่างนี้ได้ เพราะ ชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม เคยหลุดปากมาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ตอนที่ กิตติพงษ์ เปิดห้องต้อนรับ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขา กปปส. ที่กระทรวงยุติธรรม แล้วว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่ไม่เป็นไรเพราะครบวาระอยู่แล้ว
**โดยเมื่อตรวจสอบการต่ออายุในตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรมของ กิตติพงษ์ ก็พบว่า เพิ่งครบในวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมาในขณะที่ ภราดร เพิ่งถูกเด้งจาก เลขาฯสมช. อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 เม.ย.57 หลังมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ ถวิล กลับไปดำรงตำแหน่ง เลขา สมช. เท่ากับว่า ภราดร ไปนั่งตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพียงแค่สัปดาห์เดียว ก็ส้มหล่นใส่ตีนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่ใหญ่กว่าคือ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรมของ กิตติพงษ์ มาช่วยให้การขยับขยายเป็นไปได้อย่างคล่องตัวมากขึ้นพอดี
นับว่าชีวิตราชการของ ภราดร ไม่ธรรมดา เพราะตำแหน่งเลขา สมช.ที่เขาเคยเป็น ก็ได้มาจากการวางตัวไว้แต่ต้น มีการย้าย สมเกียรติ บุญชู จากรองเลขา สมช. ไปเป็นที่ปรึกษานายกเปิดทางให้ ภราดร เสียบแทนและอยู่ในตำแหน่งนี้เพียงแค่ 4 เดือนก็ขึ้นแท่นเป็นเลขา สมช. แทน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ได้รับการตบรางวัลจากการเป็นเด็กดีให้ไปเป็นปลัดกระทรวงคมนาคม
คนที่น่าจะผิดหวังที่สุดเห็นจะไม่พ้น พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง เลขา ศอ.บต. ที่เล็งตำแหน่งปลัดยุติธรรมมานาน สุดท้ายก็พลาด เพราะคนเคยรู้ใจไม่ใหญ่จริง เป็นแค่ตุ๊กตาเสียกบาล ที่ถูกชักเชิดตามใจของนักโทษเท่านั้น
**งานนี้ จึงถือว่าเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ ยิ่งลักษณ์ ต้องอยู่ในสภาพสนองตัณหาของพี่ชาย ที่ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ในทางกฎหมาย แต่คนที่เสี่ยงคุกทุกวันก็คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ที่สำคัญคือ ยังไม่แน่ว่า การโยกย้ายครั้งนี้จะเรียบร้อยโรงเรียนดูไบ ดังที่หวังหรือไม่ เพราะด่านต่อไปที่จะต้องผ่านคือ หลังครม.มีมติแล้ว จะต้องเสนอไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
**หาก กกต.ไม่อนุมัติ ก็ต้องกินแห้วกันไป ทั้งนาย ทั้งบ่าว
เหมือนที่เพิ่งกินแห้วไม่สามารถออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง 20 ก.ค.57 ได้ เนื่องจาก กกต. ยังไม่เสนอร่างให้ ครม.พิจารณาในวันที่ 6 พ.ค.ได้ตามที่วางแผนไว้ เพื่อให้ทันก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยสถานภาพของ ยิ่งลักษณ์ เพราะศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 7 พ.ค.นี้ แล้ว
ผลจากคำวินิจฉัยไม่ได้กระทบเฉพาะตำแหน่งของยิ่งลักษณ์เท่านั้น แต่ยังสะเทือนไปถึงการกำหนดวันเลือกตั้งด้วยว่า จะสามารถออกพระราชกฤษฎีกา กำหนดวันเลือกตั้งได้หรือไม่ เพราะสถานะของครม.รักษาการจะถูกตั้งคำถามว่าสามารถทำได้หรือไม่
**เมื่อกงล้อแห่งกรรมเวียนมาบรรจบ ความบรรลัยก็เริ่มปรากฏให้คนทำกรรมชั่วได้เห็นชัดเจนมากขึ้น