ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ไม่ว่าเป็นการต่อสู้เรื่องอะไร ระดับใด ย่อมมีกระบวนการพัฒนาคลี่คลายจากการเริ่มต้นไปสู่การยุติ ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลา บางครั้งอาจสั้นใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน บางครั้งอาจยาวนานใช้เวลานานนับหลายสิบปี และในกระบวนการต่อสู้มีทั้งการสร้างสรรค์ และการทำลายล้างเกิดขึ้นควบคู่กันเสมอ
มหาสยามยุทธในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของสังคมไทยได้ดึงดูดผู้คนจำนวนมากมายมหาศาลเข้าไปสู่สมรภูมิการต่อสู้ เป็นการต่อสู้ที่มีขอบเขตกว้างขวางหลากหลายมิติที่ดำรงอยู่ในจักรวาลวิทยาของสังคมไทย ตั้งแต่ความเชื่อรากฐานเกี่ยวกับความรู้และความเป็นจริงทางการเมือง ความชอบธรรม คุณธรรมและจริยธรรม สันติวิธีและความรุนแรง
ปัจเจกบุคคล องค์การและสถาบันหลักทางสังคมเกือบทั้งหมดถูกตั้งคำถามและถูกท้าทายอย่างไม่เคยมีมาก่อน การอธิบายและการตีความใหม่ในเรื่องราวต่างๆได้รับการผลิตขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มต่างๆ ในฐานะเป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้สร้างความจริงและความชอบธรรมแก่ฝ่ายตนเอง และทำลายฝ่ายปรปักษ์ เรียกได้ว่าการยุทธแห่งสยามประเทศในยามนี้ได้เปิดเผยตัวตนและโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้คนออกมาจนมิอาจอำพรางได้อีกต่อไป
ประชาธิปไตยถูกตีความและอธิบายใหม่อย่างสามานย์ โดยถูกทำให้ลดรูปกลายพันธุ์หลงเหลือเพียงเป็นกลไกการเลือกตั้งเพื่อให้ได้มาของผู้ครองอำนาจ และไม่สนใจใยดีว่าเมื่อได้อำนาจมาแล้ว จะใช้อำนาจนั้นย่ำยีความเป็นมนุษย์ละเมิดสิทธิมนุษยชน จำกัดเสรีภาพ และทำลายล้างระบบคุณธรรมของสังคมอย่างไร
เมื่อประชาชนบอกความจริงว่าการเลือกตั้งสกปรก เต็มไปด้วยการครอบงำของอำนาจทางสังคมและการซื้อสิทธิขายเสียง นักวิชาการบางกลุ่มที่หมกตัวอยู่ในหอคอยงาช้างก็ไปทำวิจัยอย่างผิวเผินถามชาวบ้านว่าขายเสียงหรือเปล่า เมื่อชาวบ้านบอกว่าเขาไม่ขายเสียง ไม่รับเงินจากหัวคะแนนหรือนักการเมือง ก็เชื่อชาวบ้านอย่างสนิทใจว่าการเลือกตั้งไม่มีการซื้อเสียง และออกมาแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะอย่างเป็นตุเป็นตะว่า การซื้อขายเสียงเป็นเพียงความเชื่อ ไม่ใช่ความจริง
ลับหลังทั้งนักการเมืองและชาวบ้านมักจะหัวเราะเยาะนักวิชาการที่ไร้เดียงสาเหล่านี้ แต่พวกเขาก็คิดว่าเป็นการดีเพราะว่าได้อาศัยปากของนักวิชาการเหล่านี้ช่วยปกปิดความจริงและหลอกลวงชาวโลกได้ต่อไป ว่าการเลือกตั้งไทยบริสุทธิ์และเที่ยงธรรมเพื่อปกปิดระบบการทุจริตเลือกตั้งที่พวกเขาได้ประโยชน์ร่วมกันต่อไปอีกยาวนาน
แค่หลักการแสวงหาความจริงแบบสามัญก็ยังเข้าไม่ถึง กลับเชื่อในสิ่งที่ชาวบ้านบอกอย่างง่ายดาย ถูกหลอกจนหัวปั่น หากคิดสักนิดว่า การแสวงหาความจริงในเรื่องการซื้อขายเสียงและการทุจริตเลือกตั้งนั้น มิใช่จะได้มาจากการสัมภาษณ์อย่างผิวเผิน หากแต่ต้องใช้กระบวนการเข้าถึงอย่างซับซ้อนจึงจะพบสิ่งที่ใกล้เคียงกับความจริง ตาที่พร่ามัวก็อาจจะหายไปบ้าง แต่น่าเสียดายกลับมาตายน้ำตื้นด้วยอคติและความเชื่อบางอย่างที่บดบังแสงแห่งปัญญาเอาไว้
ด้านประชาชนก็ถูกทำให้เป็นวัตถุเชิงสัญลักษณ์ทางการเมือง ถูกกำหนดให้สังกัดสีโน่น สีนั่น สร้างความเชื่อมายาสมมุติ ถูกปั่นหัวทำให้เกิดความเกลียดชังกันทั้งสังคม จนถึงกับฆ่าฟันราวกับเป็นศัตรูคู่แค้น ทั้งที่คนจำนวนมากไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ ค่านิยมแห่งความเอื้ออาทรและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันถูกจำกัดวงให้หลงเหลือเพียงในกลุ่มที่ถูกนิยามว่าเป็นพวกเดียวกันเท่านั้น แต่หากเป็นคนละกลุ่มกลับฟาดฟันห้ำหั่นทำร้ายกันให้ย่อยยับ
ประชาชนบางจำพวกที่เป็นสาวกของนักการเมืองถูกปลูกฝังลัทธิความเชื่ออันงมงายผนวกกับความรุนแรงจนซึมซับเข้าไปดำรงอยู่ภายในจิตใต้สำนึก พร้อมที่จะใช้ความรุนแรงทุกเมื่อหากถูกกระตุ้นยุยง มีการจัดตั้งผู้คนฝึกอาวุธและปฏิบัติการใต้ดินเพื่อก่อการร้าย อาวุธสงครามนานาชนิดจึงถูกนำมาใช้เข่นฆ่าทำลายฝ่ายตรงข้าม แม้กระทั่งเด็กก็ยังไม่มีการยกเว้น และเมื่อฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บล้มตาย ก็แสดงความสะใจ ดีอกดีใจกันทั่วหน้า พฤติกรรมเยี่ยงนี้แม้แต่ฟ้ายังกำสรวล อย่าว่าแต่มวลมนุษย์เลย
ประชาชนที่เป็นมวลชนชาวบ้านธรรมดาถูกตีความให้มีฐานะเพียงเครื่องมือหรือเรือที่ส่งให้นักการเมืองถึงฝั่งของอำนาจ ยามต้องการใช้ก็เอาอกเอาใจ พูดจายกย่องให้ความสำคัญ บอกว่าอำนาจเป็นของประชาชน ยามไม่ต้องการใช้เพราะรู้สึกรำคาญหรือเป็นภาระ ก็สลัดทิ้งเหมือนรองเท้าเก่าๆ ปล่อยปละละเลยทอดทิ้งให้พวกเขาจมปลักอยู่กับความทุกข์ยากอย่างเดียวดาย
สันติวิธีถูกย่ำยีโดยกลุ่มที่ประกาศตนว่าเป็นนักสันติวิธี พวกนี้มีพฤติกรรมน่าประหลาดยิ่งนัก เพราะเป็นสันติวิธีที่เคลือบด้วยเฉดสี หากกลุ่มที่ไม่ใช่พวกเดียวกับตนเองใช้สันติวิธีเป็นแนวทางการต่อสู้ พวกนักสันติวิธีจะตีความว่าเป็นความรุนแรง และตำหนิประณามผู้คนเหล่านั้น แต่หากคนกลุ่มเดียวกับตนเองใช้ความรุนแรง กลับอธิบายแก้ตัวให้ว่าเป็นการใช้สันติวิธี หรือแก้ตัวว่าเป็นชาวบ้าน ต้องเข้าใจชาวบ้าน หรือไม่ก็ปิดปากเงียบไม่ออกมาวิจารณ์ใดๆ สันติวิธีในยามนี้จึงกลายเป็นข้ออ้างเพื่อทำลายความชอบธรรมของกลุ่มคนที่ไม่ใช่พวกเดียวกับตนเท่านั้นเอง
ศาลและกระบวนการยุติธรรมก็ถูกกระหน่ำโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า หากคำพิพากษาออกมาไม่เป็นที่ถูกใจของกลุ่มอำนาจทางการเมือง บรรดาสมุนบริวารก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เพื่อให้สังคมเข้าใจคลาดเคลื่อน และมองว่าการพิพากษาเป็นการกระทำแบบสองมาตรฐานและเป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่หากศาลพิพากษาถูกใจก็ออกมายกย่องชมเชยหรือทำเป็นเงียบเสีย
การทำลายความน่าเชื่อถือของศาลและองค์กรอิสระที่ตรวจสอบพฤติกรรมการทุจริตของนักการเมือง มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ตนเองและพวกพ้องสามารถกระทำผิดกฏหมายและทุจริตคอรัปชั่นโดยไม่ต้องรับโทษใดๆ หากสถาบันเหล่านี้ไม่อาจทนทานกับแรงกดดันได้จะเกิดความประหวั่นพรั่นพรึง การวินิจฉัยและตัดสินก็มีแนวโน้มเป็นไปตามที่กลุ่มอำนาจทางการเมืองปรารถนา สิ่งที่ตามมาคือผู้ทำความผิดและความชั่วก็จะไม่ถูกลงโทษ ความเหิมเกริมและการกระทำที่ลุแก่อำนาจของนักการเมืองก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ
ข้างบรรดาข้าราชการทหารและพลเรือน มีเพียงบางกระทรวงเท่านั้นที่ผู้บริหารมีสติปัญญาและความกล้าหาญอย่างเพียงพอ ไม่ตกอยู่ภายใต้การจองจำของอำนาจการเมือง แต่เมื่อท่านเหล่านั้นแสดงจุดยืนที่ถูกต้องออกมา กลับถูกตำหนิจากนักการเมืองผู้ที่ยังอ้างว่าเป็นรัฐมนตรี ว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม และถูกข่มขู่ต่างๆนานาสารพัดอย่าง ในทางกลับกันเมื่อมีข้าราชการพลเรือนและตำรวจบางส่วนประพฤติชั่ว เดินทางไปพบกับนักโทษหนีคุกในต่างประเทศ มีการถ่ายรูปลงหน้าหนังสือพิมพ์อย่างเอิกเริก นักการเมืองที่อ้างว่าเป็นรัฐมนตรีกลับออกมาปกป้องแทนเสียนี่ การปกป้องคนชั่ว เหยียบย่ำคนดี จึงเป็นแบบแผนพฤติกรรมที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในยุคนี้
บางกลุ่มสร้างวาทกรรมสวยหรูดูดีว่า วางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายไหน แต่ยืนอยู่ข้างประเทศไทย คนพวกนี้เข้าใจเอาเองว่าการไม่ทำอะไร ไม่แสดงจุดยืนให้ชัดเจนในมหาสงครามสยามยุทธระหว่างมวลมหาประชาชนกับระบอบทักษิณคือความเป็นกลาง เป็นตีความว่าการเล่นลิ้นใช้วาทศิลป์แบบนี้จะทำให้ตนเองดูดี มีสภาวะลอยตัวเหนือความขัดแย้ง
การบอกว่าเป็นกลางอยู่ข้างประเทศไทย บ่งบอกถึงความสามารถวิเคราะห์ความจริง เจตนคติ และความเชื่อที่ซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่หลายอย่าง กล่าวคือ ประการแรก เป็นไปได้ว่าจะมีความสามารถในการวิเคราะห์ต่ำ ไม่อาจจำแนกแยกแยะได้ว่าระบอบทักษิณมีความชั่วใดๆอยู่บ้าง และไม่อาจแยกแยะได้ว่าทำไมประชาชนจำนวนมากจึงต้องการโค่นล้มระบอบทักษิณ เมื่อแยกแยะไม่ได้ว่าสิ่งใดดีหรือชั่วเจตนคติก็ว่างเปล่ามีความเฉยเมยไม่มีความรู้สึกบวกหรือลบกับสิ่งใด ความเชื่อที่ตามมาคืออยู่เฉยๆวางตัวเป็นกลางจะดีกว่า ไม่เปลืองตัวด้วย
ประการที่สอง มีความสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดถูกและสิ่งใดผิด อาจมีความโน้มเอียงสนับสนุนฝ่ายมวลมหาประชาชน หรือโน้มเอียงสนับสนุนระบอบทักษิณ แต่ไม่กล้าหาญเพียงพอที่จะประกาศต่อสาธารณะ หรือไม่ประสงค์ที่จะให้สาธารณะรับรู้ความคิดและความรู้สึกของตนเองเพราะเชื่อว่าการเก็บความรู้สึกไว้กับตนเองจะเป็นประโยชน์กับตนเองมากกว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะก็จะได้ไม่มีผลกระทบกับตนเองมากนัก
ตัวละครแต่ละกลุ่มที่พยายามสื่อสารต่อสาธารณะว่าวางตัวเป็นกลาง ย่อมมีจุดยืนที่แอบแฝงอยู่ นั่นคือจุดยืนของนักฉวยโอกาส โดยยึดถือประโยชน์มากที่สุดของตนเองเป็นที่ตั้ง จึงถือว่าพฤติกรรมของพวกนี้ยึดถือหลักเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์สรณะ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสนอประโยชน์ให้พวกเขามากจนเป็นที่พอใจ พวกที่เป็นกลางก็พร้อมที่จะเคลื่อนย้ายจุดยืนของพวกเขาอย่างไม่รีรอแต่อย่างใด
หรือไม่ก็พวกรอจังหวะโอกาสเพื่อจะเป็น “ตาอยู่” รอให้ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนหมดเรี่ยวหมดแรง หรือเบื่อหน่ายจนอยากจะจบแล้ว จากนั้นจึงเข้าแทรกแซงเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์มากที่สุด ส่วนประเทศชาติจะเสียหายอย่างไร คนที่มีพฤติกรรมแบบ “ตาอยู่” หรือ พวกชอบวางตนสูงส่งลอยตัวเหนือความขัดแย้ง ก็หาได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ประชาชนจะตายกันไปเท่าไร จะเจ็บอีกเท่าไร ก็หาได้อยู่ในสมการทางความคิดและจิตสำนึกของพวกเขาแต่อย่างใด
มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างมหาสยามยุทธในช่วง ๑๐ ปีมานี้ ผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองอย่างผมจึงต้องค่อยๆวิเคราะห์ อธิบาย และตีความออกมา เพื่อที่จะทำความเข้าใจกับปรากฎการณ์นี้ในหลากหลายแง่มุม หลายมิติ ทั้งในเชิงโครงสร้าง กระบวนการ และพฤติกรรมของกลุ่มชนชั้นนำทางอำนาจและประชาชน