ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คงไม่ต้องสงสัยแล้วว่า การโยกย้ายนายตำรวจระดับ “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ที่ชื่อ “บิ๊กแจ๊ด-พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” พ้นจากเก้าอี้ “ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) และย้ายไปรั้งเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 5 เป็นไปตามวาระปกติ เพราะเป็นคำอธิบายที่ไร้ซึ่งเหตุผลด้วยประการทั้งปวง
เพราะทุกคนในบ้านนี้เมืองนี้ และทุกคนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า บิ๊กแจ๊ดเป็นใคร และมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตรเพียงใด
ที่สำคัญคือเป็นการย้ายก่อนที่บิ๊กแจ๊ดจะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่เดือนเท่านั้น
ด้วยเหตุดังกล่าว การโยกย้ายครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา หากแต่มีวาระซ่อนเร้น และคนที่ไฟเขียวให้มีการโยกย้ายในครั้งนี้จะเป็นใครเสียมิได้นอกเสียจาก “นายใหญ่ของคนเสื้อแดง”
กระแสข่าวการโยกย้ายสลับตำแหน่งครั้งใหญ่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2557 ที่ผ่านมา โดยมีรายงานเข้ามาว่า
ได้มีหนังสือคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 186/2557 เรื่องอนุญาตให้ข้าราชการตำรวจลาออกจากราชการ ด้วยพลตำรวจโท เอกรัตน์ มีปรีชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอลาออกจากราชการด้วยเหตุผลส่วนตัว ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2557 อาศัยความตามมาตรา 72 และมาตรา 99 พระราชบัญญัติสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ประกอบระเบียบ ก.ตร.ว่าด้วยการลาออกจากราชการของข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2550 จึงอนุญาตให้ พลตำรวจโท เอกรัตน์ ลาออจากราชการ ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557 เป็นต้นไป สั่งวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557 ลงชื่อ พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ทันทีที่ปรากฏความชัดเจน สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ฝุ่นตลบในทันที เพราะนั่นหมายความว่า การลาออกของ พล.ต.ท.เอกรัตน์ได้ทำให้เก้าอี้ “ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” ว่างลง ซึ่งแปลไทยเป็นไทยก็คือจะต้องมีการโยกย้าย แต่งตั้งหรือสลับสับเปลี่ยนเก้าอี้ระดับบนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
และคำถามแรกที่เกิดขึ้นก็คือ ทำไม พล.ต.ท.เอกรัตน์ถึงลาออกทั้งๆ ที่จะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่วัน
แน่นอน เรื่องนี้ย่อมไม่ธรรมดา และไม่ใช่เหตุผลในเรื่องของสุขภาพตามที่มีการกล่าวอ้าง
อย่างไรก็ตาม เรื่องของเรื่องมิได้หยุดอยู่แค่การลาออกของ พล.ต.ท.เอกรัตน์เท่านั้น หากแต่ในเวลาไล่เลี่ยกันไม่นานนักได้ปรากฏกระแสข่าวร้อนตามมาอีกว่า การโยกย้ายที่จะเกิดขึ้นตามมานั้น ปรากฏรายชื่อของ “บิ๊กแจ๊ด-พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รวมอยู่ด้วย
ทีนี้ คำถามสารพัดสารพันก็ตามมาว่า ด้วยเหตุอันใดทำไมถึงต้องย้ายบิ๊ก แจ๊ดผู้แนบแน่นกับนักโทษชายหนีคดีพ้นจากเก้าอี้บิ๊กนครบาล
แน่นอน เรื่องนี้ย่อมไม่ธรรมดาอีกเช่นกัน และมีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่าการลาออกและการโยกย้ายวาระพิเศษครั้งนี้เพื่อเป็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเป็นเวลานาน กระทั่งไม่สามารถแก้ไขได้ และหลังจากถกถึงแนวทางต่างๆ นานาแล้ว จุดเริ่มต้นของเรื่องจึงกลายมาเป็นหนังสือลาออกของ พล.ต.ท.เอกรัตน์ซึ่งเจ้าตัวก็ยินยอมพร้อมใจ
ในชั้นแรก มีรายงานข่าวแจ้งว่ารายชื่อผู้ที่จะถูกเสนอชื่อในการโยกย้ายครั้งนี้ คือ พล.ต.ท.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ8) ขึ้นเป็น ผู้ช่วย ผบ.ตร. แทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ แล้วแต่งตั้งให้ พล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ เสาวคนธ์ รองนายแพทย์ใหญ่ (สบ7) ขึ้นเป็นแพทย์ใหญ่ (สบ8) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. โยกไปเป็น ผบช.ภ.1
พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผบช.ภ.5 โยกมาเป็น ผบช.น. และโยก พล.ต.ท.นเรศ นันทโชติ ผบช.ภ.1 ไปเป็น ผบช.ภ.5 ซึ่งจะนัดประชุมคณะกรรมคัดเลือกในวันศุกร์ที่ 25 เม.ย.นี้ เวลา 9.00 น. โดยมี นายนนทิกร กาญจนะจิตรา เลขาธิการ ก.พ. เป็นประธาน แล้วจะนำรายชื่อที่ผ่านการเห็นชอบ เสนอบรรจุเข้าเป็นวาระการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันพุธที่ 30 เม.ย. นี้ต่อไป
และในที่สุดกระแสข่าวดังกล่าวก็กลายเป็นความจริงทุกประการในวันถัดมาคือวันที่ 24 เมษายน 2557 เมื่อพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ออกมายอมรับว่าได้เสนอให้มีการแต่งตั้งโยกย้ายสับเปลี่ยนจริง โดยการพิจารณาเป็นไปตามความเหมาะสม เพียงแต่ว่าโผจากเดิมที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์จะไปนั่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เปลี่ยนไปเป็นผบช.ภาค 5 แทนพล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ที่โยกมาเป็น ผบช.น.
พร้อมทั้งอธิบายด้วยว่า กรณีที่ พล.ต.ท.เอกรัตน์ มีปรีชา ผู้ช่วย ผบ.ตร.ขอลาออกเนื่องจากปัญหาสุขภาพ ทำให้ตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร.ว่างลง จึงมีการเสนอแต่งตั้ง พล.ต.ท.นายแพทย์ จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) โรงพยาบาลตำรวจซึ่งมีอาวุโสสูงสุดขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. แทน และมีการตั้งนายแพทย์ใหญ่แทน
“เป็นการปรับย้ายในจังหวะที่มีตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร.ว่าง จึงมีการขยับ และเป็นไปเพราะความเหมาะสม”บิ๊กอู๋กล่าวให้เหตุผลเพียงสั้นๆ
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์เต็มใจที่จะย้ายพ้นจากนครบาลด้วยตัวเองโดยมิได้มีแรงกดดันใดๆ
“สำหรับผมมองว่าการโยกย้ายของตำรวจเป็นเรื่องธรรมดา และต้องขอขอบคุณผู้บังคับบัญชาด้วยซ้ำ ที่ให้ไปพักผ่อน ที่ผ่านมาก็ทำงานเต็มที่ สำหรับผมอยู่ที่ไหนก็ทำงานได้ ไม่มีปัญหาอะไร อีกอย่างผมเหลืออายุราชการเพียง 160 วันเท่านั้น ที่ผ่านมาก็ทำงานเต็มที่ ยอมรับว่ามาอยู่นครบาล 2 ปีเต็ม ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะ เหตุการณ์ต่างๆ เข้ามามาก ต้องขอขอบคุณผู้บังคับบัญชา นี่พูดด้วยความจริงใจ ไม่มีปัญหา ไม่ได้หนักใจ มี ชีวิตผมมาได้ถึงขนาดนี้ก็เกินความคาดหวังแล้ว ผมยืนยันว่าอยู่ที่ไหนก็ทำให้ดีที่สุด” พล.ต.ท.คำรณวิทย์กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
คำถามที่สำคัญประการถัดมาคือ ทำไมพล.ต.ท.คำรณวิทย์ถึงได้ไปอยู่ที่ภาค 5
เมื่อตรวจสอบโครงสร้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะพบว่า ขอบข่ายของกองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 5 นั้นมีจังหวัดอยู่ในความรับผิดชอบทั้งหมด 8 จังหวัด ประกอบไปด้วย จังหวัดน่าน จังหวัดพะเยา จังหวัดลำปาง จังหวัดลำพูน จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแพร่ และจังหวัดแม่ฮ่องสอน
ทั้งนี้ ในทางยุทธศาสตร์แล้วพื้นที่ตำรวจภูธรภาค5 ถือว่ามีความสำคัญไม่แตกต่างจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลมากนัก โดยเฉพาะสำหรับคนเสื้อแดงและระบอบทักษิณ เนื่องเพราะภาค 5 ถือเป็นฐานกำลังที่สำคัญของคนเสื้อแดง ดังนั้น จึงถือว่ามิได้ถูกลดชั้นหรือถูกลดบทบาท หรือนายใหญ่ไม่พอใจ พล.ต.ท.คำรณวิทย์แต่ประการใด
ที่สำคัญคือ พล.ต.ท.คำรณวิทย์มีพื้นเพและคุ้นเคยกับพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 1 เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่แปลกใจอะไรที่มีข้อมูลยืนยันว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์เต็มใจที่จะย้ายในอยู่ที่ภาค 5
แหล่งข่าวระดับสูงระบุด้วยว่า การตัดสินใจไปอยู่ที่ภาค 5 อาจมีความเกี่ยวพันกับการเกษียณอายุราชการของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ และว่ากันว่าบิ๊กแจ๊ดมีแผนที่จะกระโดดลงสนามการเมืองสนามใดสนามหนึ่ง ซึ่งว่ากันว่าน่าจะเป็นที่จังหวัดปทุมธานีที่เขาเคยนั่งเก้าอี้ผู้บังคับการจังหวัด และมีเครือข่ายให้การสนับสนุนในทุกระดับ ดังนั้น การโยกย้ายออกจากพื้นที่นครบาลซึ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้งจึงน่าจะเป็นการตอบแทนที่นายใหญ่มีต่อน้องรักผู้นี้และเป็นการเตรียมสรรพกำลังให้พร้อมสำหรับสนามการเมือง
ขณะเดียวกันก็เป็นผลพลอยได้ในเรื่องของการจัดทัพคนเสื้อแดงในพื้นที่ภูธรภาค 5 ซึ่งถือว่ามีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนในทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของนายใหญ่คนเสื้อแดง
ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่า งานนี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์นอกจากจะได้ใจเพื่อนพี่น้องในสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ยังได้ใจนายใหญ่ชนิดเทหัวใจให้เต็มร้อยอีกด้วย