บอกตรงๆ ว่า แม้ผมจะยืนอยู่ตรงข้ามกับระบอบทักษิณ และยังต่อสู้กับระบอบทักษิณอย่างไม่ย่อท้อและลดละ แต่ผมก็มองกลับไปอีกด้านหนึ่งของสังคมที่เป็นฟากฝั่งตรงข้าม เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ความขัดแย้งในสังคมไทยวันนี้ 2 ฝ่ายที่ดุลใกล้เคียงกัน แบ่งกันเป็นครึ่งๆ ของประเทศก็แทบจะว่าได้
เราต้องไม่ลืมว่า มวลชนของระบอบทักษิณก็เป็นพลเมืองไทยเหมือนกัน และรู้สึกสงสารมวลชนเหล่านั้นที่เข้าใจว่าทักษิณเป็นเทพเจ้าองค์ใหม่ที่ลงมาดับทุกข์เข็ญของแผ่นดินจะนำพวกเขาไปสู่ความกินดีอยู่ดี อยากมองหาหนทางว่า ทำอย่างไรเพื่อให้พวกเขาหลุดพ้นจากทักษิณ
ในขณะที่ระหว่างทักษิณมีอำนาจนั้นบริษัทธุรกิจของเขาเติบโตขึ้น โดยออกนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเอง เช่น แปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ให้แก่ บจก.ชินคอร์ป ใช้อำนาจแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายให้ ทศท จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (มือถือ) แบบบัตรเติมเงิน หรือ Prepaid Card ให้บริษัทเอไอเอสเป็น 20% จากเดิมที่ต้องจ่ายแบบอัตราก้าวหน้าในอัตรา 25-30%
ทักษิณแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป และเอไอเอส โดยแก้ไขให้เอไอเอสเข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นที่มีผลให้เอไอเอสไม่ต้องจ่ายเงินกว่า 18,970,579,711 บาท ให้แก่ ทศท และ กสท
ทักษิณใช้อำนาจอนุมัติโครงการยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน การอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ เอื้อประโยชน์บริษัทชินคอร์ป และ บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด
ทักษิณอนุมัติให้รัฐบาลพม่ากู้เงินเอ็กซิมแบงก์จำนวน 4,000 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน และขยายเวลาปลอดการชำระหนี้จาก 2 เป็น 5 ปี เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การพัฒนาระบบโทรคมนาคมของพม่าจากชินแซทฯ
แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องซับซ้อนสำหรับประชาชนคนรากหญ้าที่เขาได้รับประโยชน์จากนโยบายประชานิยมของทักษิณ เช่น กองทุนหมู่บ้าน และ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเป็นนโยบายที่ใช้เงินของรัฐไปสร้างความนิยมในหมู่ประชาชน และถูกกล่าวขานกันว่าเป็นประชาธิปไตยที่กินได้ ทักษิณหาประโยชน์จากการใช้นโยบายของรัฐทั้งผูกใจประชาชนและหาผลประโยชน์เข้าสู่ธุรกิจของตัวเอง
การเอาเงินของรัฐไปซื้อใจประชาชนผ่านนโยบายประชานิยมนี่เองที่ทำให้ทักษิณเข้าถึงหัวใจของคนชนบทคนยากจนที่ไม่เคยเข้าถึงนโยบายของรัฐมาก่อน โดยไม่ได้สนใจว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่ทักษิณหยิบยื่นให้ประชาชนนั้นเป็นเพียงเศษเนื้อเมื่อเทียบที่ทักษิณกอบโกยไปจากรัฐ
เมื่อทักษิณถูกคนอีกกลุ่มหนึ่งในสังคมซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง คนเมือง คนมีการศึกษาชี้หน้าว่า โกงทุจริตคอร์รัปชัน ก็เลยเกิดทัศนคติใหม่ของสังคมขึ้นมาว่า โกงไม่เป็นไรถ้ามีผลงาน หรือถ้าตัวเองได้ประโยชน์ด้วย ฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณก็เขียนนิยายเรื่องไพร่กับอำมาตย์ ชนชั้นนำใหม่ชนชั้นนำเก่าขึ้น เพื่อให้ทักษิณเป็นพระเอกที่ถูกรังแก อิจฉาริษยาเหมือนกับในละครน้ำเน่า พล็อตเรื่องแบบละครหลังข่าวนี้ถูกจริตคนรากหญ้าจนเชื่อว่า ทักษิณถูกกลั่นแกล้งและรังแกจริง
นักวิชาการปัญญาชนฝ่ายซ้ายเก่าที่ได้ประโยชน์และทำมาหากินกับระบอบทักษิณ ก็ช่วยกันประโคมทฤษฎีชนชั้นนี้ กระทั่งนักวิชาการซ้ายที่ฝังใจเกลียดชังระบอบกษัตริย์เข้าไปร่วมมือด้วย เพราะเห็นว่าศรัทธาของประชาชนที่มีต่อทักษิณนั้นสามารถสั่นคลอนสถาบันกษัตริย์ที่พวกเขาเกลียดชังได้
ขบวนการต่อต้านทักษิณซึ่งเกิดขึ้นเพราะเห็นว่า ระบอบทักษิณมีความชั่วช้ากัดกินประเทศจึงถูกลากโยงเข้าไปผูกเรื่องว่า เป็นเครื่องมือของอำนาจเก่าหรือชนชั้นนำเก่าซึ่งอิจฉาทักษิณที่ทำให้คนชั้นล่างกินดีอยู่ดีขึ้น
กระบวนการยุติธรรมที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับชนชั้นล่างอยู่แล้ว ถูกหยิบมาเป็นเครื่องมือในการอธิบายว่า เป็นสองมาตรฐานในคดีที่ทักษิณถูกตัดสินให้แพ้ ต้องจริตกับคนชั้นล่างที่มีความเชื่อว่าตัวเองไม่สามารถพึ่งพากับกระบวนการยุติธรรมได้ และมักจะเห็นหลายคดีที่คนรวยหลุดพ้นคดีเมื่อเทียบกับคนยากจน จนเป็นสะเก็ดแผลตอกย้ำอยู่ในหัวใจอยู่แล้ว ก็ยิ่งเชื่อสนิทว่าทักษิณถูกกลั่นแกล้งและรังแก
คนชนบทที่ปลูกฝังอยู่กับระบบอุปถัมภ์และซื่อสัตย์ต่อผู้อุปถัมภ์เป็นค่านิยมเดิมอยู่แล้ว จึงมองทักษิณเหมือนเป็นผู้อุปถัมภ์รายใหม่ที่พวกเขาต้องภักดี ทักษิณเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่ที่สว่างไสว เมื่อบวกกับพล็อตเรื่องไพร่อำมาตย์ชนชั้นนำเก่าชนชั้นนำใหม่อิจฉาริษยาเข้าไปด้วยแล้ว ความเห็นอกเห็นใจทักษิณจึงมีมากขึ้นและเห็นว่าทักษิณให้ประโยชน์ต่อพวกเขามากกว่า เมื่อเทียบกับชนชั้นนำเก่าที่พวกเขาซุบซิบกันว่าเป็นใคร
การที่ทักษิณถูกกลั่นแกล้งจึงเหมือนกับกลั่นแกล้งคนยากคนจนด้วย เมื่อบวกกับความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาและความอยุติธรรมที่มักได้จากผู้มีอำนาจ ความรู้สึกตายแทนทักษิณได้ก็เกิดขึ้น และทักษิณก็แสดงให้เห็นถึงน้ำใจของเขาด้วยการตอบแทนคนที่มาตายแทนเขาด้วยเงินสูงถึงรายละ 7.75 ล้านบาท ยิ่งสร้างความผูกพันให้กับทักษิณและคนรากหญ้ามากขึ้น บวกกับฉากที่เขียนขึ้นให้ผู้เสียชีวิตเป็นวีรบุรุษประชาธิปไตยด้วยแล้ว ยิ่งถูกมองว่าการตายของพวกเขาเป็นการตายอันสูงส่ง
และไม่ใช่ตายฟรีเพราะตายแล้วได้เงินด้วย ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วตายเพื่อผลประโยชน์ของทักษิณและคนในตระกูลชินวัตรเท่านั้นเอง
ในขณะที่เราเป็นมวลมหาประชาชนผู้ตื่นรู้และมองเห็นมหันตภัยของระบอบทักษิณ เราต้องไม่ลืมว่า คนเหล่านี้ที่เขาภักดีต่อทักษิณเป็นคนอีกครึ่งหนึ่งของประเทศ ดังนั้นโจทย์ข้อใหญ่ของมวลมหาประชาชนก็คือ ทำอย่างไรให้คนเหล่านั้นมองเห็นความชั่วร้ายของระบอบทักษิณ และนโยบายประชานิยมยาพิษที่ทักษิณป้อนให้ เราจะเดินไปข้างหน้า เราจะเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศโดยทอดทิ้งคนกลุ่มนี้ไม่ได้ และถ้าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนเหล่านี้ได้ ทักษิณและบริวารก็จะใช้คนเหล่านี้นี่แหละให้มาประจันหน้ากับเรา แล้วถึงวันนั้นคนไทยก็ลุกมาฆ่ากันเอง
เหมือนที่แกนนำ นปช.กำลังปลุกปั่นคนเสื้อแดงลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับมวลมหาประชาชน จัดตั้งกองกำลังขึ้นมาโดยอ้างว่า เพื่อปกป้องประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่จริงแล้วประชาธิปไตยของพวกเขาก็คือ ทักษิณนั่นเอง โดยที่แกนนำ นปช.เหล่านั้นหาประโยชน์เอาจากทักษิณอีกทอดหนึ่ง ดังที่ปรากฏใบเสร็จการเบิกเงินหลุดรอดออกมาให้เห็น
ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือ เราต้องตระหนักว่า ประชาชนไทย 70 ล้านคนจะอยู่ร่วมกันอย่างไร โจทย์ต่อการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วมกันของคนไทยทั้งหมดไม่ใช่สีเสื้อใดสีเสื้อหนึ่ง
ต้องทำให้คนเสื้อแดงเห็นว่า ทักษิณไม่ได้ให้คุณค่าต่อชีวิตของพวกเขา เพียงแต่เอาศพของพวกเขามากองสุมเพื่อทวงทรัพย์สินและอำนาจของตัวเองคืนเท่านั้นเอง
เราต้องไม่ลืมว่า มวลชนของระบอบทักษิณก็เป็นพลเมืองไทยเหมือนกัน และรู้สึกสงสารมวลชนเหล่านั้นที่เข้าใจว่าทักษิณเป็นเทพเจ้าองค์ใหม่ที่ลงมาดับทุกข์เข็ญของแผ่นดินจะนำพวกเขาไปสู่ความกินดีอยู่ดี อยากมองหาหนทางว่า ทำอย่างไรเพื่อให้พวกเขาหลุดพ้นจากทักษิณ
ในขณะที่ระหว่างทักษิณมีอำนาจนั้นบริษัทธุรกิจของเขาเติบโตขึ้น โดยออกนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเอง เช่น แปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ให้แก่ บจก.ชินคอร์ป ใช้อำนาจแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายให้ ทศท จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (มือถือ) แบบบัตรเติมเงิน หรือ Prepaid Card ให้บริษัทเอไอเอสเป็น 20% จากเดิมที่ต้องจ่ายแบบอัตราก้าวหน้าในอัตรา 25-30%
ทักษิณแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป และเอไอเอส โดยแก้ไขให้เอไอเอสเข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นที่มีผลให้เอไอเอสไม่ต้องจ่ายเงินกว่า 18,970,579,711 บาท ให้แก่ ทศท และ กสท
ทักษิณใช้อำนาจอนุมัติโครงการยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน การอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ เอื้อประโยชน์บริษัทชินคอร์ป และ บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด
ทักษิณอนุมัติให้รัฐบาลพม่ากู้เงินเอ็กซิมแบงก์จำนวน 4,000 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน และขยายเวลาปลอดการชำระหนี้จาก 2 เป็น 5 ปี เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การพัฒนาระบบโทรคมนาคมของพม่าจากชินแซทฯ
แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องซับซ้อนสำหรับประชาชนคนรากหญ้าที่เขาได้รับประโยชน์จากนโยบายประชานิยมของทักษิณ เช่น กองทุนหมู่บ้าน และ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเป็นนโยบายที่ใช้เงินของรัฐไปสร้างความนิยมในหมู่ประชาชน และถูกกล่าวขานกันว่าเป็นประชาธิปไตยที่กินได้ ทักษิณหาประโยชน์จากการใช้นโยบายของรัฐทั้งผูกใจประชาชนและหาผลประโยชน์เข้าสู่ธุรกิจของตัวเอง
การเอาเงินของรัฐไปซื้อใจประชาชนผ่านนโยบายประชานิยมนี่เองที่ทำให้ทักษิณเข้าถึงหัวใจของคนชนบทคนยากจนที่ไม่เคยเข้าถึงนโยบายของรัฐมาก่อน โดยไม่ได้สนใจว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่ทักษิณหยิบยื่นให้ประชาชนนั้นเป็นเพียงเศษเนื้อเมื่อเทียบที่ทักษิณกอบโกยไปจากรัฐ
เมื่อทักษิณถูกคนอีกกลุ่มหนึ่งในสังคมซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง คนเมือง คนมีการศึกษาชี้หน้าว่า โกงทุจริตคอร์รัปชัน ก็เลยเกิดทัศนคติใหม่ของสังคมขึ้นมาว่า โกงไม่เป็นไรถ้ามีผลงาน หรือถ้าตัวเองได้ประโยชน์ด้วย ฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณก็เขียนนิยายเรื่องไพร่กับอำมาตย์ ชนชั้นนำใหม่ชนชั้นนำเก่าขึ้น เพื่อให้ทักษิณเป็นพระเอกที่ถูกรังแก อิจฉาริษยาเหมือนกับในละครน้ำเน่า พล็อตเรื่องแบบละครหลังข่าวนี้ถูกจริตคนรากหญ้าจนเชื่อว่า ทักษิณถูกกลั่นแกล้งและรังแกจริง
นักวิชาการปัญญาชนฝ่ายซ้ายเก่าที่ได้ประโยชน์และทำมาหากินกับระบอบทักษิณ ก็ช่วยกันประโคมทฤษฎีชนชั้นนี้ กระทั่งนักวิชาการซ้ายที่ฝังใจเกลียดชังระบอบกษัตริย์เข้าไปร่วมมือด้วย เพราะเห็นว่าศรัทธาของประชาชนที่มีต่อทักษิณนั้นสามารถสั่นคลอนสถาบันกษัตริย์ที่พวกเขาเกลียดชังได้
ขบวนการต่อต้านทักษิณซึ่งเกิดขึ้นเพราะเห็นว่า ระบอบทักษิณมีความชั่วช้ากัดกินประเทศจึงถูกลากโยงเข้าไปผูกเรื่องว่า เป็นเครื่องมือของอำนาจเก่าหรือชนชั้นนำเก่าซึ่งอิจฉาทักษิณที่ทำให้คนชั้นล่างกินดีอยู่ดีขึ้น
กระบวนการยุติธรรมที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับชนชั้นล่างอยู่แล้ว ถูกหยิบมาเป็นเครื่องมือในการอธิบายว่า เป็นสองมาตรฐานในคดีที่ทักษิณถูกตัดสินให้แพ้ ต้องจริตกับคนชั้นล่างที่มีความเชื่อว่าตัวเองไม่สามารถพึ่งพากับกระบวนการยุติธรรมได้ และมักจะเห็นหลายคดีที่คนรวยหลุดพ้นคดีเมื่อเทียบกับคนยากจน จนเป็นสะเก็ดแผลตอกย้ำอยู่ในหัวใจอยู่แล้ว ก็ยิ่งเชื่อสนิทว่าทักษิณถูกกลั่นแกล้งและรังแก
คนชนบทที่ปลูกฝังอยู่กับระบบอุปถัมภ์และซื่อสัตย์ต่อผู้อุปถัมภ์เป็นค่านิยมเดิมอยู่แล้ว จึงมองทักษิณเหมือนเป็นผู้อุปถัมภ์รายใหม่ที่พวกเขาต้องภักดี ทักษิณเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่ที่สว่างไสว เมื่อบวกกับพล็อตเรื่องไพร่อำมาตย์ชนชั้นนำเก่าชนชั้นนำใหม่อิจฉาริษยาเข้าไปด้วยแล้ว ความเห็นอกเห็นใจทักษิณจึงมีมากขึ้นและเห็นว่าทักษิณให้ประโยชน์ต่อพวกเขามากกว่า เมื่อเทียบกับชนชั้นนำเก่าที่พวกเขาซุบซิบกันว่าเป็นใคร
การที่ทักษิณถูกกลั่นแกล้งจึงเหมือนกับกลั่นแกล้งคนยากคนจนด้วย เมื่อบวกกับความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาและความอยุติธรรมที่มักได้จากผู้มีอำนาจ ความรู้สึกตายแทนทักษิณได้ก็เกิดขึ้น และทักษิณก็แสดงให้เห็นถึงน้ำใจของเขาด้วยการตอบแทนคนที่มาตายแทนเขาด้วยเงินสูงถึงรายละ 7.75 ล้านบาท ยิ่งสร้างความผูกพันให้กับทักษิณและคนรากหญ้ามากขึ้น บวกกับฉากที่เขียนขึ้นให้ผู้เสียชีวิตเป็นวีรบุรุษประชาธิปไตยด้วยแล้ว ยิ่งถูกมองว่าการตายของพวกเขาเป็นการตายอันสูงส่ง
และไม่ใช่ตายฟรีเพราะตายแล้วได้เงินด้วย ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วตายเพื่อผลประโยชน์ของทักษิณและคนในตระกูลชินวัตรเท่านั้นเอง
ในขณะที่เราเป็นมวลมหาประชาชนผู้ตื่นรู้และมองเห็นมหันตภัยของระบอบทักษิณ เราต้องไม่ลืมว่า คนเหล่านี้ที่เขาภักดีต่อทักษิณเป็นคนอีกครึ่งหนึ่งของประเทศ ดังนั้นโจทย์ข้อใหญ่ของมวลมหาประชาชนก็คือ ทำอย่างไรให้คนเหล่านั้นมองเห็นความชั่วร้ายของระบอบทักษิณ และนโยบายประชานิยมยาพิษที่ทักษิณป้อนให้ เราจะเดินไปข้างหน้า เราจะเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศโดยทอดทิ้งคนกลุ่มนี้ไม่ได้ และถ้าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนเหล่านี้ได้ ทักษิณและบริวารก็จะใช้คนเหล่านี้นี่แหละให้มาประจันหน้ากับเรา แล้วถึงวันนั้นคนไทยก็ลุกมาฆ่ากันเอง
เหมือนที่แกนนำ นปช.กำลังปลุกปั่นคนเสื้อแดงลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับมวลมหาประชาชน จัดตั้งกองกำลังขึ้นมาโดยอ้างว่า เพื่อปกป้องประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่จริงแล้วประชาธิปไตยของพวกเขาก็คือ ทักษิณนั่นเอง โดยที่แกนนำ นปช.เหล่านั้นหาประโยชน์เอาจากทักษิณอีกทอดหนึ่ง ดังที่ปรากฏใบเสร็จการเบิกเงินหลุดรอดออกมาให้เห็น
ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือ เราต้องตระหนักว่า ประชาชนไทย 70 ล้านคนจะอยู่ร่วมกันอย่างไร โจทย์ต่อการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วมกันของคนไทยทั้งหมดไม่ใช่สีเสื้อใดสีเสื้อหนึ่ง
ต้องทำให้คนเสื้อแดงเห็นว่า ทักษิณไม่ได้ให้คุณค่าต่อชีวิตของพวกเขา เพียงแต่เอาศพของพวกเขามากองสุมเพื่อทวงทรัพย์สินและอำนาจของตัวเองคืนเท่านั้นเอง