เครือข่ายบุคลากรแพทย์ สธ.แถลงการณ์ประณามใช้ความรุนแรงต่อสถานพยาบาล จวกคนทำไร้สำนึกพื้นฐานความเป็นมนุษย์ ทำในสิ่งที่ทั่วโลกถือปฏิบัติเป็นหลักสากลไม่ทำร้ายสถานพยาบาลแม้แต่ยามศึกสงคราม ด้าน ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ เผยไม่คาดฝัน รพ.จะเป็นเป้าหมาย ลั่นแม้เป็น รพ.เอกชน แต่ดูแลทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมทั้งดูแลผู้บาดเจ็บพื้นที่แจ้งวัฒนะมาตลอด รับหนักใจหวั่นความรุนแรงจะพัฒนามากกว่านี้ ขณะที่ ประธานชมรม รพ.ศูนย์ฯ ระบุการคุกคามต่างๆ กระทบต่อขวัญกำลังใจบุคลากร เล็งวางแผนกำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัย ขณะที่ “หมอณรงค์” ย้ำการขึ้นป้ายของ รพ.แสดงออกเพียงไม่ต้องการคอร์รัปชัน และ ไม่เอาความรุนแรง ย้ำทำตามสิทธิ เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
วันนี้ (9 มี.ค.) ที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เครือข่ายแพทย์บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข นำโดย นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุทัศน์ ศรีวิไล ประธานชมรมผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และ ดร.กฤษดา แสวงดี อุปนายกสภาการพยาบาล เดินทางเข้าพบและให้กำลังใจ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ภายหลังเกิดเหตุยิงโรงพยาบาล เมื่อคืนวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยกระสุนทะลุกระจกชั้น 7 อาคารเอ บริเวณห้องผ่าตัด จำนวน 2 นัด ซึ่งไม่มีใครได้รับบาดเจ็บนั้น
พล.ต.นพ.เหรียญทอง กล่าวว่า ติดตามสถานการณ์การชุมนุมมาอย่างต่อเนื่อง และพบว่าความรุนแรงเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แม้โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ จะเป็นโรงพยาบาลเอกชน แต่ให้ความช่วยเหลือ สธ.ดูแลผู้บาดเจ็บซึ่งตั้งแต่มีการตั้งพื้นที่ชุมนุมบริเวณแจ้งวัฒนะก็มีเหตุเกิดขึ้นแทบทุกวัน แต่ก็ไม่เคยคิดว่าโรงพยาบาลจะเป็นเป้าหมายด้วย ซึ่งบริเวณที่ถูกยิงอาคารหันหน้าไปทางแยกหลักสี่ และตรงกับพื้นที่รกร้างด้านซอยแจ้งวัฒนะ 12 ซึ่งจุดนี้เคยมีข้อสงสัยว่า เป็นบริเวณที่มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่พื้นที่การชุมนุมที่แจ้งวัฒนะ อย่างไรก็ตาม นับว่าโชคดีที่กระจกของโรงพยาบาลมีการติดฟิล์มและเป็นกระจกนิรภัย ทำให้กระจกไม่ได้แตกทั้งบาน และคาดว่ากระสุนเป็นแบบชนิดปืนเล็กยาว มีความเร็วสูง เมื่อเจาะทะลุเข้ามาก็จะเจอกับกำแพงอีกชั้นซึ่งเป็นบริเวณระเบียงล้อมรอบทำให้กระสุนแฉลบขึ้นทะลุเพดานจึงไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้หน่วยทำลายล้างของกองทัพบกเข้ามาเก็บหลักฐานแล้ว
“ห่วงที่สุดขณะนี้ไม่ใช่ตัวเองแต่หนักใจกับสิ่งที่จะเกิดกับประชาชนต่อจากนี้ ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะความรุนแรงได้พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และถึงแม้จะเป็นโรงพยาบาลเอกชนแต่ก็ให้การรักษาทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม ผมเคยเป็นทหารเคยให้คำสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าธงชัยเฉลิมพล ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นบนแผ่นนี้เราจึงหนีความรับผิดชอบต่อประเทศร่วมกันไม่ได้” พล.ต.นพ.เหรียญทอง กล่าว
ด้าน นพ.สุทัศน์ กล่าวว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดทั้งการขู่ปลดป้ายที่เขียนว่า “ไม่เอาคอร์รัปชน ไม่เอาความรุนแรง” หรือการนำโลงศพเผาหน้าโรงพยาบาลนั้น ถือเป็นการคุมคาม กระทบขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่และประชาชนอย่างมาก โดยจะมีการหารือเพื่อวางแผนเรื่องการสร้างความปลอดภัยของโรงพยาบาลต่อไป อย่างไรก็ตาม การขึ้นป้ายข้อความดังกล่าวถือเป็นเรื่องต้องดีใจ ว่า จะมีการการกระทำเช่นนั้นเกิดขึ้น
ขณะที่ นพ.ณรงค์ กล่าวถึงกรณีที่ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข ได้ทำหนังสือแสดงสั่งการให้ปลัดกระทรวงพิจารณาในเรื่องการติดป้ายที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของระบบราชการนั้น ว่า เชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นไปตามสิทธิ หน้าที่ เป็นการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญที่ระบุไว้ว่าบุคคลสามารถมีสิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงออก แต่ต้องไม่กระทบกับสิทธิเสรีภาพผู้อื่นรวมทั้งการให้บริการสาธารณะ ซึ่งโดยสิ่งที่เครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์ฯ แสดงออก มีเพียง 2 ประเด็น คือ ไม่เอาความรุนแรง และ ไม่เอาคอร์รัปชัน แต่ยังให้บริการประชาชนทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม และยังยืนยันว่า จะปฏิบัติตามเจตนารมณ์นี้ต่อไป เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจในวัตถุประสงค์ และการแสดงออกด้วยความรุนแรง คุกคาม จำเป็นต้องคิดให้ดี มิฉะนั้นอาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ว่า สามารถยอมรับความรุนแรง และ การคอร์รัปชันได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายบุคลากรแพทย์ฯ ได้ออกแถลงการณ์ประณามความรุนแรงที่พุ่งเป้าต่อสถานพยาบาลและองค์กรอิสระ มีใจความว่า ในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมาหลายเดือน ทุกฝ่ายในสังคมได้เรียกร้องให้ป้องกันความรุนแรงทุกรูปแบบ แต่ความรุนแรงในสังคมกลับเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ จนถึงเหตุการณ์ที่สะเทือนใจที่เด็กไร้เดียงสาต้องเสียชีวิตไปถึง 4 ราย แม้กระนั้น ความรุนแรงก็ไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด สองสัปดาห์ที่ผ่านมา ความรุนแรงได้พุ่งเป้าต่อสถานบริการสาธารณสุข ทั้งในต่างจังหวัดและกรุงเทพมหานครและองค์กรอิสระ ได้แก่ ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้งนี้ มีการแสดงออกของความรุนแรงในรูปแบบตั้งแต่การปิดล้อม คุกคาม ข่มขู่จะตัดน้ำตัดไฟสถานพยาบาล ไปจนถึงการขว้างระเบิดใส่ ป.ป.ช.และล่าสุดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2557 เกิดเหตุการณ์ยิงระเบิด M79 เข้าใส่โรงพยาบาลพระมงกุฎวัฒนะ แม้ไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่เป็นการก่อเหตุที่คุกคามต่อบุคลากรของโรงพยาบาลและผู้ป่วยและญาติ
แถลงการณ์ระบุอีกว่า การก่อเหตุความรุนแรงที่พุ่งเป้าต่อสถานพยาบาล โดยไม่คำนึงถึงหลักปฏิบัติที่เป็นสากลที่ถือว่าสถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เป็นผู้ให้การดูแลรักษาประชาชนทุกฝ่าย แม้ในยามศึกสงคราม ก็จะไม่มีการโจมตีหน่วยรักษาพยาบาลของข้าศึก ถือเป็นหลักที่ทั่วโลกยึดถือมาช้านาน อีกทั้งหน่วยรักษาพยาบาลมีหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม ความรุนแรงที่เกิดขึ้นและการปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก ถือเป็นความล้มเหลวของระบบรักษาความสงบสุขของสังคม และเป็นความเลวร้ายของผู้ก่อเหตุที่ขาดจิตสำนึกขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ และการก่อเหตุความรุนแรงที่พุ่งเป้าต่อองค์กรอิสระ ถือเป็นการคุกคามต่อกลไกตรวจสอบถ่วงดุลของประเทศ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมรับการตรวจสอบ ขาดจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย
เครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์ฯ ขอประณามผู้ก่อเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมา และขอประณามผู้ก่อเหตุความรุนแรงที่พุ่งเป้าต่อสถานพยาบาลและองค์กรอิสระ ขอยืนยันจะทำหน้าที่ให้การดูแลรักษาพยาบาลประชาชนทุกฝ่าย ไม่ว่าจะมีความเห็นทางการเมืองต่างกันอย่างไร และขอให้ผู้ก่อเหตุความรุนแรงยุติการกระทำดังกล่าว
วันนี้ (9 มี.ค.) ที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เครือข่ายแพทย์บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข นำโดย นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุทัศน์ ศรีวิไล ประธานชมรมผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และ ดร.กฤษดา แสวงดี อุปนายกสภาการพยาบาล เดินทางเข้าพบและให้กำลังใจ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ภายหลังเกิดเหตุยิงโรงพยาบาล เมื่อคืนวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยกระสุนทะลุกระจกชั้น 7 อาคารเอ บริเวณห้องผ่าตัด จำนวน 2 นัด ซึ่งไม่มีใครได้รับบาดเจ็บนั้น
พล.ต.นพ.เหรียญทอง กล่าวว่า ติดตามสถานการณ์การชุมนุมมาอย่างต่อเนื่อง และพบว่าความรุนแรงเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แม้โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ จะเป็นโรงพยาบาลเอกชน แต่ให้ความช่วยเหลือ สธ.ดูแลผู้บาดเจ็บซึ่งตั้งแต่มีการตั้งพื้นที่ชุมนุมบริเวณแจ้งวัฒนะก็มีเหตุเกิดขึ้นแทบทุกวัน แต่ก็ไม่เคยคิดว่าโรงพยาบาลจะเป็นเป้าหมายด้วย ซึ่งบริเวณที่ถูกยิงอาคารหันหน้าไปทางแยกหลักสี่ และตรงกับพื้นที่รกร้างด้านซอยแจ้งวัฒนะ 12 ซึ่งจุดนี้เคยมีข้อสงสัยว่า เป็นบริเวณที่มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่พื้นที่การชุมนุมที่แจ้งวัฒนะ อย่างไรก็ตาม นับว่าโชคดีที่กระจกของโรงพยาบาลมีการติดฟิล์มและเป็นกระจกนิรภัย ทำให้กระจกไม่ได้แตกทั้งบาน และคาดว่ากระสุนเป็นแบบชนิดปืนเล็กยาว มีความเร็วสูง เมื่อเจาะทะลุเข้ามาก็จะเจอกับกำแพงอีกชั้นซึ่งเป็นบริเวณระเบียงล้อมรอบทำให้กระสุนแฉลบขึ้นทะลุเพดานจึงไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้หน่วยทำลายล้างของกองทัพบกเข้ามาเก็บหลักฐานแล้ว
“ห่วงที่สุดขณะนี้ไม่ใช่ตัวเองแต่หนักใจกับสิ่งที่จะเกิดกับประชาชนต่อจากนี้ ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะความรุนแรงได้พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และถึงแม้จะเป็นโรงพยาบาลเอกชนแต่ก็ให้การรักษาทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม ผมเคยเป็นทหารเคยให้คำสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าธงชัยเฉลิมพล ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นบนแผ่นนี้เราจึงหนีความรับผิดชอบต่อประเทศร่วมกันไม่ได้” พล.ต.นพ.เหรียญทอง กล่าว
ด้าน นพ.สุทัศน์ กล่าวว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดทั้งการขู่ปลดป้ายที่เขียนว่า “ไม่เอาคอร์รัปชน ไม่เอาความรุนแรง” หรือการนำโลงศพเผาหน้าโรงพยาบาลนั้น ถือเป็นการคุมคาม กระทบขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่และประชาชนอย่างมาก โดยจะมีการหารือเพื่อวางแผนเรื่องการสร้างความปลอดภัยของโรงพยาบาลต่อไป อย่างไรก็ตาม การขึ้นป้ายข้อความดังกล่าวถือเป็นเรื่องต้องดีใจ ว่า จะมีการการกระทำเช่นนั้นเกิดขึ้น
ขณะที่ นพ.ณรงค์ กล่าวถึงกรณีที่ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข ได้ทำหนังสือแสดงสั่งการให้ปลัดกระทรวงพิจารณาในเรื่องการติดป้ายที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของระบบราชการนั้น ว่า เชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นไปตามสิทธิ หน้าที่ เป็นการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญที่ระบุไว้ว่าบุคคลสามารถมีสิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงออก แต่ต้องไม่กระทบกับสิทธิเสรีภาพผู้อื่นรวมทั้งการให้บริการสาธารณะ ซึ่งโดยสิ่งที่เครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์ฯ แสดงออก มีเพียง 2 ประเด็น คือ ไม่เอาความรุนแรง และ ไม่เอาคอร์รัปชัน แต่ยังให้บริการประชาชนทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม และยังยืนยันว่า จะปฏิบัติตามเจตนารมณ์นี้ต่อไป เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจในวัตถุประสงค์ และการแสดงออกด้วยความรุนแรง คุกคาม จำเป็นต้องคิดให้ดี มิฉะนั้นอาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ว่า สามารถยอมรับความรุนแรง และ การคอร์รัปชันได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายบุคลากรแพทย์ฯ ได้ออกแถลงการณ์ประณามความรุนแรงที่พุ่งเป้าต่อสถานพยาบาลและองค์กรอิสระ มีใจความว่า ในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมาหลายเดือน ทุกฝ่ายในสังคมได้เรียกร้องให้ป้องกันความรุนแรงทุกรูปแบบ แต่ความรุนแรงในสังคมกลับเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ จนถึงเหตุการณ์ที่สะเทือนใจที่เด็กไร้เดียงสาต้องเสียชีวิตไปถึง 4 ราย แม้กระนั้น ความรุนแรงก็ไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด สองสัปดาห์ที่ผ่านมา ความรุนแรงได้พุ่งเป้าต่อสถานบริการสาธารณสุข ทั้งในต่างจังหวัดและกรุงเทพมหานครและองค์กรอิสระ ได้แก่ ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้งนี้ มีการแสดงออกของความรุนแรงในรูปแบบตั้งแต่การปิดล้อม คุกคาม ข่มขู่จะตัดน้ำตัดไฟสถานพยาบาล ไปจนถึงการขว้างระเบิดใส่ ป.ป.ช.และล่าสุดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2557 เกิดเหตุการณ์ยิงระเบิด M79 เข้าใส่โรงพยาบาลพระมงกุฎวัฒนะ แม้ไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่เป็นการก่อเหตุที่คุกคามต่อบุคลากรของโรงพยาบาลและผู้ป่วยและญาติ
แถลงการณ์ระบุอีกว่า การก่อเหตุความรุนแรงที่พุ่งเป้าต่อสถานพยาบาล โดยไม่คำนึงถึงหลักปฏิบัติที่เป็นสากลที่ถือว่าสถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เป็นผู้ให้การดูแลรักษาประชาชนทุกฝ่าย แม้ในยามศึกสงคราม ก็จะไม่มีการโจมตีหน่วยรักษาพยาบาลของข้าศึก ถือเป็นหลักที่ทั่วโลกยึดถือมาช้านาน อีกทั้งหน่วยรักษาพยาบาลมีหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม ความรุนแรงที่เกิดขึ้นและการปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก ถือเป็นความล้มเหลวของระบบรักษาความสงบสุขของสังคม และเป็นความเลวร้ายของผู้ก่อเหตุที่ขาดจิตสำนึกขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ และการก่อเหตุความรุนแรงที่พุ่งเป้าต่อองค์กรอิสระ ถือเป็นการคุกคามต่อกลไกตรวจสอบถ่วงดุลของประเทศ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมรับการตรวจสอบ ขาดจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย
เครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์ฯ ขอประณามผู้ก่อเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมา และขอประณามผู้ก่อเหตุความรุนแรงที่พุ่งเป้าต่อสถานพยาบาลและองค์กรอิสระ ขอยืนยันจะทำหน้าที่ให้การดูแลรักษาพยาบาลประชาชนทุกฝ่าย ไม่ว่าจะมีความเห็นทางการเมืองต่างกันอย่างไร และขอให้ผู้ก่อเหตุความรุนแรงยุติการกระทำดังกล่าว