ASTV ผู้จัดการรายวัน - คนร้ายอุกอาจขี่ จยย.ปาระเบิด 2 ลูกใส่บริเวณลานจอดรถศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก แต่โชคดีไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต คาดเป็นการข่มขู่ เริ่มแล้ว! สร้างสถานการณ์ใน สธ. พบวัตถุต้องสงสัยซุกพุ่มไม้ ตร.เร่งตรวจสอบเป็นไฟฉาย 7 ก้อนพันด้วยสายไฟ แต่ไม่มีการต่อวงจร อธิบดี คร.ยันไม่ใช่ระเบิด ไม่สามารถก่อให้เกิดอันตรายได้
เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. วานนี้ (3 มี.ค.) พ.ต.ท.สุชัย แสงส่อง สารวัตรเวร สน.พหลโยธิน รับแจ้งเหตุคนร้ายปาระเบิดใส่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.อ.ชาตรี กาญจนกันติ ผกก.สน.พหลโยธิน และ พ.ต.ท.ยุทธพงษ์ หอมจรรยา สวป.สน.พหลโยธิน เบื้องต้นทราบว่าคนร้ายปาระเบิด 2 ลูก โดยระเบิดลูกแรกตกอยู่ริมถนน สภาพมีชิ้นส่วนระเบิดและสปริงตกอยู่ คาดเป็นระเบิดชนิดเดียวกับที่ตกอยู่ด้านในศาลอาญา ส่วนลูกที่ 2 เป็นระเบิด ชนิดเอ็ม 61 ตกอยู่บริเวณลานจอดรถ ภายในรั้วศาลอาญา ฝั่งติดกับปั๊ม ปตท. โดยสภาพถอดสลักออกแล้ว แต่ยังไม่ระเบิด โดยรถยนต์ที่จอดอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ ไม่่ได้รับความเสียหาย และไม่่มีผู้บาดเจ็บแต่อย่างใด
หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำยางรถยนต์มาวางครอบระเบิดที่ตกอยู่ในรั้วศาลอาญา พร้อมนำเชือกมากั้นเป็นแนวและไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าไปด้านใน และรอเจ้าหน้าที่อีโอดีมาตรวจสอบอย่างละเอียดและทำการเก็บกู้อีกครั้ง
พ.ต.ท.สุชัย กล่าวว่า ขณะเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ รปภ.ของศาลอาญา และทหารที่อยู่หน้าศาลอาญาได้ยินเสียงระเบิดดัง 1 ครั้ง ส่วนคนร้ายเป็นชาย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการก่อเหตุ คนขับขี่สวมหมวกกันน็อก ส่วนคนซ้อนท้ายซึ่งปาระเบิดรูปร่างสันทัด ใส่เสื้อสีดำ คลุมหมวกไหมพรม
ขณะที่ ส.ท.อำนาจ โพเทพา และ ส.อ.ประสิทธิ์ กลิ่นกุหลาบ เจ้าหน้าที่ทหารสังกัดปตอ. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่บริเวณจุดตรวจทางเข้าศาลอาญา ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเบื้องต้นว่า ช่วงก่อนเกิดตุประมาณเวลา 10.00 น.เศษ เห็นชายคนร้าย 2 คน ขี่รถ จยย. ยี่ห้อยามาฮ่า ฟีโน่ สีชมพู-ขาว ไม่ทราบทะเบียน สวมหมวกกันน็อกครึ่งใบ ส่วนคนซ้อน สวมหมวกไอัโม่งคลุมศีรษะสีดำ สวมเสื้อแขนยาวสีดำ ขี่จยย.มาจากแยกรัชดาฯตัดลาดพร้าว ทางช่องทางซ้ายแบบชะลอตัว พอมาถึงจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ทหาร คนร้ายได้ชะลอรถโดยใช้ความเร็วประมาณ 20 - 30 ก.ม. และหันมามองเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งท่าทางมีพิรุธ จึงได้เฝ้าระวังเหตุ จากนั้นคนร้ายได้ขี่จยย.เลยไปจนถึงบริเวณประตูทาง ก่อนจะปาระเบิดสังหารดังกล่าวจำนวน 2 ลูก แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าตรอกด้านข้างปั๊มน้ำมัน ปตท. ที่อยู่ติดกับศาลอาญา
ต่อมา พ.ต.อ.กำธร อุ่ยเจริญ ผู้กำกับการกลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด หรืออีโอดี ได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมระบุว่าระเบิดที่คนร้ายใช้เป็นระเบิดขว้างสังหาร ชนิดเอ็ม 61 รัศมีฉกรรจ์หลังตกกระทบ 15-20 เมตร ซึ่งระเบิดลูกแรกถือว่าระเบิดทำงานไม่สมบูรณ์ ส่วนลูกที่ 2 ไม่ระเบิด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้โดยนำเข็มสลักเซฟตี้แทงเข้าไปที่ลูกระเบิดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระเบิดขึ้น ก่อนจะทำการเก็บกู้ไปเรียบร้อยแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และนายธงชัย เสนามนตรี อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้มาตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด
นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า ตนเห็นว่าที่คนร้ายก่อเหตุครั้งนี้ ไม่่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องใช้ความรุนแรง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มาตรวจสอบวัตถุระเบิดดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้ทางสำนักงานศาลยุติธรรมจะมีการทบทวนวางมาตรการรักษาความปลอดภัยเนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นที่จอดรถของผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ธุรการ อาจจะต้องมีการปรับระบบรักษาความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น และได้รายงานเหตุดังกล่าวให้นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานศาลฎีกาทราบแล้ว
นายธงชัย เสนามนตรี อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวว่า ความจริงแล้ว ขณะนี้สถานการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลายแล้ว ก็ไม่น่าที่จะเกิดเหตุเช่นนี้ ซึ่งการกระทำน่าจะเกิดจากผู้ไม่ประสงค์ดี ขอยืนยันว่า คดีที่อยู่่ในการพิจารณาของศาลอาญาก็ดำเนินตามกระบวนการปกติ รวมทั้งก็ไม่น่าจะเกิดจากการพิจารณาคดีของฝ่ายต่าง ๆ โดยขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ทหารที่มาดูแลความเรียบร้อยก็ปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีมาโดยตลอด
พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.กล่าวภายหลังเดินทางตรวจสอบที่เกิดเหตุว่า ทราบว่าหลังเกิดเหตุคนร้ายได้ขี่จยย.หลบหนีไปในซอยข้างปั้มน้ำมันปตท. ซึ่งเป็นซอยที่สามารถทะลุออกไปได้หลายเส้นทาง ทั้งลาดพร้าวซอย 1 และซอยใกล้เคียงอื่นๆ จึงคาดว่าคนร้ายน่าจะมีการวางแผนล่วงหน้า โดยมาสำรวจดูเส้นทางหลายครั้งก่อนลงมือเกิดเหตุ ซึ่งถือว่าคนร้ายก่อเหตุอย่างอุกอาจเพราะลงมือในช่วงกลางวันโดยมีประชาชนและรถยนต์สัญจรผ่านไปมาค่อนข้างมาก ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยทาง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ได้เน้นย้ำให้เฝ้าระวังเหตุอย่างเข้มงวดเนื่องจากมีคนร้ายใช้ระเบิดและอาวุธปืนโจมตีใส่สถานที่ต่างๆหลายครั้ง ซึ่งมาตรการป้องกันเหตุบริเวณศาล เบื้องต้นมีเจ้าหน้าที่ทหารจากปตอ. จำนวน 1 กองร้อยประจำการอยู่แล้ว แต่ว่าได้แบ่งเป็นชุดย่อยๆกระจายอยู่บริเวณโดยรอบจึงทำให้ไม่เพียงพอ ซึ่งตนจะประสานเจ้าหน้าที่ทหารขอกำลังสนับสนุนเพิ่มเติม ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้รับผิดชอบบริเวณโดยรอบทั้งถนนรัชดาและด้านหลังศาล รวมทั้งตั้งจุดตรวจค้นตอนกลางคืน
พล.ต.อ.เอก กล่าวอีกว่า สำหรับเหตุการณ์ระเบิดที่ผ่านมา ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้ความสำคัญ โดยมีการตั้งหน่วยสืบสวนสอบสวนโดยเฉพาะ โดยมีพล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้ช่วยผบ.ตร. เป็นผู้บังคับบัญชา เพื่อสืบสวนเร่งติดตามจับกุมคนร้าย โดยเชื่อว่าคนร้ายที่เคยก่อเหตุยิงระเบิดเอ็ม79 ใส่ศาลอาญาและศาลแพ่ง กับที่ก่อเหตุขว้างระเบิดสังหารครั้งนี้เป็นกลุ่มเดียวกัน ส่วนสาเหตุน่าจะเกิดจากการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง ส่วนความคืบหน้าในการติดตามคนร้ายที่ยิงระเบิดเอ็ม79 นั้น ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานและพยานวัตถุ เพื่อนำมาเป็นแนวทาง ศึกษาและวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของคนร้าย และนำภาพจากกล้องวงจรปิด ที่จับภาพคนร้ายไว้ได้ไปตรวจสอบ เพื่อจับกุมตัวมาดำเนินคดีต่อไป
ด้านพล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก ตร.กล่าวว่า จากการสอบสวนทหารที่รักษาการที่บริเวณหน้าด้านกน้าศาลอาญา ระบุว่า ก่อนเกิดเหตุได้มีคนร้ายเป็นชาย 2 คน ใช้รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ฟีโน่ สีชมพู ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียน ปาระเบิดเข้ามาภายใน ก่อนที่จะขับรถหลบหนีเข้าไปในซอยแคบระหว่างปั๊มน้ำมันกับตึกสำนักงานอัยการสูงสุด โดยคดีนี้ผบ.ตร.ได้สั่งการให้พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร.ลงไปตรวจที่เกิดเหตุและกำกับดูแลการสืบสวนติดตามตัวคนร้าย
**ตื่น!พบวัตถุคล้ายระเบิดซุกพุ่มไม้กลาง สธ.
วานนี้ (3 มี.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณคูน้ำ หน้าอาคารราชประชาสมาสัย มีผู้แจ้งเหตุพบวัตถุต้องสงสัย เป็นถ่านไฟฉายขนาดใหญ่ อยู่ในซองพลาสติกใส จำนวน 7 ก้อน และมีสายไฟพันรวมกันอยู่ ถูกวางอยู่ในพุ่มไม้ จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เข้ามาตรวจสอบ ซึ่งภายหลังการตรวจสอบพบว่า ไม่มีการต่อเชื่อมวงจรใดๆ เป็นเพียงถ่านไฟฉายที่รวมอยู่กับสายไฟเท่านั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการเก็บไว้ตรวจสอบต่อไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 2 ก.พ. กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพิ่งออกมาตรการเตรียมความพร้อมเรื่องความปลอดภัย โดยแจ้งให้ข้าราชการ สธ.ติดบัตรข้าราชการให้ชัดเจน ให้ลงจากตึกตั้งแต่เวลา 19.00 น. และห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกใช้เส้นทางกระทรวงสาธารณสุข เข้า ออก ตั้งแต่เวลา 20.00 - 05.00 น. ด้วย
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค ซึ่งได้เดินทางไปดูที่เกิดเหตุด้วยตนเอง กล่าวว่า จากการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า วัตถุดังกล่าวไม่ใช่ระเบิด แต่เป็นถ่ายไฟฉายขนาดใหญ่ที่ไม่มีการต่อวงจร ไม่สามารถใช้งานเพื่อทำให้เกิดอันตรายได้ อย่างไรก็ตาม กระทรวงมีมาตรการในการดูแลความปลอดภัยอยู่แล้ว.
เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. วานนี้ (3 มี.ค.) พ.ต.ท.สุชัย แสงส่อง สารวัตรเวร สน.พหลโยธิน รับแจ้งเหตุคนร้ายปาระเบิดใส่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.อ.ชาตรี กาญจนกันติ ผกก.สน.พหลโยธิน และ พ.ต.ท.ยุทธพงษ์ หอมจรรยา สวป.สน.พหลโยธิน เบื้องต้นทราบว่าคนร้ายปาระเบิด 2 ลูก โดยระเบิดลูกแรกตกอยู่ริมถนน สภาพมีชิ้นส่วนระเบิดและสปริงตกอยู่ คาดเป็นระเบิดชนิดเดียวกับที่ตกอยู่ด้านในศาลอาญา ส่วนลูกที่ 2 เป็นระเบิด ชนิดเอ็ม 61 ตกอยู่บริเวณลานจอดรถ ภายในรั้วศาลอาญา ฝั่งติดกับปั๊ม ปตท. โดยสภาพถอดสลักออกแล้ว แต่ยังไม่ระเบิด โดยรถยนต์ที่จอดอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ ไม่่ได้รับความเสียหาย และไม่่มีผู้บาดเจ็บแต่อย่างใด
หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำยางรถยนต์มาวางครอบระเบิดที่ตกอยู่ในรั้วศาลอาญา พร้อมนำเชือกมากั้นเป็นแนวและไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าไปด้านใน และรอเจ้าหน้าที่อีโอดีมาตรวจสอบอย่างละเอียดและทำการเก็บกู้อีกครั้ง
พ.ต.ท.สุชัย กล่าวว่า ขณะเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ รปภ.ของศาลอาญา และทหารที่อยู่หน้าศาลอาญาได้ยินเสียงระเบิดดัง 1 ครั้ง ส่วนคนร้ายเป็นชาย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการก่อเหตุ คนขับขี่สวมหมวกกันน็อก ส่วนคนซ้อนท้ายซึ่งปาระเบิดรูปร่างสันทัด ใส่เสื้อสีดำ คลุมหมวกไหมพรม
ขณะที่ ส.ท.อำนาจ โพเทพา และ ส.อ.ประสิทธิ์ กลิ่นกุหลาบ เจ้าหน้าที่ทหารสังกัดปตอ. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่บริเวณจุดตรวจทางเข้าศาลอาญา ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเบื้องต้นว่า ช่วงก่อนเกิดตุประมาณเวลา 10.00 น.เศษ เห็นชายคนร้าย 2 คน ขี่รถ จยย. ยี่ห้อยามาฮ่า ฟีโน่ สีชมพู-ขาว ไม่ทราบทะเบียน สวมหมวกกันน็อกครึ่งใบ ส่วนคนซ้อน สวมหมวกไอัโม่งคลุมศีรษะสีดำ สวมเสื้อแขนยาวสีดำ ขี่จยย.มาจากแยกรัชดาฯตัดลาดพร้าว ทางช่องทางซ้ายแบบชะลอตัว พอมาถึงจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ทหาร คนร้ายได้ชะลอรถโดยใช้ความเร็วประมาณ 20 - 30 ก.ม. และหันมามองเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งท่าทางมีพิรุธ จึงได้เฝ้าระวังเหตุ จากนั้นคนร้ายได้ขี่จยย.เลยไปจนถึงบริเวณประตูทาง ก่อนจะปาระเบิดสังหารดังกล่าวจำนวน 2 ลูก แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าตรอกด้านข้างปั๊มน้ำมัน ปตท. ที่อยู่ติดกับศาลอาญา
ต่อมา พ.ต.อ.กำธร อุ่ยเจริญ ผู้กำกับการกลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด หรืออีโอดี ได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมระบุว่าระเบิดที่คนร้ายใช้เป็นระเบิดขว้างสังหาร ชนิดเอ็ม 61 รัศมีฉกรรจ์หลังตกกระทบ 15-20 เมตร ซึ่งระเบิดลูกแรกถือว่าระเบิดทำงานไม่สมบูรณ์ ส่วนลูกที่ 2 ไม่ระเบิด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้โดยนำเข็มสลักเซฟตี้แทงเข้าไปที่ลูกระเบิดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระเบิดขึ้น ก่อนจะทำการเก็บกู้ไปเรียบร้อยแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และนายธงชัย เสนามนตรี อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้มาตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด
นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า ตนเห็นว่าที่คนร้ายก่อเหตุครั้งนี้ ไม่่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องใช้ความรุนแรง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มาตรวจสอบวัตถุระเบิดดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้ทางสำนักงานศาลยุติธรรมจะมีการทบทวนวางมาตรการรักษาความปลอดภัยเนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นที่จอดรถของผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ธุรการ อาจจะต้องมีการปรับระบบรักษาความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น และได้รายงานเหตุดังกล่าวให้นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานศาลฎีกาทราบแล้ว
นายธงชัย เสนามนตรี อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวว่า ความจริงแล้ว ขณะนี้สถานการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลายแล้ว ก็ไม่น่าที่จะเกิดเหตุเช่นนี้ ซึ่งการกระทำน่าจะเกิดจากผู้ไม่ประสงค์ดี ขอยืนยันว่า คดีที่อยู่่ในการพิจารณาของศาลอาญาก็ดำเนินตามกระบวนการปกติ รวมทั้งก็ไม่น่าจะเกิดจากการพิจารณาคดีของฝ่ายต่าง ๆ โดยขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ทหารที่มาดูแลความเรียบร้อยก็ปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีมาโดยตลอด
พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.กล่าวภายหลังเดินทางตรวจสอบที่เกิดเหตุว่า ทราบว่าหลังเกิดเหตุคนร้ายได้ขี่จยย.หลบหนีไปในซอยข้างปั้มน้ำมันปตท. ซึ่งเป็นซอยที่สามารถทะลุออกไปได้หลายเส้นทาง ทั้งลาดพร้าวซอย 1 และซอยใกล้เคียงอื่นๆ จึงคาดว่าคนร้ายน่าจะมีการวางแผนล่วงหน้า โดยมาสำรวจดูเส้นทางหลายครั้งก่อนลงมือเกิดเหตุ ซึ่งถือว่าคนร้ายก่อเหตุอย่างอุกอาจเพราะลงมือในช่วงกลางวันโดยมีประชาชนและรถยนต์สัญจรผ่านไปมาค่อนข้างมาก ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยทาง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ได้เน้นย้ำให้เฝ้าระวังเหตุอย่างเข้มงวดเนื่องจากมีคนร้ายใช้ระเบิดและอาวุธปืนโจมตีใส่สถานที่ต่างๆหลายครั้ง ซึ่งมาตรการป้องกันเหตุบริเวณศาล เบื้องต้นมีเจ้าหน้าที่ทหารจากปตอ. จำนวน 1 กองร้อยประจำการอยู่แล้ว แต่ว่าได้แบ่งเป็นชุดย่อยๆกระจายอยู่บริเวณโดยรอบจึงทำให้ไม่เพียงพอ ซึ่งตนจะประสานเจ้าหน้าที่ทหารขอกำลังสนับสนุนเพิ่มเติม ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้รับผิดชอบบริเวณโดยรอบทั้งถนนรัชดาและด้านหลังศาล รวมทั้งตั้งจุดตรวจค้นตอนกลางคืน
พล.ต.อ.เอก กล่าวอีกว่า สำหรับเหตุการณ์ระเบิดที่ผ่านมา ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้ความสำคัญ โดยมีการตั้งหน่วยสืบสวนสอบสวนโดยเฉพาะ โดยมีพล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้ช่วยผบ.ตร. เป็นผู้บังคับบัญชา เพื่อสืบสวนเร่งติดตามจับกุมคนร้าย โดยเชื่อว่าคนร้ายที่เคยก่อเหตุยิงระเบิดเอ็ม79 ใส่ศาลอาญาและศาลแพ่ง กับที่ก่อเหตุขว้างระเบิดสังหารครั้งนี้เป็นกลุ่มเดียวกัน ส่วนสาเหตุน่าจะเกิดจากการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง ส่วนความคืบหน้าในการติดตามคนร้ายที่ยิงระเบิดเอ็ม79 นั้น ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานและพยานวัตถุ เพื่อนำมาเป็นแนวทาง ศึกษาและวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของคนร้าย และนำภาพจากกล้องวงจรปิด ที่จับภาพคนร้ายไว้ได้ไปตรวจสอบ เพื่อจับกุมตัวมาดำเนินคดีต่อไป
ด้านพล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก ตร.กล่าวว่า จากการสอบสวนทหารที่รักษาการที่บริเวณหน้าด้านกน้าศาลอาญา ระบุว่า ก่อนเกิดเหตุได้มีคนร้ายเป็นชาย 2 คน ใช้รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ฟีโน่ สีชมพู ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียน ปาระเบิดเข้ามาภายใน ก่อนที่จะขับรถหลบหนีเข้าไปในซอยแคบระหว่างปั๊มน้ำมันกับตึกสำนักงานอัยการสูงสุด โดยคดีนี้ผบ.ตร.ได้สั่งการให้พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร.ลงไปตรวจที่เกิดเหตุและกำกับดูแลการสืบสวนติดตามตัวคนร้าย
**ตื่น!พบวัตถุคล้ายระเบิดซุกพุ่มไม้กลาง สธ.
วานนี้ (3 มี.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณคูน้ำ หน้าอาคารราชประชาสมาสัย มีผู้แจ้งเหตุพบวัตถุต้องสงสัย เป็นถ่านไฟฉายขนาดใหญ่ อยู่ในซองพลาสติกใส จำนวน 7 ก้อน และมีสายไฟพันรวมกันอยู่ ถูกวางอยู่ในพุ่มไม้ จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เข้ามาตรวจสอบ ซึ่งภายหลังการตรวจสอบพบว่า ไม่มีการต่อเชื่อมวงจรใดๆ เป็นเพียงถ่านไฟฉายที่รวมอยู่กับสายไฟเท่านั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการเก็บไว้ตรวจสอบต่อไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 2 ก.พ. กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพิ่งออกมาตรการเตรียมความพร้อมเรื่องความปลอดภัย โดยแจ้งให้ข้าราชการ สธ.ติดบัตรข้าราชการให้ชัดเจน ให้ลงจากตึกตั้งแต่เวลา 19.00 น. และห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกใช้เส้นทางกระทรวงสาธารณสุข เข้า ออก ตั้งแต่เวลา 20.00 - 05.00 น. ด้วย
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค ซึ่งได้เดินทางไปดูที่เกิดเหตุด้วยตนเอง กล่าวว่า จากการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า วัตถุดังกล่าวไม่ใช่ระเบิด แต่เป็นถ่ายไฟฉายขนาดใหญ่ที่ไม่มีการต่อวงจร ไม่สามารถใช้งานเพื่อทำให้เกิดอันตรายได้ อย่างไรก็ตาม กระทรวงมีมาตรการในการดูแลความปลอดภัยอยู่แล้ว.