xs
xsm
sm
md
lg

70องค์กรตั้งวงถกปฏิรูป-เลือกตั้ง แนะ2พรรคเว้นวรรค1ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เมื่อเวลา9.30 น. วานนี้ (30เม.ย.) ที่รร.เดอะ สุโกศล ซ.รางน้ำ เครือข่ายเดินหน้าปฏิรูปกว่า70 องค์กรวิชาชีพ จัดเวทีระดมความคิดเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ครั้งที่ 4 ในหัวข้อ "การปฏิรูปบนวิถีประชาธิปไตย" โดยมีตัวแทนภาควิชาการ ตัวแทนภาคเอกชน และภาคประชาสังคม และภาคการเมือง อาทิ น.ส.จารุพรรณ กุลดิลก อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย นายกรณ์ จาติวณิช อดีต รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายกิตติพงษ์ กิตติยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และ นายสุนัย ผาสุก ผู้ประสานงานฮิวแมนไรท์วอช เข้าร่วมสนทนา
นายบัณฑูร เศรษศิโรตม์ เครือข่ายเดินหน้าปฏิรูป อ่านแถลงการณ์เครือข่ายว่า การปฏิรูปประเทศเป็นโอกาสในการร่วมกันนำพาประเทศออกจากกับดักความขัดแย้ง และสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศอย่างยั่งยืน การตื่นตัวของทุกภาคส่วนขณะนี้มีมากพอที่จะขับเคลื่อนการปฏิรูปภายใต้วิถีทางประชาธิปไตย ที่ทุกฝ่ายยอมรับ
ทั้งนี้ระบอบประชาธิปไตย ยังไม่ได้เดินทางมาถึงทางตัน แต่ยังสามารถอาศัยกลไกภายใต้ระบอบประชาธิปไตยสู่การปฏิรูปประเทศ ดังนั้นการกำหนดวันเลือกตั้ง และกระบวนการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีทางเจรจาหาทางออกความขัดแย้งร่วมกัน รวมถึงการที่ไม่สามารถกำหนดกรอบ และแนวทางในการปฏิรูปประเทศจนได้ข้อสรุปควบคู่ไปด้วยนั้น อาจไม่ใช่แนวทางในการแก้ปัญหา และอาจเป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมาในสังคม จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่าย ลดเงื่อนไขข้อเรียกร้องทางการเมือง มาร่วมคิดโดยใช้กลไกประชาธิปไตย หาทางออกจากวิกฤติทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อสรุปการหารือในครั้งนี้ จะรวบรวมและนำเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) รัฐบาล พรรคการเมือง และภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการออกแบบแนวทางในการปฏิรูปประเทศไทยต่อไป
นายกิตติพงษ์ กิตติยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะตัวแทนจากภาคข้าราชการ กล่าวว่า ถ้าดำเนินการเลือกตั้งท่ามกลางความขัดแย้ง ก็จะนำไปสู่ปัญหาเดิมๆ ดังนั้นต้องมีการทำความเข้าใจกันก่อน ว่าจะทำอย่างไรให้การเลือกตั้ง และการปฏิรูปที่เป็นเป้าหมายร่วมกันสามารถเดินหน้าควบคู่กันไป ซึ่งจากประสบการณ์ที่ตนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ คอป. ได้มีโอกาสหารือกับคู่ขัดแย้งทุกสี ทุกฝ่าย พบว่า ทุกกลุ่มมี ความต้องการหลักนิติธรรม ความยุติธรรม และประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่ปราศจากการแทรกแซงจากพรรคการเมือง นายทุน ซึ่งถ้ามีความเห็นตรงกันในเรื่องดังกล่าว การเลือกตั้งคราวหน้า พรรคการเมืองต้องเปลี่ยนความคิดจากการแข่งขันในเชิงนโยบาย หรือโจมตีนโยบายประชานิยม มาเน้นเรื่องการปฏิรูปประเทศ พร้อมขอให้นักการเมืองที่เป็นคู่ขัดแย้ง เสียสละอย่างน้อย 1 ปี เพื่อเปิดทางให้มีการปฏิรูป โดยปราศจากการแทรกแซง ซึ่งกระบวนการทั้งหมด ต้องอยู่บนหลักการประชาธิปไตยที่เป็นที่ยอมรับ
นายสุนัย ผาสุก ผู้ประสานงานฮิวแมนไรท์วอช กล่าวว่า ปฏิกิริยาในเดือนที่ผ่านมา ทั้งกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินสายเจรจา หรือที่นายนพดล ปัทมะ ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาจเว้นวรรคทางการเมือง ถือเป็นสัญญานที่ดีในการร่วมกันหาทางออก ซึ่งที่สุดต้องยึดหลักประชาธิปไตย และปฏิเสธการเลือกตั้งไม่ได้ แต่ตนมีข้อกังวลในเรื่องความรุนแรงในสังคมที่เกิดขึ้นโดยกลุ่มขบวนการภาคประชาชน ที่มีพรรคการเมืองให้การสนับสนุนหรือเคลื่อนไหวในลักษณะคู่ขนาน ผลักดันให้เกิดการปฏิรูป ทั้งก่อนการเลือกตั้งก็ดี หรือหลังเลือกตั้งก็ดี ซึ่งล้วนแล้วแต่มีเป้าประสงค์ในการปฏิรูปการเมืองเหมือนกัน
ดังนั้น พรรคการเมืองและกลุ่มขบวนการภาคประชาชนควรมีการสร้างพันธะผูกพันในการปฏิเสธความรุนแรง และควรสลายกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายสนับสนุนตัวเอง เพื่อไม่ให้ความเคลื่อนไหวดังกล่าว นำไปสู่ความรุนแรง
นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รู้สึกกังวลที่หลายภาคส่วนมุ่งเน้นการปฏิรูป ที่อาจไม่ใช่การตอบโจทย์กับสังคมอย่างแท้จริง เพราะถ้าทุกคนมีความเห็นตรงกัน คงมีข้อสรุปที่ชัดเจนไปแล้ว เนื่องจากข้อเท็จจริงในวันนี้คือ ผู้ที่ได้เปรียบในโครงสร้างสังคม ไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง จึงทำให้มีประชาชนออกมาต่อสู้เรียกร้องให้มีการปฏิรูป โดยสิ่งสำคัญที่ต้องทำให้เกิดขึ้นคือ กระบวนการและกลไกการปฏิรูป ที่ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นมากกว่าเนื้อหาการปฏิรูป
ทั้งนี้ ในส่วนของการเลือกตั้งนั้น ตนเชื่อว่า กกต. สามารถดำเนินการจัดการเลือกตั้งให้มีความบริสุทธิ์ ยุติธรรม และมีศักยภาพมากกว่านี้ เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมา แม้ว่าผลจะสะท้อนความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ การใช้อำนาจเสียงข้างมากที่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตย ดังนั้น หากจะแก้ปัญหาควรแก้ให้ตรงจุดว่าจะทำให้ประชาชนรักษากติกา กฎเกณฑ์ทางกฎหมาย และสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างไร
นายกิตติพงษ์ กล่าวภายหลังการเสวนา ว่า คนทั่วไปไม่มีใครต้องการความเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เป็นเรื่องยากๆ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้นั้น ก็ต่อเมื่อทุกคนจะเห็นวิกฤติของปัญหาที่มีความลึกซึ้ง ในลักษณะที่ต้องมีการเปลียนแปลง และตัวอย่าง อย่างประเทศอินโดนีเซีย ที่เกิดวิกฤติช่วงปี 1998 ซึ่งเขามีความกังวลว่าจะเกิดการล่มสลายของประเทศ เพราะฉะนั้นนักการเมืองที่มีความสำนึก ก็มีความรู้สึกว่าถ้าไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจในการกระจายอำนาจให้ประชาชามีส่วนร่วมมากขึ้น ประเทศก็อาจสียหายถึงขั้นหายนะได้ อันนำไปสู่การปฏิรูป โดยไม่จำเป็นต้องมีกลไกพิเศษอะไร ก็สามารถปฏิรูปได้ด้วยความเสียสละ
วันนี้ถามว่าประเทศไทยถึงจุดที่ต้องเสียสละหรือยัง ถ้าเรายังคุยกันถึงปัญหาที่ผิวเผิน หรือปัญหาที่ยังทะเลาะกัน หรือความเห็นไม่ตรงกันระหว่างคน หรือกลุ่มคน แต่ถ้าเรามองลึกซึ้งกว่านั้น จะเห็นว่าจริงๆแล้ว ปัญหาอยู่ที่โครงสร้าง การจัดการโครงสร้างอำนาจที่เหมาะสมที่ทำให้พรรคการเมืองสามารถสนองตอบความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง และประชาธิปไตย ก็เป็นประชาธิปไตยที่สนองตอบความต้องการของประชาชน ไม่ใช่ระบบพรรคการเมืองที่มีการครอบงำได้ ไม่ว่าฝ่ายใด แม้กระทั่งกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายอย่างแท้จริง อันนี้เป็นประเด็นของการที่ต้องจัดโครงสร้างอำนาจใหม่ ให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ซึ่งวันนี้ถ้าเราเห็นแค่ปัญหาเฉพาะบุคคล หรือเฉพาะกลุ่ม เราก็ ไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่ปัญหาที่เป็นปัญหาพื้นฐาน
เมื่อถามว่า ให้นักการเมืองมีความเสียสละอย่างไร นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า เครือข่ายเราไม่ได้ประสงค์ที่จะเป็นคนกลางที่จะดึงฝ่ายต่างๆ มาพูดคุยกัน แต่เราเป็นเครือข่ายที่มีความรู้ในด้านการปฏิรูป ซึ่งในการทำงานของเราที่ผ่านมานั้น เราได้คุยกับหลายฝ่าย ทั้งคู่ขัดแย้ง มวลชนที่มีความคิดทางการเมืองต่างกัน รวมไปถึงการระดมความคิดในหลายๆ เวที และจากประสบการณ์การทำงานของเรา ฟันธงว่า มีจุดร่วมซึ่งน่าเป็นประเด็นความชัดเจนที่ทุกฝ่ายร่วมกันได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็อยากให้ประเด็นการปฏิรูปเป็นประเด็นที่ร่วมเป็นการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งไม่ได้คุยด้วยความขัดแย้ง การหาเสียงก็ดี จะมีความปลอดภัยหรือไม่ และการเลือกตั้งจะเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด เพราะฉะนั้น ประเด็นเลือกตั้งและการปฏิรูปเป็นเรื่องเดียวกัน นำไปสู่ว่า ถ้าคนเห็นตรงกันตรงจุดนี้เพื่อทำให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า โดยเราจะสร้างหลักประกันให้เห็นว่าการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ จะนำไปสู่การปฏิรูปได้อย่างไร ซึ่งหลักประกันนี้ ก็มีได้มากกว่า 1 วิธี โดยมีการเสนอรัฐบาลเฉพาะกิจ เพื่อการปฏิรูป การเสนอเรื่องระยะเวลาที่มีกรอบจำกัด และตนขอเสนอเป็นส่วนตัวว่า นักการเมืองซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งจะเสียสละ ได้ หรือไม่
หลังจากนั้นจะดูที่ประเด็นร่วม และถ้าเราเปลี่ยนโหมดของความขัดแย้ง เป็นโหมดของความร่วมมือที่จะนำประเทศไปสู่การปฏิรูป ก็สามารถคุยกันได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ต้องทำด้วยวิถีประชาธิปไตย
เมื่อถามว่า ใครคือคู่ขัดแย้งที่ควรเสียสละไม่ลงเลือกตั้ง 1 ปี ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ตนไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการเมือง แต่ในหลักการ คือ ถ้าเราเปลี่ยนโหมดในเรื่องการแข่งขันโดยทั่วไป ซึ่งเป็นปกติของการแข่งขัน ที่จะต้องมีการแข่งขันเชิงนโยบายมาเป็นประเด็นร่วม ในการนำประเทศไปสู่การปฏิรูปประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น