xs
xsm
sm
md
lg

ปันผล3.6แสนล. ปตท.ยึดแชมป์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน - บจ. “SET – mai”ทำสถิติจ่ายปันผล 376 แห่งทะลุ 3.6 แสนล้านบาท เพิ่มต่อเนื่อง 6 ปีซ้อน ปตท.เบอร์หนึ่งจ่ายมากสุด ส่วนหุ้นไทยวานนี้Sell on fact หลังรัฐประกาศเลิกใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จับตาศาลพิจารณาเลือกตั้ง 2 ก.พ. และการประชุมเฟด โบรกฯคาดหากไม่หลุด 1,365 จุด จะเป็นแค่การปรับฐานเพื่อรอขึ้นต่อ ขณะที่

นางสาวปวีณา ศรีโพธิ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการกลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ณ วันที่ 14 มีนาคม 2557 มี บจ. ประกาศจ่ายเงินปันผลปี 2556 แล้ว 376 แห่ง รวม 363,130 ล้านบาท แบ่งเป็น บจ. ใน SET (ไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์) จำนวน 309 แห่ง จ่ายเงินปันผลรวม 360,145 ล้านบาท และ บจ. ใน mai จำนวน 67 แห่ง มูลค่ารวม 2,985 ล้านบาท โดยภาพรวมอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) อยู่ที่ 3.41% และอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) อยู่ที่ระดับ 46.86%

“ความไม่มั่นใจของผู้ลงทุนจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้ราคาหุ้นไทยปรับตัวลดลง แต่ผลการดำเนินงานของ บจ. กลับเติบโตได้ต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าการจ่ายเงินปันผลและอัตราเงินปันผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นและมีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นในอาเซียน นอกจากนี้ มูลค่าและอัตราการจ่ายเงินปันผล รวมถึงจำนวนบริษัทจ่ายเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ยังสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งด้านสภาพคล่องทางการเงินของ บจ. ไทย ด้วย” นางสาวปวีณากล่าว
หมวดธุรกิจที่มีการจ่ายเงินปันผลปี 2556 เพิ่มขึ้นจากปี 2555 สูงที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ หมวดธนาคาร หมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และหมวดพาณิชย์
ทั้งนี้ บจ. ที่อยู่ใน SETHD มีมูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 163,881 ลบ. คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) อยู่ที่ระดับ 40.21% และมีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) เท่ากับ 3.79%
ด้านการจ่ายหุ้นปันผล (Stock Dividend) ของ บจ. สำหรับผลประกอบการปี 2556 มีทั้งสิ้น 38 แห่ง คิดเป็นมูลค่าหุ้นปันผล ณ ราคาพาร์ 6,603 ล้านบาท
โดยบริษัทจดทะเบียนใน SET ที่จ่ายเงินปันผลสูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และ บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ทั้ง 5 บริษัทจ่ายเงินปันผลรวมทั้งหมด 133,494 ล้านบาท คิดเป็น 37.07% ของมูลค่าการจ่ายเงินปันผลใน SET
**หุ้นลบรับเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน**
ด้านตลาดหุ้นไทยวานนี้(18มี.ค.) ปิดที่ระดับ 1,373.08 จุด ลดลง 4.02 จุด หรือ -0.29% มูลค่าการซื้อขาย 41,484.87 ล้านบาท ภาพรวม Sell on fact หลังราคาหุ้นดีดตัวรับรู้ข่าวรัฐบาลประกาศยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว และยังไม่มีปัจจัยใหม่ผลักดัน โดยระหว่างวันดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,381.21 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,372.63 จุด
โดย นักลงทุนต่างประเทศ และสถาบันซื้อสุทธิ 2,001.26 ล้านบาท และ 461.47 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 1,331.57 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 1,131.16 ล้านบาท

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลง สวนทางตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวกขานรับดาวโจนส์ที่ปรับตัวขึ้นมา อย่างไรก็ตามนักลงทุนส่วนมากยังเฝ้ารอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ที่มีการประชุมในวันที่ 18-19 มี.ค.ซึ่งเชื่อว่าจะมีมติปรับวงเงินมาตรการQE3 ลงอีก จากภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯดีขึ้น

ขณะที่ปัจจัยในประเทศ แม้รัฐบาลจะประกาศเลิกใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่เชื่อว่าเป็น Sell on fact จากที่ได้เก็งไปก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, ขนส่ง มีแรงขายออกมา ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ไม่ได้ขยับเท่าไร นอกจากนี้ตลาดฯได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ช่วงสั้นนี้จึงอาจจะเป็นช่วงของการปรับฐาน
ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(19 มี.ค.) คาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวแกว่งตัวแบบไซต์เวย์ และอาจมีการปรับฐานได้บ้างในระหว่างทาง โดยจะต้องติดตามศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องการเลือกตั้ง 2 ก.พ.เป็นโมฆะหรือไม่ และมีฐานสำคัญอยู่ที่ 1,365 จุด ถ้าไม่หลุด ดัชนีจะเคลื่อนไหวแค่ปรับฐานช่วงสั้นและปรับตัวขึ้นใหม่ แต่ถ้าหลุดให้ขายตาม โดยให้แนวรับ 1,360 จุด แนวต้าน 1,385 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น