**“ลุงกำนัน”นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. เตรียมประกาศแนวทางต่อสู้ที่ถูกอ้างว่าจะเป็นการเรียกระดมมวลชนชุมนุมใหญ่ครั้งสุดท้าย เอาชีวิตของ อดีต 9 ส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเดิมพัน “ชนะคือชนะ แพ้คือติดคุก”
กระแสก่อนวันดีเดย์ 30 เมษายน ที่นายสุเทพ ได้นัดแถลงข่าวใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย ที่บริเวณสมรภูมิรบอย่างสวนลุมพินี หลายคนมองว่า สถานที่แห่งนี้ อาจจะถูกใช้เป็นครั้งสุดท้ายก็เป็นได้ เพราะร่ำๆว่า “สุเทพ” จะพามวลมหาประชาชนย้ายที่นอนกันอีกครั้ง และจะเป็นที่อื่นใดไม่ได้อีก นอกจาก“สังเวียนราชดำเนิน”ซึ่งจะทำให้ กปปส. ต้องกลับไปใช้บ้านหลังเก่าอีกครั้ง
** แต่ “ราชดำเนิน”ก็ถือเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจประชาธิปไตยมาหลายยุคหลายสมัย และครั้งนี้ กปปส. ก็หวังว่า เมื่อคำตัดสินขององค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ ออกมาอย่างที่คาด พวกเขาก็จะได้ประกาศชัยชนะข้างอนุสาวรีย์แห่งนี้ และจะกลายเป็นอีกหนึ่งหน้าของประวัติศาสตร์การเมืองไทย
คนมากประสบการณ์อย่าง “สุเทพ” มองออกว่า คู่ต่อสู้ที่กลุ่มคนเสื้อแดง และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องการไม่ใช่มวลมหาประชาชนของ กปปส. แต่เป็นบรรดาองค์กรอิสระ และเรื่องของสถาบันฯ เท่านั้น กปปส.จึงเป็นเพียงแค่ตัวอุปโลกน์เท่านั้น มาถึงตอนนี้ กปปส. มีทางเลือกไม่มากนัก สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ก็คือ
เกมต่อสู้ของประชาชนในครั้งนี้ จะต้องรอคำตัดสินที่จะออกมาในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมเท่านั้น ถ้าผลออกมาเป็นไปตามที่ กปปส.คาดหวัง งานของ “กำนันสุเทพ”ก็จะหนักขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เพราะปัญหาจะอยู่ที่ว่า จะเดินหน้าอย่างไรให้ประเทศเกิดการปฏิรูปในแบบที่พวกเขาต้องการ เพราะตามระบอบประชาธิปไตย เมื่อประเทศว่างเว้นจากผู้นำ ก็ต้องมีการเลือกตั้งตามมาเสมอ
ถึงแม้ว่าประเทศไทยของเราอาจจะต้องมี “นายกฯคนกลาง”เกิดขึ้นจริงๆ ก็คงต้องพิจารณาต่อไปว่า บุคคลนั้นจะเป็นใคร และจะยอมทำตามข้อเรียกร้องของมวลมหาประชาชนหรือไม่ เพราะฉะนั้น แค่หลักการง่ายๆ ตรงนี้ บอกได้เลยว่า งานของนายสุเทพ ไม่จบเพียงเท่านั้นแน่
ส่วนคำถามที่เคยเกิดขึ้นว่า เมื่อไหร่ม็อบจะยุติเสียที คงตอบได้เลยว่า “อีกยาวนานเหลือเกิน”
**ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของชายที่ชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นี้ก็คือ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี จากค่ายเดียวกัน ที่จู่ๆ ก็ออกมาสวมบทพระเอกขี้ม้าขาว ประกาศช่วยกอบกู้ชาติ โดยการประกาศตัวเป็นคนกลางช่วยเจรจา 2 ฝ่าย เพื่อหาทางออก และยุติวิกฤตของชาติ เสียแบบนั้น
ทำเอาอดีตคนสนิทอย่าง “สุเทพ” โกรธควันออกหู ประกาศโต้งกลางเวที กปปส.ไม่ต้องการคนกลาง และไม่ต้องมาสะเออะ กระแสพวกเดียวกัดกันเองครั้งนี้ สร้างความสับสนให้คอการเมืองถึงขนาดขึ้นหน้า 1 หลายฉลับ หลายวัน ติดต่อกัน
ถ้าจะพูดถึงเหตุผลที่ทำให้ “อภิสิทธิ์”ตัดสินใจออกมากระทำเช่นนี้ คงไม่มีใครรู้ดีเท่าเจ้าตัว แต่คำถามที่เกิดขึ้นคือ แตกแยก หรือสร้างภาพ ? ตอนนี้นายอภิสิทธิ์ ต้องหาคำตอบให้กับสังคมว่า ทำไมความคิดของเขาถึงเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเยี่ยงนี้
เพราะเมื่อปลายปีที่แล้ว พี่มาร์ค คนนี้ยังประกาศโต้งๆ ว่า “เราจะต้องเดินหน้าปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” แต่มาวันนี้กลับลำ ทิ้ง “สุเทพ”และชาว กปปส. เคว้งคว้างกลางทะเล เสียแบบนั้น
สถานการณ์ภายหลังจากที่นายอภิสิทธิ์ ตัดสินใจเช่นนั้น ทำให้ กปปส.กำลังได้รับการเทใจจากมวลมหาประชาชนมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
**หลายๆ คน มองว่า“สุเทพ”กำลังอยู่ในช่วงที่น่าเห็นใจเป็นที่สุด เพราะยอมทิ้งตำแหน่งส.ส.ไปแล้ว แต่กลับมาโดนพรรคต้นสังกัดหักหลังในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้
เสือกระดาษ
กระแสก่อนวันดีเดย์ 30 เมษายน ที่นายสุเทพ ได้นัดแถลงข่าวใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย ที่บริเวณสมรภูมิรบอย่างสวนลุมพินี หลายคนมองว่า สถานที่แห่งนี้ อาจจะถูกใช้เป็นครั้งสุดท้ายก็เป็นได้ เพราะร่ำๆว่า “สุเทพ” จะพามวลมหาประชาชนย้ายที่นอนกันอีกครั้ง และจะเป็นที่อื่นใดไม่ได้อีก นอกจาก“สังเวียนราชดำเนิน”ซึ่งจะทำให้ กปปส. ต้องกลับไปใช้บ้านหลังเก่าอีกครั้ง
** แต่ “ราชดำเนิน”ก็ถือเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจประชาธิปไตยมาหลายยุคหลายสมัย และครั้งนี้ กปปส. ก็หวังว่า เมื่อคำตัดสินขององค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ ออกมาอย่างที่คาด พวกเขาก็จะได้ประกาศชัยชนะข้างอนุสาวรีย์แห่งนี้ และจะกลายเป็นอีกหนึ่งหน้าของประวัติศาสตร์การเมืองไทย
คนมากประสบการณ์อย่าง “สุเทพ” มองออกว่า คู่ต่อสู้ที่กลุ่มคนเสื้อแดง และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องการไม่ใช่มวลมหาประชาชนของ กปปส. แต่เป็นบรรดาองค์กรอิสระ และเรื่องของสถาบันฯ เท่านั้น กปปส.จึงเป็นเพียงแค่ตัวอุปโลกน์เท่านั้น มาถึงตอนนี้ กปปส. มีทางเลือกไม่มากนัก สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ก็คือ
เกมต่อสู้ของประชาชนในครั้งนี้ จะต้องรอคำตัดสินที่จะออกมาในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมเท่านั้น ถ้าผลออกมาเป็นไปตามที่ กปปส.คาดหวัง งานของ “กำนันสุเทพ”ก็จะหนักขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เพราะปัญหาจะอยู่ที่ว่า จะเดินหน้าอย่างไรให้ประเทศเกิดการปฏิรูปในแบบที่พวกเขาต้องการ เพราะตามระบอบประชาธิปไตย เมื่อประเทศว่างเว้นจากผู้นำ ก็ต้องมีการเลือกตั้งตามมาเสมอ
ถึงแม้ว่าประเทศไทยของเราอาจจะต้องมี “นายกฯคนกลาง”เกิดขึ้นจริงๆ ก็คงต้องพิจารณาต่อไปว่า บุคคลนั้นจะเป็นใคร และจะยอมทำตามข้อเรียกร้องของมวลมหาประชาชนหรือไม่ เพราะฉะนั้น แค่หลักการง่ายๆ ตรงนี้ บอกได้เลยว่า งานของนายสุเทพ ไม่จบเพียงเท่านั้นแน่
ส่วนคำถามที่เคยเกิดขึ้นว่า เมื่อไหร่ม็อบจะยุติเสียที คงตอบได้เลยว่า “อีกยาวนานเหลือเกิน”
**ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของชายที่ชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นี้ก็คือ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี จากค่ายเดียวกัน ที่จู่ๆ ก็ออกมาสวมบทพระเอกขี้ม้าขาว ประกาศช่วยกอบกู้ชาติ โดยการประกาศตัวเป็นคนกลางช่วยเจรจา 2 ฝ่าย เพื่อหาทางออก และยุติวิกฤตของชาติ เสียแบบนั้น
ทำเอาอดีตคนสนิทอย่าง “สุเทพ” โกรธควันออกหู ประกาศโต้งกลางเวที กปปส.ไม่ต้องการคนกลาง และไม่ต้องมาสะเออะ กระแสพวกเดียวกัดกันเองครั้งนี้ สร้างความสับสนให้คอการเมืองถึงขนาดขึ้นหน้า 1 หลายฉลับ หลายวัน ติดต่อกัน
ถ้าจะพูดถึงเหตุผลที่ทำให้ “อภิสิทธิ์”ตัดสินใจออกมากระทำเช่นนี้ คงไม่มีใครรู้ดีเท่าเจ้าตัว แต่คำถามที่เกิดขึ้นคือ แตกแยก หรือสร้างภาพ ? ตอนนี้นายอภิสิทธิ์ ต้องหาคำตอบให้กับสังคมว่า ทำไมความคิดของเขาถึงเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเยี่ยงนี้
เพราะเมื่อปลายปีที่แล้ว พี่มาร์ค คนนี้ยังประกาศโต้งๆ ว่า “เราจะต้องเดินหน้าปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” แต่มาวันนี้กลับลำ ทิ้ง “สุเทพ”และชาว กปปส. เคว้งคว้างกลางทะเล เสียแบบนั้น
สถานการณ์ภายหลังจากที่นายอภิสิทธิ์ ตัดสินใจเช่นนั้น ทำให้ กปปส.กำลังได้รับการเทใจจากมวลมหาประชาชนมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
**หลายๆ คน มองว่า“สุเทพ”กำลังอยู่ในช่วงที่น่าเห็นใจเป็นที่สุด เพราะยอมทิ้งตำแหน่งส.ส.ไปแล้ว แต่กลับมาโดนพรรคต้นสังกัดหักหลังในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้
เสือกระดาษ