วานนี้ (9 มี.ค.) ที่โรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ เครือข่ายแพทย์บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุข นำโดย นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุทัศน์ ศรีวิไล ประธานชมรมผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป และ ดร.กฤษดา แสวงดี อุปนายกสภาการพยาบาล เดินทางเข้าพบ และให้กำลังใจ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ ภายหลังเกิดเหตุยิงโรงพยาบาล เมื่อคืนวันที่ 7 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยกระสุนทะลุกระจกชั้น 7 อาคาร เอ บริเวณห้องผ่าตัด จำนวน 2 นัด ซึ่งไม่มีใครได้รับบาดเจ็บนั้น
พล.ต.นพ.เหรียญทอง กล่าวว่า ติดตามสถานการณ์การชุมนุมมาอย่างต่อเนื่อง และพบว่า ความรุนแรงเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แม้โรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ จะเป็นโรงพยาบาลเอกชน แต่ให้ความช่วยเหลือสธ. ดูแลผู้บาดเจ็บ ซึ่งตั้งแต่มีการตั้งพื้นที่ชุมนุมบริเวณแจ้งวัฒนะ ก็มีเหตุเกิดขึ้นแทบทุกวัน แต่ก็ไม่เคยคิดว่าโรงพยาบาลจะเป็นเป้าหมายด้วย ซึ่งบริเวณที่ถูกยิง อาคารหันหน้าไปทางแยกหลักสี่ และตรงกับพื้นที่รกร้างด้านซอยแจ้งวัฒนะ 12 ซึ่งจุดนี้ เคยมีข้อสงสัยว่า เป็นบริเวณที่มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่พื้นที่การชุมนุมที่แจ้งวัฒนะ
อย่างไรก็ตาม นับว่าโชคดีที่กระจกของโรงพยาบาลมีการติดฟิลม์ และเป็นกระจกนิรภัย ทำให้กระจกไม่ได้แตกทั้งบาน และคาดว่ากระสุนเป็นแบบชนิดปืนเล็กยาว มีความเร็วสูง เมื่อเจาะทะลุเข้ามาก็จะเจอกับกำแพงอีกชั้น ซึ่งเป็นบริเวณระเบียงล้อมรอบทำให้กระสุนแฉลบขึ้นทะลุเพดานจึงไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้หน่วยทำลายล้างของกองทัพบก เข้ามาเก็บหลักฐานแล้ว
"ห่วงที่สุดขณะนี้ไม่ใช่ตัวเอง แต่หนักใจกับสิ่งที่จะเกิดกับประชาชนต่อจากนี้ ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะความรุนแรงได้พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และถึงแม้จะเป็นโรงพยาบาลเอกชน แต่ก็ให้การรักษาทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม ผมเคยเป็นทหาร เคยให้คำสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าธงชัยเฉลิมพล ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินนี้ เราจึงหนีความรับผิดชอบต่อประเทศร่วมกันไม่ได้”พล.ต.เหรียญทอง กล่าว
ด้าน นพ.สุทัศน์ กล่าวว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดทั้งการขู่ปลดป้ายที่เขียนว่า “ไม่เอาคอร์รัปชัน ไม่เอาความรุนแรง”หรือ การนำโลงศพเผาหน้าโรงพยาบาลนั้น ถือเป็นการคุมคาม กระทบขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ และประชาชนอย่างมาก โดยจะมีการหารือเพื่อวางแผนเรื่องการสร้างความปลอดภัยของโรงพยาบาลต่อไป อย่างไรก็ตาม การขึ้นป้ายข้อความดังกล่าว ถือเป็นเรื่องต้องดีใจว่า จะมีการการกระทำเช่นนั้นเกิดขึ้น
ขณะที่ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข ได้ทำหนังสือ สั่งการให้ปลัดกระทรวง พิจารณาในเรื่องการติดป้ายที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของระบบราชการ ว่า เชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้น เป็นไปตามสิทธิ หน้าที่ เป็นการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญที่ระบุไว้ว่า บุคคลสามารถมีสิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงออก แต่ต้องไม่กระทบกับสิทธิเสรีภาพผู้อื่น รวมทั้งการให้บริการสาธารณะ ซึ่งโดยสิ่งที่เครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์ฯ แสดงออก มีเพียง 2 ประเด็น คือไม่เอาความรุนแรง และไม่เอาคอรัปชัน แต่ยังให้บริการประชาชนทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม และยังยืนยันว่า จะปฏิบัติตามเจตนารมย์นี้ต่อไป เพราะฉะนั้น อยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจในวัตถุประสงค์ และการแสดงออกด้วยความรุนแรง คุกคาม จำเป็นต้องคิดให้ดี มิฉะนั้นอาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ว่า สามารถยอมรับความรุนแรง และการคอร์รัปชันได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายแพทย์ฯ ได้ออกแถลงการณ์ ประณามความรุนแรงที่พุ่งเป้าต่อสถานพยาบาล และองค์กรอิสระ มีใจความสำคัญว่า ช่วงตลอด 2 สัปดาห์ เกิดเหตุความรุนแรง คุมคาม พุ่งเป้ามายังสถานบริการสาธารณสุข ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด รวมทั้งองค์กรอิสระ ตั้งแต่การปิดล้อม คุกคาม ข่มขู่ตัดน้ำตัดไฟ ไปจนถึงขว้างระเบิด และยิงปืนใส่อาคารโรงพยาบาล ซึ่งกระทบต่อขวัญกำลังใจของบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่มารับบริการเป็น อย่างยิ่ง
"การก่อเหตุกับสถานพยาบาล ถือเป็นการไม่คำนึงถึงหลักปฏิบัติสากล แม้ในยามสงครามก็จะไม่มีการโจมตีสถานพยาบาล ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่ทั่วโลกใช้ และสถานพยาบาลก็มีหน้าดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียม ซึ่งการปล่อยให้ความรุนแรงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกถือเป็นความล้มเหลวของระบบการรักษาความสงบสุขของสังคม และเป็นความเลวร้าของผู้ก่อเหตุที่ขาดจิตสำนึกขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์" แถลงการณ์ระบุ
พล.ต.นพ.เหรียญทอง กล่าวว่า ติดตามสถานการณ์การชุมนุมมาอย่างต่อเนื่อง และพบว่า ความรุนแรงเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แม้โรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ จะเป็นโรงพยาบาลเอกชน แต่ให้ความช่วยเหลือสธ. ดูแลผู้บาดเจ็บ ซึ่งตั้งแต่มีการตั้งพื้นที่ชุมนุมบริเวณแจ้งวัฒนะ ก็มีเหตุเกิดขึ้นแทบทุกวัน แต่ก็ไม่เคยคิดว่าโรงพยาบาลจะเป็นเป้าหมายด้วย ซึ่งบริเวณที่ถูกยิง อาคารหันหน้าไปทางแยกหลักสี่ และตรงกับพื้นที่รกร้างด้านซอยแจ้งวัฒนะ 12 ซึ่งจุดนี้ เคยมีข้อสงสัยว่า เป็นบริเวณที่มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่พื้นที่การชุมนุมที่แจ้งวัฒนะ
อย่างไรก็ตาม นับว่าโชคดีที่กระจกของโรงพยาบาลมีการติดฟิลม์ และเป็นกระจกนิรภัย ทำให้กระจกไม่ได้แตกทั้งบาน และคาดว่ากระสุนเป็นแบบชนิดปืนเล็กยาว มีความเร็วสูง เมื่อเจาะทะลุเข้ามาก็จะเจอกับกำแพงอีกชั้น ซึ่งเป็นบริเวณระเบียงล้อมรอบทำให้กระสุนแฉลบขึ้นทะลุเพดานจึงไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้หน่วยทำลายล้างของกองทัพบก เข้ามาเก็บหลักฐานแล้ว
"ห่วงที่สุดขณะนี้ไม่ใช่ตัวเอง แต่หนักใจกับสิ่งที่จะเกิดกับประชาชนต่อจากนี้ ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะความรุนแรงได้พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และถึงแม้จะเป็นโรงพยาบาลเอกชน แต่ก็ให้การรักษาทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม ผมเคยเป็นทหาร เคยให้คำสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าธงชัยเฉลิมพล ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินนี้ เราจึงหนีความรับผิดชอบต่อประเทศร่วมกันไม่ได้”พล.ต.เหรียญทอง กล่าว
ด้าน นพ.สุทัศน์ กล่าวว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดทั้งการขู่ปลดป้ายที่เขียนว่า “ไม่เอาคอร์รัปชัน ไม่เอาความรุนแรง”หรือ การนำโลงศพเผาหน้าโรงพยาบาลนั้น ถือเป็นการคุมคาม กระทบขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ และประชาชนอย่างมาก โดยจะมีการหารือเพื่อวางแผนเรื่องการสร้างความปลอดภัยของโรงพยาบาลต่อไป อย่างไรก็ตาม การขึ้นป้ายข้อความดังกล่าว ถือเป็นเรื่องต้องดีใจว่า จะมีการการกระทำเช่นนั้นเกิดขึ้น
ขณะที่ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข ได้ทำหนังสือ สั่งการให้ปลัดกระทรวง พิจารณาในเรื่องการติดป้ายที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของระบบราชการ ว่า เชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้น เป็นไปตามสิทธิ หน้าที่ เป็นการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญที่ระบุไว้ว่า บุคคลสามารถมีสิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงออก แต่ต้องไม่กระทบกับสิทธิเสรีภาพผู้อื่น รวมทั้งการให้บริการสาธารณะ ซึ่งโดยสิ่งที่เครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์ฯ แสดงออก มีเพียง 2 ประเด็น คือไม่เอาความรุนแรง และไม่เอาคอรัปชัน แต่ยังให้บริการประชาชนทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม และยังยืนยันว่า จะปฏิบัติตามเจตนารมย์นี้ต่อไป เพราะฉะนั้น อยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจในวัตถุประสงค์ และการแสดงออกด้วยความรุนแรง คุกคาม จำเป็นต้องคิดให้ดี มิฉะนั้นอาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ว่า สามารถยอมรับความรุนแรง และการคอร์รัปชันได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายแพทย์ฯ ได้ออกแถลงการณ์ ประณามความรุนแรงที่พุ่งเป้าต่อสถานพยาบาล และองค์กรอิสระ มีใจความสำคัญว่า ช่วงตลอด 2 สัปดาห์ เกิดเหตุความรุนแรง คุมคาม พุ่งเป้ามายังสถานบริการสาธารณสุข ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด รวมทั้งองค์กรอิสระ ตั้งแต่การปิดล้อม คุกคาม ข่มขู่ตัดน้ำตัดไฟ ไปจนถึงขว้างระเบิด และยิงปืนใส่อาคารโรงพยาบาล ซึ่งกระทบต่อขวัญกำลังใจของบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่มารับบริการเป็น อย่างยิ่ง
"การก่อเหตุกับสถานพยาบาล ถือเป็นการไม่คำนึงถึงหลักปฏิบัติสากล แม้ในยามสงครามก็จะไม่มีการโจมตีสถานพยาบาล ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่ทั่วโลกใช้ และสถานพยาบาลก็มีหน้าดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียม ซึ่งการปล่อยให้ความรุนแรงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกถือเป็นความล้มเหลวของระบบการรักษาความสงบสุขของสังคม และเป็นความเลวร้าของผู้ก่อเหตุที่ขาดจิตสำนึกขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์" แถลงการณ์ระบุ