ผ่าประเด็นร้อน
จะเรียกว่า “เจาะเข้าตรงกล่องดวงใจ” อย่างได้ผลสำหรับการประกาศของ “กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ” ตัดท่อน้ำเลี้ยงธุรกิจของทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวชินวัตรทั้งหมด นอกจากจะสร้างความสะใจให้กับพวกที่ชิงชัง “ระบอบทักษิณ” แบบเข้ากระดูกมานานแล้ว ยังถือว่าวิธีนี้แหละน่าจะได้ผลที่สุด เป็นการตัดทางทำมาหากิน และยังมีผลต่อเนื่องนั่นคือยังสามารถ “แยก” พวกพันธมิตรเครือข่ายธุรกิจที่เคยเกื้อหนุนอิงแอบหากินอยู่กับทักษิณ ชินวัตรมานานออกมา เพื่อโดดเดี่ยวครอบครัวออกมาได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี การรณรงค์ต่อต้านดังกล่าวต้องทำอย่างจริงจัง ชัดเจนและต่อเนื่อง โดยเน้นกันแบบเนื้อๆ ในธุรกิจที่เป็น “สัญลักษณ์ของครอบครัวชินวัตร” ซึ่งสังคมรู้อยู้แล้วว่ามีบริษัทใดบ้าง ทั้งต่อต้านกดดัน “ไม่อุดหนุนสินค้า” ทำกันแบบต่อเนื่องทำให้เกิดความสั่นคลอนให้มากที่สุด เพราะเชื่อว่าธุรกิจพวกนี้แหละที่ “หล่อเลี้ยง” ทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวให้ร่ำรวยมหาศาลอย่างที่เห็นในวันนี้ ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันว่าการทำธุรกิจของของคนพวกนี้ล้วน “ใต้โต๊ะ” เอาเปรียบคนอื่นอยู่ตลอดเวลา นั่นคือใช้อำนาจรัฐเข้ามาเกื้อหนุนรวมไปถึงกำจัดบั่นทอนรวมไปถึงบีบบังคับใช้ธุรกิจคู่แข่งเข้ามาเป็นพวกหรือยอมสยบ
ที่ผ่านมาสังคมได้ละเลยไม่ค่อยข้องแวะกับธุรกิจของกลุ่มชินวัตรมาตลอด รวมไปถึงมีการพูดถึงเป็นครั้งคราวแล้วก็หายเงียบไป แต่คราวนี้เมื่อมีการประกาศออกมาจากปากของ กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส.ที่ปักหลักต่อต้านรัฐบาลทรราช ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งถือว่าเป็นหุ่นเชิดของทักษิณ ชินวัตร มาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเกิดการ “สั่งฆ่าประชาชน” ที่สะพานผ่านฟ้าฯ เมื่อเช้าวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ทำให้ทุกอย่าง “ขาดผึง” และถึงเวลาเหมาะสมสำหรับการ “เอาคืน” เพราะก่อนหน้านี้หากจำกันได้ ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ที่นำโดย เฉลิม อยู่บำรุง และ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ธาริต เพ็งดิษฐ์ รวมไปถึง ที่ประธานที่ปรึกษา ศรส. สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่ล่าสุดถูกลดชั้นลงมาก็เคยประกาศ “ตัดท่อน้ำเลี้ยง” กับกลุ่มธุรกิจและบุคคลที่อ้างว่าสนับสนุนการชุมนุมของมวลมหาประชาชนในนามของ กปปส. โดยเรียกมาสอบสวนพร้อมทั้งขู่ว่าจะตรวจสอบเส้นทางการเงินและการทำธุรกิจ โดยบอกว่าจะให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้ามาตรวจสอบ ซึ่งหน่วยงานและตัวบุคคลที่ใช้อำนาจข่มขู่และตรวจสอบดังกล่าวสังคมรู้ดีว่านี่คือ “ขี้ข้าของทักษิณ” ที่กำลังใช้อำนาจรัฐบาลทรราชเพื่อมากดหัวและทำลายกลุ่มธุรกิจฝ่ายตรงข้ามหรือเป็นคู่แข่งของธุรกิจครอบครัวชอนวัตร ทางหนึ่งอาจเป็นการฉวยโอกาส “รีดไถ” ตามนิสัยถนัด อีกทางหนึ่งอาจเป็นการกำจัดอีกฝ่ายให้พ้นทางหรือทั้งสองอย่างประกอบกันในช่วงที่ใช้กฎหมายพิเศษมาบังคับ แต่ล่าสุดเมื่อมีคำสั่งศาลแพ่งคุ้มครองที่พ่วงเข้ามาใน 9 ข้อห้ามทำให้เรื่องเหล่านี้เดินหน้าไม่ได้
ดังนั้น การที่ กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศลุยธุรกิจของครอบครัวของ ทักษิณ ชินวัตร ทางหนึ่งทำให้เกิดความ “สะใจ” ในสังคมไปทั่ว สังเกตได้จากสังคมใน “โลกออนไลน์” ที่ตื่นตัวกันอย่างมาก การเคลื่อนมวลชนไปที่ “อาคารชินวัตร 3” ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ และ “ศูนย์บัญชาการอำนาจแท้จริงของระบอบทักษิณ” ก็มีบรรดาขี้ข้ารับใช้ “สุมหัว” อยู่ที่ตึกนี้แหละ
การไปกดดันแบบนี้อยู่เป็นประจำมันก็ทำให้ “หัวเสีย” และที่สำคัญ “สั่นสะเทือน” ไปทั่วขบวนก็แล้วกัน
สำหรับธุรกิจอื่นที่เป็นพันธมิตร และที่ยอมทำตัวเป็นเครือข่ายเพื่อร่วมผลประโยชน์ มาถึงเวลานี้หากมีการรณรงค์ต่อต้านกันอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง มันก็ย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้นหากไม่อยาก “ติดร่างแห” ไปด้วยก็ต้องรีบออกมา “เคลียร์” ว่าไม่เกี่ยว หรือไม่สนับสนุนระบอบทักษิณ เหมือนอย่างที่เวลานี้กำลังเริ่มทยอยออกมาปฏิเสธและยืนยันกันมากขึ้นแล้ว
ขณะเดียวกัน ในทางสังคมถือว่าการทำแบบนี้เหมือนกับเป็นการ “กระทุ้ง” หยุดคิดว่าหากจะกำจัด ทักษิณ และระบอบทักษิณให้สิ้นซากนอกจากขับไล่รัฐบาลทรราช ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเครือข่ายอำนาจทั้งหมดแล้ว อีกทางหนึ่งก็ต้องกำจัดธุรกิจของครอบครัวให้หมดสิ้นหรืออ่อนแรงลงไปให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เอาเปรียบกอบโกยสังคมได้อีกต่อไป และทำให้เห็นว่าครอบครัวนี้ “ไม่ใช่นักบุญ” ที่ทำธุรกิจได้กำไรแล้วมาแบ่งประชาชนผู้ยากไร้ แต่ในทางตรงกันข้ามครอบครัวนี้ได้ใช้ทำธุรกิจเพื่อสร้างความร่ำรวยให้พวกพ้องของตัวเองเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นการใช้อำนาจรัฐเข้ามาเกื้อหนุนอีกด้วย ซึ่งสังคมและผู้ที่เคยสนับสนุน ทักษิณ สนับสนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รวมไปถึงพรรคเพื่อไทยของทักษิณ และครอบครัวชินวัตร ได้ “ตาสว่าง” มากขึ้นด้วย
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในเวลานี้ล้วนยิ่งสร้างผลกระทบกับ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และการกดดันเข้าไปธุรกิจของครอบครัวแบบนี้โดยตรง เชื่อว่าจะสร้างความปั่นป่วนให้พวกเขาได้มากขึ้น
ที่สำคัญวิธีการแบบนี้แหละที่ “ตรงจุด” และทำให้คนอย่าง ทักษิณ คลุ้มคลั่งได้ไม่ยาก!!