เสวนาทางออกเลือกตั้ง ผู้ตรวจ กกต.ยัน กกต.เต็มที่แม้ กปปส.ขวาง เลือกตั้งใหม่ติดปัญหา “สดศรี” อ้าง รธน.เร่งมีสภาฯ ประกาศก่อนสอยทีหลัง แนะมอบอำนาจทหารจัดเลือกตั้ง คอยเป็นพี่เลี้ยง ผอ.พระปกเกล้า ชี้มีขวางเลือกตั้งไปก็เหลว ฝากอย่าทำเข้าทางเลื่อนเลือก ส.ส.หลัง ส.ว. เปิดทาง ปชป.สมัคร “วีรพัฒน์” แนะชง อสส.ส่งศาลตีความขวางเลือกตั้ง ล้มการปกครอง ควรออกประกาศคำนวณคะแนนบัญชีรายชื่อ เชื่อเขตที่เหลือไร้ผล
วันนี้ (18 ก.พ.) ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา มีนายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ เป็นประธาน ได้จัดเสวนาหาทางออกการเลือกตั้งไทย 2557 โดยนายวรภัทร วงศ์ปราโมทย์ ผู้ตรวจสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า ปัญหาการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นเพราะมีกลุ่มการเมืองที่ต้องการให้ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ขัดขวางการเลือกตั้งด้วยการชุมนุมกดดันปิดกั้นหน้าเขตเลือกตั้ง การข่มขู่กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) โดยกลุ่ม กปปส. และผู้มีผู้อิทธิพลในพื้นที่โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ ขณะที่ กปน.ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการที่มีแนวคิดทางการเมืองเดียวกับพรรคการเมืองที่มีอิทธิพลในพื้นที่ แต่ กกต.พยายามแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ อาทิ การออกคำสั่งให้ทหารเข้าไปดูแลและป้องกันไม่ให้มีการชุมนุมขัดขวาง หรือการปะทะ โดยอาศัยกฎหมายและรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง แทนการขอความร่วมมืออย่างที่ผ่านมา แต่ปัญหาการจัดการเลือกตั้งล่าสุด ที่กำหนดให้ลงคะแนนใหม่ช่วงเดือน เม.ย.ยังติดปัญหาในด้านกฎหมายและด้านการปฏิบัติ
นางสดศรี สัตยธรรม อดีต กกต.กล่าวว่า เชื่อว่าสิ่งที่ กกต.กังวลที่สุดคือการปิดล้อมสถานที่เลือกตั้ง จนไม่สามารถลงคะแนนเลือกตั้ง แต่รัฐธรรมนูญมาตรา 127 มีเจตนารมณ์ต้องการให้มีสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็ว ไม่อยากให้รัฐบาลอยู่รักษาการนานเกินไป กกต.ชุดที่ผ่านมายึดกรอบดังกล่าวอย่างเคร่งครัด คือประกาศผลเลือกตั้งไปก่อนแล้วสอยทีหลัง ทำให้ไม่มีปัญหาในการเปิดสภาผู้แทนราษฎร ส่วนปัญหาของ กกต.ชุดนี้ คือ ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้สมบูรณ์ โดยไม่มีการขัดขวางการเลือกตั้ง กกต.ต้องมองหน้าที่โดยจัดเลือกตั้งให้แล้วเสร็จ เพราะมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญและตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าดด้วยกรรมการการเลือกตั้ง สามารถออกคำสั่งหรือระเบียบ ให้หน่วยงานต่างๆเข้ามาช่วยดำเนินการจัดเลือกตั้งให้สำเร็จได้ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประเด็นการเมือง เป็นการแย่งอำนาจรัฐ แต่การจัดการเลือกตั้งของ กกต. เพื่อนำไปสู่การมีอำนาจรัฐ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172
นางสดศรีกล่าวว่า กกต.ควรมอบอำนาจให้บุคคลที่มีศักยภาพ ตนไม่ได้ดูถูก แต่ทุกฝ่ายยอมรับว่าศักยภาพและอิทธิพลของทหารมีจริง ไม่ต้องกลัวการปฏิวัติ กกต.สามารถออกเป็นระเบียบและออกเป็นประกาศของ กกต.เพื่อแก้ปัญหานี้ตามที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.แสดงความวิตกกังวลไว้ โดย กกต.คอยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง เพราะทหารมีโรงพิมพ์ การจัดส่งหีบบัตรหรือบัตรเลือกตั้ง การควบคุมการเลือกตั้งเขามีกองกำลังดำเนินการ ไม่ต้องกลัวว่าเสียศักดิ์ศรี เพราะเป็นภาวะวิกฤตที่ไม่ปกติ กกต.ควรยอมรับว่าขณะนี้ศักยภาพไม่ถึงขั้นดำเนินการได้ หาก กกต.มองดูปัญหาที่ตั้งเอาไว้ 7-8 ข้อ ที่เป็นข้อกังวลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 127 หรือ 93 จะจบได้ง่ายกว่าการแก้ปัญหาทีละข้อ การจะโยนภาระไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหมดคงไม่สามารถทำได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือเกิดจากการเมืองที่จ้องขัดขวางการเลือกตั้ง ดังนั้นต้องตีปัญหาให้แตกว่าจะทำอย่างไร โดยไม่ต้องไปมัวเรียกร้องให้ฝ่ายใดมาเจรจา
ด้าน พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผอ.สำนักสันติวิธี สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า เราคงโยนภาระไปให้ กกต.ทั้งหมดคงไม่ได้ เพราะเชื่อว่าภาวะไม่ปกติแบบนี้ 180 วัน ก็จัดเลือกตั้งไม่สำเร็จ เพราะมีความตั้งใจจัดตั้งที่จะไม่ให้การเลือกตั้งเกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เห็นการพูดจาของ กกต.บางคนผ่านสื่อก็ไม่มั่นใจว่าจะจัดการเลือกตั้งหรือไม่ แต่พอการเลือกตั้งผ่านมาก็คิดว่าอะไรที่อยากจะทำก็คงไม่ทำอีกแล้ว การเลื่อนวันเลือกตั้งเป็นวันที่ 20 27 เม.ย. ตนไม่แน่ใจว่ามีอะไรอยู่ในใจหรือไม่ จะเป็นความตั้งใจอะไรหรือเปล่า จะผิดอะไรหรือไม่ แต่เชื่อว่าจะมีปัญหาอย่างแน่นอน เพราะมีคนยื่นฟ้องต่อ กกต.ไม่ต่ำกว่า 10 คดีแล้ว วันนี้เชื่อว่า กกต.ทั้ง 5 คนเริ่มไม่มีความสุข อย่างไรก็ตาม ขอให้ยืนตามหลักการตามหน้าที่ของท่านตามกฎหมาย อำนาจหน้าที่ทั้งหมดของประเทศตอนนี้อยู่ที่ กกต. แต่เวลาจะทำอะไรก็ต้องไปถามศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นฉบับตัดต่อพันธุกรรมที่จะฆ่าคนไทยตายหมด
พล.อ.เอกชัยกล่าวว่า ตนฝากประเด็นไปถึง กกต.ว่า กรณีที่กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) ลาออก หรือการยกเลิกไม่ให้ใช้สถานที่เลือกตั้ง มีข้อผูกมัดตามกฎหมายหรือไม่ การยกเลิกเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ ผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหากเป็นการที่ กกต.ไปขอใช้ที่ฟรี ก็ต้องมานั่งคุยกันใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นอีก เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวอันตรายหรือตั้งใจจะหายตัวไป ทำให้การบังคับใช้กฎหมายของประเทศไทยล้มเหลว เรากำลังจะเป็นรัฐล้มเหลว ตามที่สหประชาชาตินิยามไว้ แต่ตนยังคิดว่าประเทศของเรายังไม่น่าเลวร้ายถึงขนาดไปเลือกตั้งกันในค่ายทหาร เพียงแต่ขอใช้กำลังทหารเข้ามาดูแลก็น่าจะเพียงพอ และฝาก กกต.อย่าทำอะไรที่ไปเข้าทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะเรื่องการจัดเลือกตั้ง ส.ว. ในวันที่ 30 มี.ค.แล้วเลื่อนการเลือกตั้ง ส.ส.ไปเป็น ปลายเดือน เม.ย. เพื่อจะเปิดให้พรรคประชาธิปัตย์ลงสมัคร ส.ส.ได้ ซึ่งกลายเป็นข้อสงสัยของหลายคนว่า กกต.ทำอย่างนี้มีอะไรหรือไม่
นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ กล่าวว่า ขอตั้งคำถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมือง หากการเลือกตั้งไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะเราไม่รู้ว่าวันดีคืนดี กปปส. อาจประกาศไม่เอาการเลือกตั้ง ส.ว. แล้วจะเกิดอะไรขึ้น อาจมีการเล่นแร่แปลธาตุ เพื่อให้เหลือ แต่ ส.ว.สรรหา เพื่อเปิดทางให้มีนายกคนกลาง แต่ถามว่าเอามาจากไหน ก็จะพยายามสร้างทฤษฎี ม.7 ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะผู้มีสิทธิทั่วประเทศก็จะรู้สึกถูกตบหน้า ดังนั้นปัญหาการเลือกตั้งวันนี้ไม่ใช่แต่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ แต่มันคือการเลือกตั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศชาติเกิดอันตรายอย่างยิ่ง จึงขอเน้นย้ำให้ กกต.ได้ยื่นคำร้องไปยัง อสส. เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากระบวนการขัดขวางการเลือกตั้ง เป็นการล้มล้างการปกครองตามมาตรา 68 นอกจากนี้ เพราะกรณีนี้มันชัดเจนว่าเป็นการแย่งชิงอำนาจไปจากประชาชน เป็นการสกัดกั้นประชาชน เพื่อจะเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครอง ซึ่งตนได้รับเชิญให้ไปบรรยายที่สำนักกฎหมาย มหาวิทยาลัยฮาร์เวาร์ด ก็จะพูดเรื่องนี้
นายวีรพัฒน์กล่าวว่า ยอมรับว่าการเลือกตั้งในขณะนี้ไม่ปกติ การตีความจะทำแบบทื่อๆไม่ได้ ต้องมีการตีความโดยให้มีความสอดคล้องกัน ตนเสนอว่า หากตีความตามมาตรา 93 วรรคหก ประกอบกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งฯ เพื่อที่จะสามารถคำนวณคะแนน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ จากหน่วยที่ได้มีการเลือกตั้งไปแล้วได้ โดย กกต.สามารถจะออก ประกาศ กกต. เพื่อกำหนดการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อได้ โดยอาศัยจากจำนวนเสียงที่มีอยู่ ซึ่งจะไม่มีความผิดทางอาญาหากจะให้แน่ใจก็สามารถให้คนไปร้องขออำนาจศาลปกครองไต่สวนฉุกเฉินได้ ซึ่งถ้าหากศาลระบุว่าไม่ได้เราก็จะกลับมาที่ปัญหาเดิม แต่ถ้าได้ก็เดินหน้าต่อไป ไม่จำเป็นต้องไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ
นายวีรพัฒน์กล่าวอีกว่า ส่วนข้อห่วงกังวลว่า หากดคำนวณตามวิธีดังกล่าวแล้ว เกิดสามารถลงคะแนนในอีก 10,000 หน่วยเลือกตั้งที่ค้างอยู่ได้ จะทำให้มีผลต่อจำนวน ส.ส.ที่จะจัดตั้งรัฐบาลต่อไปนั้น ตนมองว่าคงไม่น่าจะมีผลอะไร เนื่องจากพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่งได้บอยคอตการเลือกตั้งไปแล้ว แต่เพื่อความแน่ใจ ก็ให้ กกต.เชิญทุกพรรคการเมืองมาลงสัตยาบันร่วมกันว่าจะใช้วิธีการนับคะแนน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ แบบดังกล่าวไปก่อน เพื่อให้บ้านเมืองสามารถเดินหน้าต่อไปได้