xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ป่วยพุ่ง1.2พันรายจับตาบ่อขยะต่อเนื่อง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ก.อุตฯเตรียมลุยสอบบ่อขยะทั่วประเทศเล็งออกระเบียบบังคับรถบรรทุกกากอุตสาหกรรมทุกประเภทติด GSP และนำระบบ RFID ติดตัวถังที่เก็บกากอีกชั้นคาดดำเนินการได้ภายใน 3 เดือนข้างหน้านี้ ขณะที่ระยะยาวแก้กฏหมายเพิ่มบทลงโทษ รับกากอันตรายหายจากระบบราว 7.5 แสนตัน ด้านกรมแพทย์แผนไทยส่ง "รางจืด" ช่วยกลุ่มเสี่ยงรอบบ่อขยะแพรกษา ชี้ช่วยลดสารพิษกลุ่มยาฆ่าแมลงได้ ปกป้องตับและสมองจากสารโลหะหนัก เตือนกินมากอาจเกิดอาการเหน็บชา น้ำตาลลด

นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า จากกรณีไฟไหม้บ่อขยะที่จ.สมุทรปราการ ได้หารือร่วมกับอุตสาหกรรมจังหวัด กรมโรงงานอุตสาหกรรม(กรอ.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)และบ.รับจัดการกากอุตสาหกรรม4รายเห็นชอบร่วมกันว่า ระยะสั้นได้มอบหมายให้ทุกส่วนไปเร่งตรวจสอบปริมาณกากขยะให้ชัดเจนและดำเนินการเอาผิดเจ้าของบ่อขยะชุมชนที่มีขยะอุตสาหกรรมไปปน รวมถึงการแก้ไขระเบียบการติดตั้งระบบจีพีเอสในระกำจัดกากอุตสาหกรรมทุกประเภทและระยะยาวให้แก้ไขกฏหมายใหม่ที่จะต้องเพิ่มบทลงโทษกับผู้กระทำผิดจากที่ปัจจุบันสูงสุดเพียงจำคุก 2 ปีปรับไม่เกิน 2แสนบาทเนื่องจากทุกฝ่ายเห็นว่าบทลงโทษดังกล่าวน้อยเกินไปทำให้จูงใจที่จะลักลอบทำผิดได้

นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากข้อมูลเบื้องต้นปี 2556 พบว่าไทยมีกากไม่อันตรายอยู่ที่ 45.7 ล้านตัน ขยะอัตรายอยู่ที่ 3.9 ล้านตันโดยในส่วนนี้อยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่เป็นความรับผิดชอบกนอ.คือขยะไม่อันตราย27 ล้านตันและอันตราย 1.4 ล้านตันซึ่งส่วนนี้มั่นใจว่าจะเข้าระบบกำจัดทั้งหมด

“ตัวเลขขยะอันตรายแจ้งเข้าระบบมี 2.5 ล้านตันซึ่งถูกกำจัด 70% อีกประมาณ 30% หรือราว 7.5 แสนตันน่าจะหายไป แต่ตัวเลขบางอย่างก็อาจจะแจ้งไว้ค่อนข้างโอเว่อร์เพราะเอกชนบางรายขี้เกียจมาแจ้งบ่อยๆ เราคงต้องไปรวบรวมให้ชัด”นายวิฑูรย์กล่าว

นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ อธิบดีกรอ. กล่าวว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้อุตสาหกรรมจังหวัดสำรวจบ่อขยะทั้งหมดว่ามีการลักลอบนำขยะอุตสาหกรรมไปปลอมปนทิ้งรวมหรือไม่หากเจอบ่อดินที่มีขยะอุตสาหกรรมทิ้งให้ดำเนินคดีทันทีกับเจ้าของบ่อทั้งบ่อฝังกลบและเผากาก รวมถึงโรงงานคัดแยกขยะที่มีอยู่ราว 1,200แห่ง และโรงงานรีไซเคิล 400 แห่งซึ่งพบว่าที่ผ่านมาอาจเป็นช่องทางลักลอบได้โดยปีที่ผ่านมาพบว่ามีโรงงานแจ้งเป็นรีไซเคิลแต่ไปตรวจกลับพบเป็นบ่อกุ้ง เป็นต้น

นอกจากนี้ได้เตรียมตั้งคณะทำงานที่จะศึกษาปรับปรุงกฏกระทรวงที่จะบังคับให้รถบรรทุกที่ขนขยะอุตสาหกรรมทั้งประเภทอันตรายและไม่อันตรายต้องติดจีพีเอสทั้งหมดจากขณะนี้มีเพียงการบังคับเฉพาะขยะอันตรายเท่านั้น พร้อมกับการบังคับให้รถบรรทุกดังกล่าวต้องติดตั้งเทคโนโลยีระบบระบุลักษณะของวัตถุด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (RFID) กับตัวถังที่เก็บกากอุตสาหกรรมด้วยเพื่อประสิทธิภาพอีกขั้นซึ่งคาดว่าทั้งหมดจะใช้เวลา 3 เดือนในการดำเนินการและได้ข้อสรุปที่ชัดเจน

“เราพบว่าตัวรถบรรทุกวิ่งไปแม้มีจีพีเอสก็เอาถังออกไปรถวิ่งไปยังจุดทิ้งก็จับไม่ได้แต่ RFID จะติดที่ตัวถังใส่ขยะอีกชั้นหนึ่งมีรหัสล็อคก็จะทำให้การลักลอบทิ้งยากขึ้นที่ผ่านมาเราก็ยอมรับว่ากำลังคนที่มีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับโรงงานเราจึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีมาจัดการซึ่งแนวทางนี้คงใช้เวลาไม่นานเพราะสามารถออกกฏกระทรวงได้ส่วนระยะยาวจะต้องแก้ไขกฏหมายคือการเพิ่มบทลงโทษให้หนักขึ้น”นายณัฐพลกล่าว

***กรมแพทย์แผนไทยส่ง "รางจืด" ช่วยกลุ่มเสี่ยง

นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ขณะนี้แม้จะสามารถดับไฟไหม้บ่อขยะได้แล้ว แต่สารพิษที่เกิดขึ้นยังคงอยู่ โดยเฉพาะสารพิษที่เกิดจากการฉีดน้ำดับเพลิงและไหลลงไปตามแม่น้ำลำคลอง อาจมีการปนเปื้อนสารพิษจำพวกยาฆ่าแมลง และโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว แคดเมียม เป็นต้น จึงขอเตือนประชนระมัดระวังในการนำน้ำมาใช้อุปโภคบริโภค โดยเฉพาะกลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณรอบบ่อขยะรัศมี 1 กิโลเมตร จำนวน 500 ราย ซึ่งกรมได้ส่งนักวิชาการเข้าร่วมประชุมวอร์รูมจังหวัด และส่งทีมแพทย์แผนไทยให้ความช่วยเหลือ โดยจัดเตรียมชุดสุมนไพรกลุ่มล้างพิษ ได้แก่ แคปซูลรางจืดจำนวน 300 ขวดๆ ละ 60 เม็ด สำหรับกลุ่มเสี่ยงสูงกินมื้อละ 2 แคปซูล 3 มื้อต่อวัน ชาชงรางจืดสำหรับใช้ดื่มและอาบล้างสารพิษ จำนวน 600 ซอง ยาหอมและบาล์มสมุนไพรแก้บรรเทาอาการปวดเมื่อยและช่วยให้สดชื่นจากกลิ่นที่ไม่ประสงค์ จำนวน 300 ขวด

นพ.ธวัชชัย กล่าวว่า ที่กรมนำรางจืดมาช่วยล้างสารพิษให้แก่ประชาชน เพราะมีผลวิจัยทั้งของกรมฯ โรงพยาบาล และมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ชี้ชัดว่า รางจืดมีสรรพคุณช่วยแก้พิษต่างๆ ได้ ทั้งยาเบื่อ ยาสั่ง ยาฆ่าแมลง พืชพิษ รวมไปถึงช่วยในการอดเหล้า อดยาเสพติดด้วย รู้จักกันดีในชื่อยาเขียว เช่น รพ.เจ้าพระยายมราช จ.สุพรรณบุรี พบว่า ผู้ที่กินยาฆ่าหญ้าเกิน 1 ช้อนชา จะตายภายใน 7 วัน 100% แต่จากการใช้รางจืดผสมน้ำล้างท้องและให้กินน้ำรางจืด พบว่า ช่วยให้ผู้ป่วยรอดตายได้ถึง 50% ทุกวันนี้จึงมีการบรรจุรางจืดไว้เป็นยาบัญชียาหลัก และให้แผนกฉุกเฉินทุกโรงพยาบาลมีไว้เพื่อทำการล้างท้อง

"รางจืดมีผลวิจัยชัดเจนว่าช่วยลดสารพิษในกลุ่มยาฆ่าแมลงได้ แต่พวกสารตะกั่วและแคดเมียมยังไม่มีผลวิจัยที่แน่ชัด แต่รางจืดจะช่วยปกป้องอวัยวะภายใน เช่น ตับ และสมอง ไม่ให้ถูกสารพิษเหล่านี้ทำลายไปมากยิ่งขึ้น ส่วนกลุ่มซัลเฟอร์ไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ก็สามารถใช้ล้างสารพิษได้ แต่ทางที่ดีที่สุดคือการใช้น้ำสะอาดล้าง และใช้บัวบกป้องกันผิวจะดีที่สุด" นพ.ธวัชชัย กล่าว

นพ.ธวัชชัย กล่าวว่า รางจืดมีสรรพคุณเป็นยาเย็น ดังนั้น กินแล้วอาจเกิดอาการเหน็บชา และเมื่อกินในปริมาณสูงๆ เกิน 600 มิลลิกรัม ก็จะไปลดน้ำตาลในเลือด ทำให้หิวบ่อย ซึ่งผู้ที่ป่วยโรคเบาหวานต้องระวัง เพราะหากกินมากไป อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติ แต่จากการศึกษาวิจัยพบว่าการกินรางจืดต่อเนื่องเกิน 6 เดือน ไม่ก่อให้เกิดพิษใดๆ ทั้งสิ้น

วันเดียวกัน นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าสถานการณ์มลพิษจากไฟไหม้บ่อขยะที่ ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ว่า ที่ประชุมวอร์รูมติดตามสถานการณ์มลพิษจากไฟไหม้บ่อขยะ ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ ยังคงมีการประชุมวางแผนการดูแลด้านสุขภาพประชาชนที่สัมผัสมลพิษจากไฟไหม้บ่อขยะและเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

ผลการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของกระทรวงสาธารณสุข ที่ อบต.แพรกษา และวัดแพรกษา รวมทั้งที่โรงพยาบาลในพื้นที่ใกล้เคียงทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม -23 มีนาคม 2557 รวม 1,261 ราย ส่วนใหญ่ มีอาการระคายเคืองตา แสบคอ แสบจมูก โดยมีผู้ป่วยโรคหอบหืดและถุงลมโป่งพองอาการกำเริบ ต้องนอนพักรักษาที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ จำนวน 3 ราย เร่งกำชับให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ให้ความรู้ คำแนะนำแก่ประชาชนที่อยู่ในรอบๆบ่อขยะ ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อลดการเจ็บป่วย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่หญิงตั้งครรภ์ เด็กแรกเกิด ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะโรระบบทางเดินหายใจ หอบหืด ถุงลมโป่งพอง

นพ.นำพล แดนพิพัฒน์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีเหตุการณ์ไฟไหม้บ่อขยะ จ.สมุทรปราการ กล่าวว่า ได้วางแผนจัดมาตรการเฝ้าระวังผลกระทบเร่งด่วน 2 ด้าน คือ การเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพในคน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่1.กลุ่มสัมผัสรุนแรง ได้แก่ นักผจญเพลิง พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ต้องอยู่เฝ้าสถานประกอบการ นักข่าว วินมอเตอร์ไซค์ ประชาชนอาศัยใกล้จุดเกิดเพลิงไหม้ในรัศมี 200 เมตร 2.กลุ่มเสี่ยงปานกลาง คือ ประชาชนในรัศมี 201-1,000 เมตร และ3.กลุ่มเสี่ยงน้อย ในรัศมี 1,000 เมตรขึ้นไป โดยจะเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและโรงพยาบาลบางพลี จะนำเจ้าหน้าที่ พร้อมรถเอ็กเรยซ์เคลื่อน ออกให้บริการ ตรวจเลือด และเอ็กซเรย์ แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณรอบบ่อขยะ

ส่วนการเฝ้าระวังในด้านสิ่งแวดล้อม จะตรวจคุณภาพอากาศทุกวันต่อเนื่องจนถึงวันศุกร์ 28 มีนาคม 2558 และจะเก็บตัวอย่าง น้ำผิวดิน บ่อน้ำ น้ำบาดาล และเก็บตัวอย่างอาหารต่างๆ ผัก ผลไม้ ตรวจหาสารปนเปื้อนใน เพื่อสร้างความปลอดภัยและความมั่นใจแก่ประชาชน

***DSI รอผลสอบก่อนรับเป็นคดีพิเศษ

พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กล่าวว่า ดีเอสไอยังไม่สามารถรับเข้าเป็นคดีพิเศษได้ แต่รอผลพิสูจน์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมว่า มีการลักลอบนำกากอุตสาหกรรมมาทิ้งในจุดเกิดเหตุหรือไม่

อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลกรณีที่ อบต.แพรกษา เคยพบบริษัทลักลอบนำกากอุตสาหกรรมจากชลบุรีมาทิ้ง ที่บ่อขณะนี้เมื่อปี 2555 โดยดีเอสไอจะตรวจสอบคู่ขนานไปก่อน เนื่องจากจะเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.วัตถุอันตราย

ด้าน น.พ.นพพร ชื่นกลิ่น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยถึงกรณีฝนตกเมื่อวันเสาร์ในพื้นที่บ่อขยะว่า โชคดีที่ปริมาณก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในอากาศมีไม่มาก ทำให้ปัญหาฝนกรดไม่รุนแรงอย่างที่วิตกกัน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ที่อยู่ใกล้รัศมีบ่อขยะ 200 เมตร ยังคงต้องใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้าน และไม่ควรใช้น้ำในภาชนะไม่ปิดฝา
กำลังโหลดความคิดเห็น