xs
xsm
sm
md
lg

"มาร์ค"ขึ้นศาลให้การปฏิเสธ คดีสั่งทหารฆ่าเสื้อแดงปี53

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้ (24มี.ค.) ที่ห้องพิจารณา 707 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจหลักฐานคดีหมายเลขดำ อ. 4552/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83, 84, 90 จากกรณีร่วมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และอดีต ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ก่อให้ผู้อื่นฆ่า และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ ด้วยการออกคำสั่งศอฉ.ให้เจ้าหน้าที่เข้าขอคืนพื้นที่การชุมนุมบริเวณถนนราชดำเนิน และแยกราชประสงค์ จากกลุ่ม นปช. ที่ชุมนุมตั้งแต่เดือนเม.ย. - 19 พ.ค.53 กระทั่ง นายพัน คำกอง ชาวจ.ยโสธร อายุ 43 ปี คนขับแท็กซี่ และ ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ หรือ น้องอีซา อายุ 14 ปี เสียชีวิตบริเวณใกล้สถานีรถไฟแอร์พอร์ตลิงก์ สถานีราชปรารภ วันที่ 15 พ.ค. 53 และนายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ ถูกกระสุนยิงมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ที่รักษาการณ์ในพื้นที่ย่านราชปรารภ ที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยคดีนี้อัยการยื่นฟ้อง เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.56 ที่ผ่านมา
โดยศาลได้อ่าน และอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยยืนยันให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ตามคำให้การที่จำเลยยื่นต่อศาล ขณะที่ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ นายสมร ไหมทอง ผู้ได้รับบาดเจ็บ และนางหนูชิด คำกอง ภรรยาของนายพัน ผู้ตายในคดีนี้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการ ภายหลังจากทั้งสองยื่นคำร้อง เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา ขอเป็นโจทก์ร่วม ซึ่งอัยการโจทก์ และจำเลย แถลงไม่คัดค้าน ซึ่งอัยการโจทก์แถลงรับรองว่าทั้งสองเป็นผู้เสียหายในคดีนี้จริง
ขณะที่ศาลสอบถามโจทก์เกี่ยวกับคำฟ้องคดีนี้แล้ว แถลงยืนยันว่า เหตุที่มีบุคคลถึงแก่ความตาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางทหารในการผลักดันผู้ชุมนุม กระชับพื้นที่หรือขอคืนพื้นที่ โดยเจ้าหน้าที่ทหาร ใช้อาวุธและกระสุนปืนจริง ยิงใส่ผู้ชุมนุมโดยมีเจตนาฆ่าตามคำสั่งของจำเลย ที่ให้ ศอฉ. ดำเนินการควบคุมการมุ่งเข้าสู่พื้นที่สีลม และมีการจัดวางเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนย้ายของกลุ่มผู้ชุมนุม และให้มีการกำหนดแนวห้ามผ่านเด็ดขาด โดยทำเครื่องหมายหรือประกาศให้ผู้ชุมนุมทราบ รวมทั้งกำหนดให้สามารถใช้อาวุธปืนประจำกาย กรณีจำเป็นเมื่อมีการบุกรุกแนวห้ามผ่านเด็ดขาด โดยก่อนหน้านั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะ ผอ.ศอฉ. มีคำสั่งอนุมัติให้เจ้าหน้าที่ของ ศอฉ. สามารถใช้อาวุธและกระสุนปืนจริง และให้ใช้พลแม่นปืน ในการปฏิบัติหน้าที่ได้ซึ่งต่อมาวันที่ 19 พ.ค. 53 จำเลยมีคำสั่งให้ ศอฉ.ดำเนินการตามมาตรการปิดล้อม สกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อขอคืนพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี และพื้นที่ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค.เวลา 03.00 น. โดยการออกคำสั่งของจำเลยดังกล่าว กระทำในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ใช้อำนาจสั่งการตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ด้านจำเลยแถลงยืนยันว่า ขณะนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่ระหว่างไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีที่จำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี สั่งการให้ผลักดันผู้ชุมนุมในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ โดยจำเลยเคยไปให้ถ้อยคำต่อ ป.ป.ช.แล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่มีการชี้มูลความผิด โดยอัยการโจทก์แถลงด้วยว่า ป.ป.ช. เคยขอเอกสารในสำนวนการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในคดีนี้ไปใช้ประกอบการพิจารณา ไต่สวนข้อเท็จจริงด้วย
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อกล่าวหาที่อัยการโจทก์ฟ้องมานั้น ล้วนเกิดจากการออกคำสั่งของจำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี ในวาระต่างๆ กัน ภายหลังจากที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขต กทม. และปริมณฑล ตามอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งหากการออกคำสั่งต่างๆ ของจำเลย ที่โจทก์ฟ้องนั้น ไม่เป็นไปตามหลักปฏิบัติ การควบคุมฝูงชน หรือไม่สมควรแก่เหตุ การใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีนั้น ก็อาจเข้าข่ายเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา และเป็นการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และถ้าภายหลังการออกคำสั่งนั้น ส่งผลให้มีผู้ถึงแก่ความตาย ก็ถือเป็นคดีเกี่ยวเนื่องจากการใช้อำนาจโดยมิชอบ
ดังนั้นเพื่อให้การตรวจพยานหลักฐานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในการจัดกลุ่มพยานที่จะนำสืบได้อย่างเหมาะสม ไม่ให้ต้องมีการสืบพยานฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจออกคำสั่งต่างๆ ให้มีการผลักดันการชุมนุมของจำเลย ในฐานะนายกรัฐมนตรี ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ว่า เป็นการกระทำโดยชอบด้วยหน้าที่หรือไม่ ซึ่งมีการระบุว่า ป.ป.ช. ได้รับเรื่องไว้ไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วนั้น ศาลจึงเห็นสมควรที่จะให้มีหนังสือสอบถาม ป.ป.ช.ในเรื่องนี้ เพื่อให้ได้ความชัดเจนก่อนที่จะตรวจหลักฐานในคดีนี้ จึงให้นัดพร้อมเพื่อฟังผลการสอบถามจาก ป.ป.ช. ในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
ภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนพิจารณาแล้ว นายอภิสิทธิ์ จำเลยซึ่งวันนี้เดินทางมาพร้อมกับทีมทนายความ ได้ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ ขณะที่นายบัณฑิต ศิริพันธ์ ทนายความของนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คดีนี้เราได้ต่อสู้โต้แย้งประเด็นอำนาจการสอบสวนอยู่แล้ว ว่าเป็นอำนาจของป.ป.ช. อย่างไรก็ดี สุดท้ายป.ป.ช.จะได้ชี้มูลและถ้าผลออกมาว่าการกระทำของนายอภิสิทธิ์ ไม่เป็นความผิด ก็จะนำมาใช้ประกอบการต่อสู้คดีอย่างแน่นอน
ด้านนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความผู้ที่เสียชีวิต และโจทก์ร่วมในคดีนี้ กล่าวด้วยว่า นอกจากที่นายสมร และนางหนูชิด ได้ยื่นขอเป็นโจทก์ร่วมแล้ว ในส่วนของญาติผู้เสียชีวิต 6 ศพวัดปทุมวนาราม ในช่วงสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 นั้น ยังได้ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดเดียวกันนี้ด้วย ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 2 มิ.ย.นี้ โดยวันนี้อัยการโจทก์ก็ได้แถลงให้ศาลอาญาทราบ พร้อมกับระบุว่าจะขอ
โอนคดีดังกล่าวมารวมกับคดีนี้ด้วย ซึ่งต้องรอติดตามผลการพิจารณาต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ นอกจากนายอภิสิทธิ์แล้ว นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุด ได้มีความเห็นให้สั่งฟ้อง นายสุเทพ ผอ.ศอฉ.ปี 2553 ด้วย แต่ที่ผ่านมายังไม่สามารถนำตัวนายสุเทพ มายื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลได้เนื่องจากติดการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยที่ผ่านมาดีเอสไอ ได้ขอศาลอาญาอนุมัติหมายจับนายสุเทพ เพื่อติดตามตัวมาส่งให้อัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามตัว ซึ่งคดีมีอายุความ 20 ปี
กำลังโหลดความคิดเห็น