ASTVผู้จัดการรายวัน – “มาลีนนท์” ส่งเวฟฯตะลุยเทคโอเวอร์ธุรกิจไลฟ์สไตล์ ด้วยงบ 1,000 ล้านบาท หวังต่อยอดเอนเตอร์เทนเมนต์ ผลิตคอนเทนต์ป้อนทีวีดิจิตอล ล่าสุด ทุ่ม 800 ล้านบาท เทคโอเวอร์วอลล์สตรีทอิงลิช
นายแมทธิว กิจโอธาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจด้านบันเทิง ในเครือบีอีซีเวิลด์ เปิดเผยว่า บริษัทฯวางนโยบายในการเข้าถือหุ้นและซื้อกิจการที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์เช่น ธุรกิจอาหาร ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจบริการ เป็นต้น ด้วยงบประมาณที่เตรียมไว้ 1,000 ล้านบาท เพื่อต่อยอดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯที่มีฐานเดิมคือเอนเตอร์เทนเมนต์อยู่แล้วโดยผนึกความแข็งแกร่งระหว่างเวฟกับธุรกิจที่เทคโอเวอร์มา
เวฟฯมีธุรกิจหลากหลายจากบริษัทในเครือ เช่น ถือหุ้น 25% ในไทยโซล่าร์เอนเนอร์จี้ เวฟทีวีโปรดักชั่นผลิตคอนเทนต์ต่างๆ ไอเวฟดำเนินธุรกิจอีเวนต์ เป็นต้น ที่สามารถนำมาผนึกกำลังกันในการผลิตคอนเท้นต์เจาะเป้าหมายแต่ละกลุ่มนำเสนอผ่านสื่อต่างๆได้ ทำให้เรามีความแตกต่างจากบริษัทอื่น และเพื่อรองรับกับการเกิดขึ้นของการแข่งขันทีวีดิจิตอลด้วย ซึ่งบีอีซีเวิลด์เองก็มี ช่อง 3 เดิมและทีวีดิจิตอลอีก 3 ช่อง และรองรับกับตลาดสอนภาษาอังกฤษที่จะเติบโตมากขึ้นด้วยหลังจากเปิดเออีซีในปี 2558 แล้ว
ทั้งนี้ บริษัทเวฟ มีผู้ถือหุ้นใหญ่ประกอบด้วย บีอีซีเวิลด์ผู้บริหารช่อง3 ประมาณ 17%, ตระกูลมาลีนนท์ประมาณ 40% , ครอบครัวของดร.แคทลีน มาลีนนท์ ประมาณ 22% ที่เหลอือื่นๆ ล่าสุดคือ การเข้าเทคโอเวอร์ บริษัท เอ็ฟฟิเชียนท์ อิงลิช เวอร์วิสเซส จำกัด หรืออีอีเอส บริษัทที่บริหารสถาบันสอนภาษาอังกฤษวอลล์สตรีทในประเทศไทย ที่ดำเนินงานมานานกว่า 10 ปีแล้วในไทย ด้วยการเข้าซื้อหุ้น 100% เต็ม มูลค่ากว่า 800 ล้านบาท จากเจ้าของหุ้นเดิมที่ขายออกมาประกอบด้วย กองทุนเนวิส จากประเทศสิงคโปร์ ที่ถือหุ้น 75% (กองทุนนี้เคยขายหุ้นที่ถืออยู่ในโอบองแปงในไทยให้กับกลุ่มทรัพย์ทวีไทยเมื่อสองปีที่แล้ว) และกองทุนบำเหน็จบำนาญจข้าราชการหรือ กบข. ที่ถือหุ้น 25% ซึ่งหลังการเข้าถือหุ้นนี้แล้วจะส่งผลให้เวฟมีมูลค่าทางธุรกิจเพิ่มเป็น 2,100 ล้านบาท
วอลล์สตรีทนี้เป็นธุรกิจในกลุ่มของเพียร์สันผู้นำด้านการศึกษารายใหม่ของโลกเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์สิ่งพิมพ์ต่างๆเช่น เพนกวินบุ๊ค หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ นิตยสารดิเอคโคโนมิสต์ เป็นต้น โดยทางเวฟฯจะเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ในไทยเพียงรายเดียวจากนี้ไปด้วยสัญญา 23 ปี และยังคงไว้ผู้บริหารชุดเดิมบริหารต่อไป โดยมีนายมาร์ค นุโสม์ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
“ตามโมเดลธุรกิจของเรา หลังจากถือสิทธิ์บริหารวอลล์สตรีทแล้ว เราจะนำจุดแข็งด้านการสอนภาษามาผนึกกับการผลิตรายการ เช่นอาจจะทำเป็นรายการสอนภาษาผ่านสื่อทีวีของเราในรูปแบบต่างๆ เบื้องต้นอาจจะทำรายการสั้น 1 นาทีก่อน ซึ่งทำได้หลายรูปแบบ ทั้งการไทน์อิน การผลิตและออกอากาศช่อง3 เป็นต้น” นายแมทธิวกล่าว
นายแมทธิวกล่าวต่อว่า จากการขยายธุรกิจส่งผลให้ปีนี้คาดว่า เวฟฯจะมีรายได้รวมประมาณ 1,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่มีรายได้เพียง 289 ล้านบาทเท่านั้น และกำไรเพียง 7 ล้านบาท เท่านั้น
นายมาร์ค นุโสม์ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า วอลล์สตรีทนี้ เป็นผู้นำในตลาดสถาบันสอนภาษาอังกฤษในไทย ด้วยส่วนแบ่งตลาด 47% จากตลาดสถาบันสอนภาอังกฤษมูลค่า 1,700 ล้านบาท ตลาดรวมเติบโต 20% ขณะที่ตลาดรวมสถาบันสอนภาษาต่างๆมูลค่า 7,000 ล้านบาท ส่วนวอลล์สตรีทเติบโตเฉลี่ย 30% มา 3 ปีซ้อนแล้ว มีจำนวนผู้เข้าลงทะเบียนเรียนแล้วกว่า 14,000 คน โดยคาดว่าปีนี้จะมีรายได้รวมกว่า 1,000 ล้านบาท จากปีที่แล้วมีรายได้ 800 ล้านบาท
โดยบริษัทฯมีแผนขยายสาขาช่วง 4 ปีนี้ประมาณ 4 สาขาที่แน่นอน ด้วยงบลงทุน 30 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งปีนี้เปิดสาขาใหม่แล้ว 1 แห่งที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลพัทยา และเป็นสาขาในต่างจังหวัดแห่งแรก และคาดว่าปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 1 สาขา จากเดิมที่มีกลยุทธ์ในการขยายสาขา 2 แบบคือ แบบที่ 1.ขยายสาขาในพื้นที่รีเทล ตามศูนย์การค้าต่างๆ ปัจจุบันมี 9 สาขา และแบบที่ 2. คอร์ปอเรท คือ การเข้าไปร่วมมือกับองค์กรธุรกิจต่างๆ เช่น เอสซีบีแบงก์ ปัจจุบันรูปแบบนี้มี 8 สาขา รวมแล้วมี 17 สาขาที่เปิดบริการ
นายแมทธิว กิจโอธาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจด้านบันเทิง ในเครือบีอีซีเวิลด์ เปิดเผยว่า บริษัทฯวางนโยบายในการเข้าถือหุ้นและซื้อกิจการที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์เช่น ธุรกิจอาหาร ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจบริการ เป็นต้น ด้วยงบประมาณที่เตรียมไว้ 1,000 ล้านบาท เพื่อต่อยอดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯที่มีฐานเดิมคือเอนเตอร์เทนเมนต์อยู่แล้วโดยผนึกความแข็งแกร่งระหว่างเวฟกับธุรกิจที่เทคโอเวอร์มา
เวฟฯมีธุรกิจหลากหลายจากบริษัทในเครือ เช่น ถือหุ้น 25% ในไทยโซล่าร์เอนเนอร์จี้ เวฟทีวีโปรดักชั่นผลิตคอนเทนต์ต่างๆ ไอเวฟดำเนินธุรกิจอีเวนต์ เป็นต้น ที่สามารถนำมาผนึกกำลังกันในการผลิตคอนเท้นต์เจาะเป้าหมายแต่ละกลุ่มนำเสนอผ่านสื่อต่างๆได้ ทำให้เรามีความแตกต่างจากบริษัทอื่น และเพื่อรองรับกับการเกิดขึ้นของการแข่งขันทีวีดิจิตอลด้วย ซึ่งบีอีซีเวิลด์เองก็มี ช่อง 3 เดิมและทีวีดิจิตอลอีก 3 ช่อง และรองรับกับตลาดสอนภาษาอังกฤษที่จะเติบโตมากขึ้นด้วยหลังจากเปิดเออีซีในปี 2558 แล้ว
ทั้งนี้ บริษัทเวฟ มีผู้ถือหุ้นใหญ่ประกอบด้วย บีอีซีเวิลด์ผู้บริหารช่อง3 ประมาณ 17%, ตระกูลมาลีนนท์ประมาณ 40% , ครอบครัวของดร.แคทลีน มาลีนนท์ ประมาณ 22% ที่เหลอือื่นๆ ล่าสุดคือ การเข้าเทคโอเวอร์ บริษัท เอ็ฟฟิเชียนท์ อิงลิช เวอร์วิสเซส จำกัด หรืออีอีเอส บริษัทที่บริหารสถาบันสอนภาษาอังกฤษวอลล์สตรีทในประเทศไทย ที่ดำเนินงานมานานกว่า 10 ปีแล้วในไทย ด้วยการเข้าซื้อหุ้น 100% เต็ม มูลค่ากว่า 800 ล้านบาท จากเจ้าของหุ้นเดิมที่ขายออกมาประกอบด้วย กองทุนเนวิส จากประเทศสิงคโปร์ ที่ถือหุ้น 75% (กองทุนนี้เคยขายหุ้นที่ถืออยู่ในโอบองแปงในไทยให้กับกลุ่มทรัพย์ทวีไทยเมื่อสองปีที่แล้ว) และกองทุนบำเหน็จบำนาญจข้าราชการหรือ กบข. ที่ถือหุ้น 25% ซึ่งหลังการเข้าถือหุ้นนี้แล้วจะส่งผลให้เวฟมีมูลค่าทางธุรกิจเพิ่มเป็น 2,100 ล้านบาท
วอลล์สตรีทนี้เป็นธุรกิจในกลุ่มของเพียร์สันผู้นำด้านการศึกษารายใหม่ของโลกเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์สิ่งพิมพ์ต่างๆเช่น เพนกวินบุ๊ค หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ นิตยสารดิเอคโคโนมิสต์ เป็นต้น โดยทางเวฟฯจะเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ในไทยเพียงรายเดียวจากนี้ไปด้วยสัญญา 23 ปี และยังคงไว้ผู้บริหารชุดเดิมบริหารต่อไป โดยมีนายมาร์ค นุโสม์ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
“ตามโมเดลธุรกิจของเรา หลังจากถือสิทธิ์บริหารวอลล์สตรีทแล้ว เราจะนำจุดแข็งด้านการสอนภาษามาผนึกกับการผลิตรายการ เช่นอาจจะทำเป็นรายการสอนภาษาผ่านสื่อทีวีของเราในรูปแบบต่างๆ เบื้องต้นอาจจะทำรายการสั้น 1 นาทีก่อน ซึ่งทำได้หลายรูปแบบ ทั้งการไทน์อิน การผลิตและออกอากาศช่อง3 เป็นต้น” นายแมทธิวกล่าว
นายแมทธิวกล่าวต่อว่า จากการขยายธุรกิจส่งผลให้ปีนี้คาดว่า เวฟฯจะมีรายได้รวมประมาณ 1,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่มีรายได้เพียง 289 ล้านบาทเท่านั้น และกำไรเพียง 7 ล้านบาท เท่านั้น
นายมาร์ค นุโสม์ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า วอลล์สตรีทนี้ เป็นผู้นำในตลาดสถาบันสอนภาษาอังกฤษในไทย ด้วยส่วนแบ่งตลาด 47% จากตลาดสถาบันสอนภาอังกฤษมูลค่า 1,700 ล้านบาท ตลาดรวมเติบโต 20% ขณะที่ตลาดรวมสถาบันสอนภาษาต่างๆมูลค่า 7,000 ล้านบาท ส่วนวอลล์สตรีทเติบโตเฉลี่ย 30% มา 3 ปีซ้อนแล้ว มีจำนวนผู้เข้าลงทะเบียนเรียนแล้วกว่า 14,000 คน โดยคาดว่าปีนี้จะมีรายได้รวมกว่า 1,000 ล้านบาท จากปีที่แล้วมีรายได้ 800 ล้านบาท
โดยบริษัทฯมีแผนขยายสาขาช่วง 4 ปีนี้ประมาณ 4 สาขาที่แน่นอน ด้วยงบลงทุน 30 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งปีนี้เปิดสาขาใหม่แล้ว 1 แห่งที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลพัทยา และเป็นสาขาในต่างจังหวัดแห่งแรก และคาดว่าปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 1 สาขา จากเดิมที่มีกลยุทธ์ในการขยายสาขา 2 แบบคือ แบบที่ 1.ขยายสาขาในพื้นที่รีเทล ตามศูนย์การค้าต่างๆ ปัจจุบันมี 9 สาขา และแบบที่ 2. คอร์ปอเรท คือ การเข้าไปร่วมมือกับองค์กรธุรกิจต่างๆ เช่น เอสซีบีแบงก์ ปัจจุบันรูปแบบนี้มี 8 สาขา รวมแล้วมี 17 สาขาที่เปิดบริการ