หลายคนพากันแปลกใจที่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศตัวเป็นโซ่ข้อกลาง เพื่อคลี่คลายวิกฤตการเมืองไทย โดยยอมรับว่าตัวเองและพรรคประชาธิปัตย์เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่นำพาบ้านเมืองมาถึงจุดนี้ นัยของอภิสิทธิ์ผ่านคำแถลงก็คือ ต้องมีการพูดคุยกัน เพื่อยับยั้งความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น และนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปพร้อมๆ กับการเลือกตั้ง
อภิสิทธิ์ ประกาศเดินสายพบปะพูดคุยกับทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม กกต.และหัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆ รวมถึงประกาศด้วยว่าพร้อมจะเจรจากับยิ่งลักษณ์และทักษิณด้วย
หลังไปพบกิตติพงษ์ กิตติยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเครือข่ายเดินหน้าปฏิรูป อภิสิทธิ์ เปิดเผยว่าแม้การหารือจะมีความเห็นต่างในรายละเอียด แต่มี 3 เรื่องที่เห็นตรงกัน คือ 1. การแก้ปัญหาของประเทศต้องผูกพันกับความสำเร็จของการปฏิรูป ไม่ใช่การแก้ปัญหาวิกฤตเฉพาะหน้า 2. การหาคำตอบและการปฏิรูปจะต้องเดินต่อไป ซึ่งต้องก้าวพ้นการถกเถียงว่าจะปฏิรูปก่อนหรือหลังเลือกตั้ง และ 3. บนหลักคิดว่าการเลือกตั้งต้องเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูป
ข้อเสนอดังกล่าวดูเหมือนจะขัดแย้งกับสิ่งที่มวลมหาประชาชนต่อสู้มากว่า 6 เดือนตายไปกว่า 20 ชีวิต เพราะกำนันสุเทพประกาศชัดเจนว่าจะไม่มีการเจรจาอย่างเด็ดขาด และจะต้องปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งเท่านั้น
ดังนั้น ไม่แปลกหรอกครับเมื่อมีเสียงตอบโต้มาจากกำนันสุเทพอย่างรุนแรงว่า
“ไม่ว่าใครก็ตามอย่าบังอาจตั้งตัวเป็นคนกลางมาเจรจา ไม่ว่าจะเป็นคนที่ผมรู้จัก เคยทำงาน หรือสนิทสนมก็อย่ามาสะเออะ และขอบอกว่านายสุเทพที่เล่นการเมืองมา 36 ปีขณะนี้ไม่มีแล้ว วันนี้ผมเป็นเพียงกำนันสุเทพ ที่เป็นร่างทรงของประชาชนเท่านั้น ดังนั้นผมจึงไม่ฟังใครนอกจากประชาชน โดยประชาชนต้องการให้มีการปฏิรูปเราจึงต้องขับไล่รัฐบาลออกไป เพื่อที่จะเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้ดีขึ้นด้วยมือของประชาชน”
แต่คำท้วงติงของกำนันสุเทพก็ไม่สามารถทำให้อภิสิทธิ์หยุดยั้งเป้าหมายของตัวเองแถมประกาศด้วยว่า “ไม่ขอตอบโต้คนที่ตำหนิ ไม่เข้าใจ อยากด่า หรือทำลายทำได้เต็มที่ แต่ขอว่าอย่าทำลายทางออกประเทศ อย่าปิดทางเลือกประชาชนที่ถ้าทำได้จะนำไปสู่การปฏิรูปและการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่น ส่วนตัวผมจะเสียหายก็ไม่เป็นไรเพราะทำเพื่อหยุดยั้งความเสียหายของประเทศ”
ถ้าจะให้ผมประเมินว่า ทำไมอภิสิทธิ์จึงออกตัวมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ด้วยตัวเอง ผมคิดว่า อภิสิทธิ์คงมองว่า อย่างไรเสียข้อเสนอกำนันสุเทพในร่างทรงของมวลมหาประชาชนไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้ และคงจะประเมินด้วยว่า บัดนี้มวลชนของกำนันสุเทพลดน้อยลงแล้ว เพราะเวลาการชุมนุมที่ยาวนานเกินไปและมีข้อเสนอที่แข็งตึงเกินไป
ขณะเดียวกันมีคนพยายามอธิบายว่า อภิสิทธิ์อยู่ในฐานะที่ลำบาก เพราะถ้าไม่ลงเลือกตั้งอีกครั้งก็จะเกิดความขัดแย้งในพรรค เพราะสมาชิกบางคนเห็นว่า ควรจะลงเลือกตั้ง รวมทั้งมีคนบอกว่า พรรคเองมีการทำโพลและมีความเชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์จะชนะการเลือกตั้ง
ประเด็นสำคัญก็คือ อยากลงเลือกตั้งนั่นแหละครับ
ความจริงข้อเสนอของอภิสิทธิ์นั้น ก็มีคนเขาเสนออยู่แล้วนะครับว่า ให้มีการเลือกตั้งโดยพรรคการเมืองทุกพรรคต้องให้สัตยาบันร่วมกันว่า หลังเลือกตั้งแล้วจะต้องมีการจัดตั้งสภาเพื่อปฏิรูปการเมืองในช่วง 1-2 ปี หลังจากนั้นต้องยุบสภาแล้วเลือกตั้งกันใหม่ เพียงแต่ข้อเสนอนี้เป็นของฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณ เพราะเขามั่นใจว่า ถ้าสู้กันด้วยหีบบัตรแล้วยังไงฝ่ายเขาก็ชนะ
ส่วนตัวผมเองก็ค่อนข้างเชื่อนะครับว่า การเมืองวันนี้มันเดินหน้าไปไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปฏิรูปก่อนเลือกตั้งหรือเลือกตั้งแล้วมาปฏิรูป เพราะทั้งสองฝ่ายไม่มีวันจะอ่อนข้อกัน และมีพลังมวลชนที่ก้ำกึ่งกัน
เพียงแต่การออกมาของอภิสิทธิ์นั้นออกมาในห้วงเวลาหลังจากที่ทักษิณประกาศว่า ตระกูลชินวัตรพร้อมยุติบทบาททางการเมือง จนมีคนตั้งข้อสงสัยว่ามีการพูดคุยกันหรือไม่
โดยก่อนหน้านี้ นพดล ปัทมะ ทนายความของทักษิณออกมายอมรับว่า ทักษิณและครอบครัวพร้อมเสียสละยุติบทบาททางการเมือง เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ แต่ทุกฝ่ายต้องเสียสละ และยึดมั่นในกติกาเช่นกัน นักการเมืองที่ออกไปตั้งม็อบต้องยุติ ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่การตั้งเงื่อนไข และไม่จำเป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์จะต้องลงเลือกตั้งหรือไม่ แต่เห็นว่า ปัญหาต่างๆ จะยุติลงได้ต้องเกิดจากความร่วมมือของสองฝ่าย ซึ่งขณะนี้ทักษิณได้แสดงความจริงใจฝ่ายเดียวว่า พร้อมจะเสียสละในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ พร้อมยืนยันว่า การเลือกตั้งเป็นทางออกทางเดียวที่สันติ และยุติธรรมที่สุด
ใครที่ได้ดูรายการ “เถียงให้รู้เรื่อง” ทางช่องไทยพีบีเอส เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2557 ศิริโชค โสภา คนสนิทของอภิสิทธิ์ พูดตอนหนึ่งว่า “ขณะนี้ผมเรียนว่า การเจรจามันเกิดขึ้นอยู่แล้ว มีการเจรจากันตลอดผ่านตัวแทน แต่ว่าทุกครั้งที่การเจรจามันล้มเหลว เพราะว่า คุณทักษิณเสนอเงื่อนไข 1. ต้องให้คุณทักษิณไม่ติดคุก 2. ต้องขอคืนเงินสี่หมื่นหกพันล้าน 3. คุณยิ่งลักษณ์ต้องไม่ติดคุกจากโครงการจำนำข้าว”
คำพูดของศิริโชคเกิดขึ้นก่อนห้วงเวลาที่นพดลจะมาแถลงว่าทักษิณและตระกูลชินวัตรพร้อมยุติบทบาททางการเมือง และอภิสิทธิ์ออกมาเคลื่อนไหวว่า พร้อมเจรจากับทุกฝ่ายกระทั่งกับทักษิณ
หรือว่า การเจรจาผ่านตัวแทนที่ศิริโชคออกมาเปิดเผยก่อนหน้านี้นั้น บัดนี้บรรลุเป้าหมายในระดับหนึ่งแล้ว
ในขณะที่การออกมาเคลื่อนไหวของอภิสิทธิ์ทำให้เกิดความแตกแยกทางความคิดกับ กปปส.ของกำนันสุเทพ และดูเหมือนว่า เสียงเชียร์กำนันจะมากกว่าเสียงเชียร์อภิสิทธิ์ จากคนที่เป็นทั้งมวลชนของพรรคและ กปปส.ซึ่งส่วนใหญ่พากันออกมาตำหนิบทบาทนี้ของอภิสิทธิ์
ปรากฏว่า คนที่ออกมาให้กำลังใจอภิสิทธิ์ กลับเป็นยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่บอกว่า ยังไม่อยากให้ทุกคนมองว่า อภิสิทธิ์จริงใจหรือไม่จริงใจในการดำเนินการครั้งนี้ เพราะถ้าเราช่วยกันเปิดโอกาสและพยายามเข้าไปพูดคุย น่าจะเป็นทางออกที่ดี
อย่างนี้แหละครับคนเขาเลยสงสัยกันมากขึ้นว่า การเจรจานั้นได้มีข้อตกลงกันแล้ว บางคนถึงกับบอกว่า ทักษิณยอมแม้กระทั่งจะให้อภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี ในห้วงเวลาที่จะมาตกลงกติกากันใหม่ ซึ่งทักษิณเลือกทางนี้ เพราะเชื่อว่าจะดีกว่าที่จะได้นายกฯ มาจากมาตรา 7 หรือสถานการณ์บีบให้ทหารต้องออกมารัฐประหารที่ยังไม่รู้ใครจะมาเป็นนายกฯ และหลังจาก “ปฏิรูปไปพร้อมกับการเลือกตั้ง” ตามข้อเสนอผ่านไปแล้วก็ต้องยุบสภา แล้วกลับมาสู้ในการเลือกตั้งกันใหม่ยังไงเขาก็ชนะ
จะมีการเจรจาหรือไม่ไม่รู้ แต่ดูจากเสียงที่ขานรับก็รู้ว่าสิ่งที่อภิสิทธิ์เดินอยู่นี้ฝ่ายที่ได้ประโยชน์คือฝ่ายระบอบทักษิณครับ ไม่ใช่มวลมหาประชาชน
อภิสิทธิ์ ประกาศเดินสายพบปะพูดคุยกับทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม กกต.และหัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆ รวมถึงประกาศด้วยว่าพร้อมจะเจรจากับยิ่งลักษณ์และทักษิณด้วย
หลังไปพบกิตติพงษ์ กิตติยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเครือข่ายเดินหน้าปฏิรูป อภิสิทธิ์ เปิดเผยว่าแม้การหารือจะมีความเห็นต่างในรายละเอียด แต่มี 3 เรื่องที่เห็นตรงกัน คือ 1. การแก้ปัญหาของประเทศต้องผูกพันกับความสำเร็จของการปฏิรูป ไม่ใช่การแก้ปัญหาวิกฤตเฉพาะหน้า 2. การหาคำตอบและการปฏิรูปจะต้องเดินต่อไป ซึ่งต้องก้าวพ้นการถกเถียงว่าจะปฏิรูปก่อนหรือหลังเลือกตั้ง และ 3. บนหลักคิดว่าการเลือกตั้งต้องเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูป
ข้อเสนอดังกล่าวดูเหมือนจะขัดแย้งกับสิ่งที่มวลมหาประชาชนต่อสู้มากว่า 6 เดือนตายไปกว่า 20 ชีวิต เพราะกำนันสุเทพประกาศชัดเจนว่าจะไม่มีการเจรจาอย่างเด็ดขาด และจะต้องปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งเท่านั้น
ดังนั้น ไม่แปลกหรอกครับเมื่อมีเสียงตอบโต้มาจากกำนันสุเทพอย่างรุนแรงว่า
“ไม่ว่าใครก็ตามอย่าบังอาจตั้งตัวเป็นคนกลางมาเจรจา ไม่ว่าจะเป็นคนที่ผมรู้จัก เคยทำงาน หรือสนิทสนมก็อย่ามาสะเออะ และขอบอกว่านายสุเทพที่เล่นการเมืองมา 36 ปีขณะนี้ไม่มีแล้ว วันนี้ผมเป็นเพียงกำนันสุเทพ ที่เป็นร่างทรงของประชาชนเท่านั้น ดังนั้นผมจึงไม่ฟังใครนอกจากประชาชน โดยประชาชนต้องการให้มีการปฏิรูปเราจึงต้องขับไล่รัฐบาลออกไป เพื่อที่จะเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้ดีขึ้นด้วยมือของประชาชน”
แต่คำท้วงติงของกำนันสุเทพก็ไม่สามารถทำให้อภิสิทธิ์หยุดยั้งเป้าหมายของตัวเองแถมประกาศด้วยว่า “ไม่ขอตอบโต้คนที่ตำหนิ ไม่เข้าใจ อยากด่า หรือทำลายทำได้เต็มที่ แต่ขอว่าอย่าทำลายทางออกประเทศ อย่าปิดทางเลือกประชาชนที่ถ้าทำได้จะนำไปสู่การปฏิรูปและการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่น ส่วนตัวผมจะเสียหายก็ไม่เป็นไรเพราะทำเพื่อหยุดยั้งความเสียหายของประเทศ”
ถ้าจะให้ผมประเมินว่า ทำไมอภิสิทธิ์จึงออกตัวมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ด้วยตัวเอง ผมคิดว่า อภิสิทธิ์คงมองว่า อย่างไรเสียข้อเสนอกำนันสุเทพในร่างทรงของมวลมหาประชาชนไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้ และคงจะประเมินด้วยว่า บัดนี้มวลชนของกำนันสุเทพลดน้อยลงแล้ว เพราะเวลาการชุมนุมที่ยาวนานเกินไปและมีข้อเสนอที่แข็งตึงเกินไป
ขณะเดียวกันมีคนพยายามอธิบายว่า อภิสิทธิ์อยู่ในฐานะที่ลำบาก เพราะถ้าไม่ลงเลือกตั้งอีกครั้งก็จะเกิดความขัดแย้งในพรรค เพราะสมาชิกบางคนเห็นว่า ควรจะลงเลือกตั้ง รวมทั้งมีคนบอกว่า พรรคเองมีการทำโพลและมีความเชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์จะชนะการเลือกตั้ง
ประเด็นสำคัญก็คือ อยากลงเลือกตั้งนั่นแหละครับ
ความจริงข้อเสนอของอภิสิทธิ์นั้น ก็มีคนเขาเสนออยู่แล้วนะครับว่า ให้มีการเลือกตั้งโดยพรรคการเมืองทุกพรรคต้องให้สัตยาบันร่วมกันว่า หลังเลือกตั้งแล้วจะต้องมีการจัดตั้งสภาเพื่อปฏิรูปการเมืองในช่วง 1-2 ปี หลังจากนั้นต้องยุบสภาแล้วเลือกตั้งกันใหม่ เพียงแต่ข้อเสนอนี้เป็นของฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณ เพราะเขามั่นใจว่า ถ้าสู้กันด้วยหีบบัตรแล้วยังไงฝ่ายเขาก็ชนะ
ส่วนตัวผมเองก็ค่อนข้างเชื่อนะครับว่า การเมืองวันนี้มันเดินหน้าไปไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปฏิรูปก่อนเลือกตั้งหรือเลือกตั้งแล้วมาปฏิรูป เพราะทั้งสองฝ่ายไม่มีวันจะอ่อนข้อกัน และมีพลังมวลชนที่ก้ำกึ่งกัน
เพียงแต่การออกมาของอภิสิทธิ์นั้นออกมาในห้วงเวลาหลังจากที่ทักษิณประกาศว่า ตระกูลชินวัตรพร้อมยุติบทบาททางการเมือง จนมีคนตั้งข้อสงสัยว่ามีการพูดคุยกันหรือไม่
โดยก่อนหน้านี้ นพดล ปัทมะ ทนายความของทักษิณออกมายอมรับว่า ทักษิณและครอบครัวพร้อมเสียสละยุติบทบาททางการเมือง เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ แต่ทุกฝ่ายต้องเสียสละ และยึดมั่นในกติกาเช่นกัน นักการเมืองที่ออกไปตั้งม็อบต้องยุติ ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่การตั้งเงื่อนไข และไม่จำเป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์จะต้องลงเลือกตั้งหรือไม่ แต่เห็นว่า ปัญหาต่างๆ จะยุติลงได้ต้องเกิดจากความร่วมมือของสองฝ่าย ซึ่งขณะนี้ทักษิณได้แสดงความจริงใจฝ่ายเดียวว่า พร้อมจะเสียสละในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ พร้อมยืนยันว่า การเลือกตั้งเป็นทางออกทางเดียวที่สันติ และยุติธรรมที่สุด
ใครที่ได้ดูรายการ “เถียงให้รู้เรื่อง” ทางช่องไทยพีบีเอส เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2557 ศิริโชค โสภา คนสนิทของอภิสิทธิ์ พูดตอนหนึ่งว่า “ขณะนี้ผมเรียนว่า การเจรจามันเกิดขึ้นอยู่แล้ว มีการเจรจากันตลอดผ่านตัวแทน แต่ว่าทุกครั้งที่การเจรจามันล้มเหลว เพราะว่า คุณทักษิณเสนอเงื่อนไข 1. ต้องให้คุณทักษิณไม่ติดคุก 2. ต้องขอคืนเงินสี่หมื่นหกพันล้าน 3. คุณยิ่งลักษณ์ต้องไม่ติดคุกจากโครงการจำนำข้าว”
คำพูดของศิริโชคเกิดขึ้นก่อนห้วงเวลาที่นพดลจะมาแถลงว่าทักษิณและตระกูลชินวัตรพร้อมยุติบทบาททางการเมือง และอภิสิทธิ์ออกมาเคลื่อนไหวว่า พร้อมเจรจากับทุกฝ่ายกระทั่งกับทักษิณ
หรือว่า การเจรจาผ่านตัวแทนที่ศิริโชคออกมาเปิดเผยก่อนหน้านี้นั้น บัดนี้บรรลุเป้าหมายในระดับหนึ่งแล้ว
ในขณะที่การออกมาเคลื่อนไหวของอภิสิทธิ์ทำให้เกิดความแตกแยกทางความคิดกับ กปปส.ของกำนันสุเทพ และดูเหมือนว่า เสียงเชียร์กำนันจะมากกว่าเสียงเชียร์อภิสิทธิ์ จากคนที่เป็นทั้งมวลชนของพรรคและ กปปส.ซึ่งส่วนใหญ่พากันออกมาตำหนิบทบาทนี้ของอภิสิทธิ์
ปรากฏว่า คนที่ออกมาให้กำลังใจอภิสิทธิ์ กลับเป็นยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่บอกว่า ยังไม่อยากให้ทุกคนมองว่า อภิสิทธิ์จริงใจหรือไม่จริงใจในการดำเนินการครั้งนี้ เพราะถ้าเราช่วยกันเปิดโอกาสและพยายามเข้าไปพูดคุย น่าจะเป็นทางออกที่ดี
อย่างนี้แหละครับคนเขาเลยสงสัยกันมากขึ้นว่า การเจรจานั้นได้มีข้อตกลงกันแล้ว บางคนถึงกับบอกว่า ทักษิณยอมแม้กระทั่งจะให้อภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี ในห้วงเวลาที่จะมาตกลงกติกากันใหม่ ซึ่งทักษิณเลือกทางนี้ เพราะเชื่อว่าจะดีกว่าที่จะได้นายกฯ มาจากมาตรา 7 หรือสถานการณ์บีบให้ทหารต้องออกมารัฐประหารที่ยังไม่รู้ใครจะมาเป็นนายกฯ และหลังจาก “ปฏิรูปไปพร้อมกับการเลือกตั้ง” ตามข้อเสนอผ่านไปแล้วก็ต้องยุบสภา แล้วกลับมาสู้ในการเลือกตั้งกันใหม่ยังไงเขาก็ชนะ
จะมีการเจรจาหรือไม่ไม่รู้ แต่ดูจากเสียงที่ขานรับก็รู้ว่าสิ่งที่อภิสิทธิ์เดินอยู่นี้ฝ่ายที่ได้ประโยชน์คือฝ่ายระบอบทักษิณครับ ไม่ใช่มวลมหาประชาชน