ASTV ผู้จัดการรายวัน – หุ้นไทยบวก 14 จุด นักวิเคราห์ ระบุนักลงทุนมีความคาดหวังที่รัฐบาลจะเลิกใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯหลังหมดอายุ วันที่ 23 มีนาคมที่จะถึง ขณะที่ กนง. ปรับลดดอกเบี้ย หนุนหุ้นพลังงาน อสังหาฯ กลุ่มขนส่งปรับตัวขึ้น
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (14 มีนาคม 2557) ปิที่ระดับ 1,370.50 จุด เพิ่มขึ้น 14.08 จุด มูลค่าการซื้อขาย 36,630.14 ล้านบาท เปลี่ยนแปลง +1.04% โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,056.46 ล้านบาท โดยดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,370.73 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,361.24 จุด จากแรงหนุนจากความคาดหวังที่จะเลิกใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯหลังหมดอายุ พรุ่งนี้ตลาดฯอาจมีแรงขายทำกำไรมากขึ้น พร้อมให้แนวรับ 1,350-1,360 แนวต้าน 1,370-1,380 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดวานนี้ 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ TRUE มูลค่าการซื้อขาย 2,275.81 ล้านบาท ปิดที่ 7.65 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,917.04 ล้านบาท ปิดที่ 217.00 บาท เพิ่มขึ้น 7.00 บาท IVL มูลค่าการซื้อขาย 1,701.14 ล้านบาท ปิดที่ 22.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,467.12 ล้านบาท ปิดที่ 177.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท และ AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,352.45 ล้านบาท ปิดที่ 196.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท
นายนพดล พิริยวุฒิ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ธนชาต กล่าวว่า ภาพรวมของดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากประเด็นข่าวกรณีศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ยกเลิกการประกาศใช้ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 23 มีนาคมนี้ โดยคาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะนำเรื่องเสนอต่อนายกรัฐมนตรีได้ ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มขนส่ง เช่น บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ AOT ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งดัชนีฯ ได้ปรับตัวขึ้นสูงตั้งแต่เปิดตลาด
นอกจากนี้ ยังมีหุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเลือกซื้อลงทุนเป็นรายตัว จากการเก็งกำไรตามเศรษฐกิจโลกและการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ที่มีมติลดอัตราดอกเบี้ยลงตามลำดับ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ขาย เมื่อดัชนีฯปรับตัวขึ้นแรง
ขณะที่น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุวันนี้ ดัชนีอาจมีแรงขายทำกำไร ตามตลาดหุ้นในภูมิภาค เนื่งอจาก ตัวเลข Industrial Production ของจีนออกมาต่ำกว่าคาดด้วย ทำให้ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่จะอ่อนตัวลง อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ในยูเครน และเศรษฐกิจของจีนอย่างใกล้ชิด
ส่วนปัจจัยในประเทศยังมีแรงหนุนจากเรื่องพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯที่จะหมดอายุลง ซึ่งคาดหวังว่าคงจะปล่อยให้หมดอายุไปโดยไม่มีการต่ออายุ อย่างไรก็ตามตลาดบ้านเราได้ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว และขณะนี้ก็ยังไม่ผ่านแนวต้านสำคัญที่ 1,370 จุดได้ นักลงทุนจึงควรระมัดระวังการลงทุนด้วย พร้อมแนะกลยุทธ์การลงทุนสำหรับนักลงทุนระยสั้น เข้า – ออกตามแนวรับ 1,350-1,360 จุด แนวต้าน 1,370-1,380 จุด ส่วนนักลงทุนระยะกลาง – ยาว ถือเงินสดเข้ารับหุ้นรายตัวตามแนวรับจิตวิทยา
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (14 มีนาคม 2557) ปิที่ระดับ 1,370.50 จุด เพิ่มขึ้น 14.08 จุด มูลค่าการซื้อขาย 36,630.14 ล้านบาท เปลี่ยนแปลง +1.04% โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,056.46 ล้านบาท โดยดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,370.73 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,361.24 จุด จากแรงหนุนจากความคาดหวังที่จะเลิกใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯหลังหมดอายุ พรุ่งนี้ตลาดฯอาจมีแรงขายทำกำไรมากขึ้น พร้อมให้แนวรับ 1,350-1,360 แนวต้าน 1,370-1,380 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดวานนี้ 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ TRUE มูลค่าการซื้อขาย 2,275.81 ล้านบาท ปิดที่ 7.65 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,917.04 ล้านบาท ปิดที่ 217.00 บาท เพิ่มขึ้น 7.00 บาท IVL มูลค่าการซื้อขาย 1,701.14 ล้านบาท ปิดที่ 22.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,467.12 ล้านบาท ปิดที่ 177.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท และ AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,352.45 ล้านบาท ปิดที่ 196.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท
นายนพดล พิริยวุฒิ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ธนชาต กล่าวว่า ภาพรวมของดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากประเด็นข่าวกรณีศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ยกเลิกการประกาศใช้ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 23 มีนาคมนี้ โดยคาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะนำเรื่องเสนอต่อนายกรัฐมนตรีได้ ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มขนส่ง เช่น บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ AOT ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งดัชนีฯ ได้ปรับตัวขึ้นสูงตั้งแต่เปิดตลาด
นอกจากนี้ ยังมีหุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเลือกซื้อลงทุนเป็นรายตัว จากการเก็งกำไรตามเศรษฐกิจโลกและการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ที่มีมติลดอัตราดอกเบี้ยลงตามลำดับ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ขาย เมื่อดัชนีฯปรับตัวขึ้นแรง
ขณะที่น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุวันนี้ ดัชนีอาจมีแรงขายทำกำไร ตามตลาดหุ้นในภูมิภาค เนื่งอจาก ตัวเลข Industrial Production ของจีนออกมาต่ำกว่าคาดด้วย ทำให้ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่จะอ่อนตัวลง อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ในยูเครน และเศรษฐกิจของจีนอย่างใกล้ชิด
ส่วนปัจจัยในประเทศยังมีแรงหนุนจากเรื่องพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯที่จะหมดอายุลง ซึ่งคาดหวังว่าคงจะปล่อยให้หมดอายุไปโดยไม่มีการต่ออายุ อย่างไรก็ตามตลาดบ้านเราได้ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว และขณะนี้ก็ยังไม่ผ่านแนวต้านสำคัญที่ 1,370 จุดได้ นักลงทุนจึงควรระมัดระวังการลงทุนด้วย พร้อมแนะกลยุทธ์การลงทุนสำหรับนักลงทุนระยสั้น เข้า – ออกตามแนวรับ 1,350-1,360 จุด แนวต้าน 1,370-1,380 จุด ส่วนนักลงทุนระยะกลาง – ยาว ถือเงินสดเข้ารับหุ้นรายตัวตามแนวรับจิตวิทยา
