ASTVผู้จัดการรายวัน - แดงเชลียร์รัฐพรึบ! กวป.บุกปิด ป.ป.ช. ห้ามเข้า-ออก พร้อมตั้งเวทีด่า เผาโลง "วิชา" หวังช่วย "ปู" ไม่ต้องมารับทราบข้อหาโกงข้าววันนี้ "นิวัฒน์ธำรง" บี้ กกต. อนุมัติใช้งบกลางจ่ายชาวนา อ้างเป็นเงินยืม มีเมื่อไรใช้คืน กปน. หักคลังปฎิเสธซื้อตั๋วเงิน ปชป.จวกเพื่อไทยกดดัน ป.ป.ช. สอบระบายข้าว หวังแก้แค้น "มาร์ค" ซัดแหกตาชาวนารายวันจะได้เงิน "พาณิชย์" เผยจีนขอซื้อจีทูจี 2 ล้านตัน ชาวสองแควเดือด ฉีกป้ายแยกเป็นประเทศล้านนา คาดฝีมือแดงนำมาปิด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (26 ก.พ.) กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) นำโดยนายชาญ ไชยะ รองประธาน กปว. นายสมศักดิ์ ล้อเพชรรุ่งเรือง เลขาธิการ กวป. นายนายศรรักษ์ มาลัยทอง โฆษก กวป. พร้อมประชาชนกลุ่ม กปว.ประมาณ 200 คน รวมตัวเดินทางปิดสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยใช้โซ่คล้องพร้อมล็อกกุญแจห้ามรถและคนเข้า-ออกเด็ดขาด และปิดถนนการจราจรฝั่งด้านหน้า ป.ป.ช. ช่องทางขาออกมุ่งหน้าถนนติวานนท์ พร้อมตั้งเวทีปราศรัย และได้ปักหลักค้างคืนหน้า ป.ป.ช. ด้วย
ขณะที่รอการตั้งเวที ได้มีการใช้รถขยายเสียงโจมตีการทำงานของ ป.ป.ช. ตลอดเวลา และในเวลา 11.40 น. กลุ่มประชาชนได้นำโลงศพมาเผาที่ด้านหน้า ป.ป.ช. โดยมีการเขียนบนโลงศพก่อนที่จะทำการเผาว่า “เลือกปฏิบัติ ไอ้คนขี้กบฏ, ป.ป.ช.สำนักงานปกป้องประชาธิปัตย์ ชาตะ : คมช. มรณะ : 26 ก.พ.57” พร้อมวางรูปนายวิชา มหาคุณ แล้วเผาพร้อมโลงศพ ซึ่งตลอดเวลามีเจ้าหน้าที่ตำรวจอำนวยความสะดวกประมาณ 50 นาย
ต่อมาเวลา 13.30 น.ทางสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่อยู่ใกล้กับสำนักงาน ป.ป.ช.ได้สั่งให้เจ้าหน้าหยุดงานทันทีและกลับบ้าน โดยมีรถตู้ทยอยออกจากกองสลาก แต่ทางการ์ดของกลุ่ม กวป.ได้มีการตรวจค้นรถทุกคัน เนื่องจากเกรงว่าจะมีคณะกรรมการของ ป.ป.ช.หลบออกไป ซึ่งจุดประสงค์ในการชุมนุมของกลุ่ม กวป.เพื่อให้คณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.หยุดงานและเป็นการปิดเพื่อไม่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เข้ามารับทราบข้อกล่าวหากรณีโครงการจำนำข้าวในวันนี้ (27 ก.พ.)
วันเดียวกัน ภาคประชาชนรวมตัวกันประมาณ 200 คน นำโดยนางศรัณย์ภัสสร ศาตะมาน ตัวแทนนักธุรกิจ ได้เดินทางมายื่นจดหมายเปิดผนึกแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมทั้งแสดงออกทางสัญลักษณ์ถือป้ายเรียกร้องให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยงตรง เที่ยงธรรม เพื่อไม่ให้สถานการณ์บ้านเมืองไม่เลวร้ายไปกว่านี้ ก่อนแยกย้ายกันกลับ
***"ปู"หนีขึ้นเหนือคาดไม่ไปรับข้อกล่าวหาป.ป.ช.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (26 ก.พ.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการยังจังหวัดเชียงราย โดยทันทีที่เดินทางถึงท่าอากาศยาน แม่ฟ้าหลวง ได้มีมวลชนมาต้อนรับพร้อมแจกดอกกุหลาบ โดยเจ้าหน้าที่ได้ตรวจค้นห้ามไม่ให้มีการพกนกหวีดเข้าไปอย่างเด็ดขาด จากนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เดินทางด้วยรถโฟล์คตู้ทะเบียน กธ 77 เชียงใหม่ ไปยังกองบังคับการตำรวจภูธร (บก.ภ.) จ.เชียงราย เพื่อเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการและการติดตามผลการป้องกันปัญหายาเสพติด
ในระหว่างที่ประชุมอยู่ กลุ่มคนเสื้อแดง นำโดยนายออด สุขตะโก และนางถนอมศรี นามรัตน์ แกนนำกลุ่มแม่สรวยรักประชาธิปไตย นางเกษนีย์ ชื่นชม จากกลุ่มเชียงราย 49 ได้นำมวลชนตามมาให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สู้ๆ และอย่ากลับกรุงเทพฯ เลย ให้มาอยู่ที่ภาคเหนือแทน ก่อนที่จะจัดแบ่งกำลังเฝ้าอยู่ตามจุดต่างๆ รอบนอกอาคารที่จัดการประชุมเหมือนเป็นการอารักขา ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการติดอาวุธดูแลความปลอดภัยบริเวณอาคาร บก.ภ.เชียงราย อย่างเข้มงวด รวมทั้งมีการปิดถนน-สี่แยกโดยรอบเมื่อมีการเดินทางเข้าออกด้วย แม้ว่าจะไม่ปรากฏข่าวสารความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านมาก่อนก็ตาม
วันเดียวกันนี้ กลุ่มชาวนาในพื้นที่ จ.เชียงราย ที่ยังตั้งตารอรับเงินจำนำข้าวมาตั้งแต่ปลายปี 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งตอนแรกมีการหารือกันว่าจะรวมตัวกันไปให้กำลังใจ พร้อมกับบอกกล่าวถึงปัญหาความเดือดร้อนให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่เมื่อกำหนดการเดินทางของน.ส.ยิ่งลักษณ์มีการเปลี่ยนแปลง จึงได้ตกลงกันว่าจะไปยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายให้รับทราบถึงปัญหาและเร่งรัดเรื่องเงินจำนำข้าวในวันที่ 27 ก.พ.ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงรายแทน
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงการเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่ป.ป.ช. จะเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหา ในวันนี้ (27 ก.พ.) น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ขอหารือกับทีมที่ปรึกษาและคณะทำงานก่อน ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าจะขอเลื่อนหรือไม่ ขอคุยกันก่อน
***จี้กกต.อนุมัติใช้งบกลางจ่ายชาวนา
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ทำหนังสือไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่ออนุมัติการใช้งบกลาง 2 หมื่นล้านบาท เพื่อนำเงินไปให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จ่ายให้กับชาวนาในโครงการรับจำนำข้าว หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.ป ได้อนุมัติแล้ว โดยงบดังกล่าวไม่ใช่งบจ่ายขาด เป็นการยืมงบกลางมาใช้ เมื่อมีเงินกู้หรือเงินอื่นเข้ามา ก็จะนำไปคืน ไม่มีผลกระทบต่อโครงการใดๆ กกต.จะต้องตอบว่าจะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ
สำหรับการหาเงินมาจ่ายชาวนา ขณะนี้กระทรวงการคลังได้พยายามอย่างเต็มที่ในการหาเงินกู้และการออกพันธบัตร โดยกระทรวงการคลังได้ขอเวลา 1 เดือน ในการดำเนินการ ส่วนงบประมาณ 712 ล้านบาท ที่กกต. ได้อนุมัติแล้วนั้น กกต.ยังไม่มีคำตอบเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ถ้าหนังสือตอบมาอย่างชัดเจน จะให้ทางสำนักงบประมาณจัดงบประมาณส่งให้ทางธ.ก.ส.ทันที เพื่อนำไปจ่ายให้ชาวนาใน 5 จังหวัด 3,900 ครัวเรือน ที่ยังไม่ได้รับเงินในโครงการรับจำนำข้าวที่ค้างเดิม โดยหลังได้รับหนังสือจาก กกต. จะสามารถจ่ายเงินชาวนาได้ภายใน 1-2 สัปดาห์
***ชัดเจนประปาไม่ซื้อตั๋วพีเอ็นช่วยจำนำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้ทำหนังสือแจ้งไปถึงผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ เพื่อแจ้งให้ทราบถึงหลักเกณฑ์และแนวทางการเข้าร่วมประมูลตั๋วสัญญาใช้เงิน (พีเอ็น) วงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท อายุเงินกู้ 8 เดือน โดยกำหนดวันยื่นซองเสนออัตราดอกเบี้ยวันที่ 27 ก.พ.2557 ซึ่งกระทรวงการคลังมีความประสงค์จะจัดหาเงินกู้ให้แก่ ธ.ก.ส. ตามมติ ครม.ที่ได้อนุมัติไว้แล้ว โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ย และรัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ย
ล่าสุดวานนี้ (26 ก.พ.) การประปานครหลวง (กปน.) โดยนายธนศักดิ์ วัฒนฐานะ ผู้ว่าการ กปน. ได้ปฏิเสธกระแสข่าว กปน. ซื้อตั๋วพีเอ็น วงเงิน 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ธ.ก.ส. นำเงินไปจ่ายในโครงการจำนำข้าว แต่ยอมรับว่าได้รับหนังสือดังกล่าวจากกระทรวงการคลังจริง แต่การจะร่วมประมูลหรือไม่ ต้องให้คณะกรรมการ (บอร์ด) กปน. พิจารณาก่อน ซึ่งจะประชุมกันในวันที่ 7 มี.ค.2557 อย่างไรก็ตาม ล่าสุดได้มีการเผยแพร่หนังสือที่ผู้ว่าฯ กปน. เกษียณว่ายกเลิกการเข้าประมูล เป็นการยืนยันถึงการไม่เข้าร่วมประมูลตั๋วพีเอ็นออกมาด้วย
***ซัดรัฐบาลซื้อเวลาจ่ายหนี้ชาวนา
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ครม. มีมติอนุมัติเงินกู้ 2 หมื่นล้านบาท จ่ายหนี้ให้ชาวนาว่า เป็นมติที่นับไม่ถ้วนในความพยายามที่จะเบี่ยงเบนประเด็นและซื้อเวลาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะรัฐบาลเคยยืนยันว่า มีเงินกู้เรียบร้อยแล้ว จ่ายเงินให้ชาวนาได้วันละ 4 พันล้านบาท แต่กลับไม่มีการจ่ายเงินจริง มีแต่กระบวนการหาข้อแก้ตัวรายวัน ตั้งแต่ความพยายามจะออกพันธบัตร การกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ รวมทั้งการระบายข้าวหนึ่งล้านตันต่อเดือน คืนคลังได้ 8 พันล้านบาท ซึ่งหาเป็นเช่นนั้น จะต้องใช้เวลาถึงปี 2558 จึงจะจ่ายชาวนาได้หมด และยังดิ้นรนให้การประปานครหลวง มาซื้อพันธบัตร เป็นการบริหารแบบเลอะเทอะ ชาวนาไม่ได้รับความช่วยเหลือและซ้ำเติมให้ปัญหายุ่งยากมากขึ้น
"ขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ สารภาพผิด พูดความจริงกับชาวนาว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร โดยเริ่มต้นจากการรับทราบข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. ด้วยตัวเอง เพราะหากไม่ไปตามนัด จะไม่สามารถมอบอำนาจให้ใครคัดลอกสำเนาข้อกล่าวหาได้ เท่ากับยอมรับว่า มีส่วนรู้เห็นในการทุจริต จนชาวนาไม่ได้รับเงินมาจนถึงทุกวันนี้"
นอกจากนี้ ยังมีความพยายามบิดเบือนประเด็น โดยนำเรื่องการระบายข้าวในสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มากล่าวหาว่ามีความล่าช้า ทั้งๆ ที่การระบายข้าวเป็นการตรวจสอบการทุจริตที่ต่างจากโครงการจำนำข้าว เพราะถูกกล่าวหาว่ามีการฮั้วประมูล ไม่ใช่เป็นการทุจริตของฝ่ายบริหาร ดังนั้น การรวบรวมเอกสารหลักฐานจึงมีความแตกต่างกัน แต่รัฐบาลพยายามที่จะสร้างความเข้าใจผิดว่า ป.ป.ช. ไม่เร่งรัดคดีที่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่ความจริง หน่วยงานรัฐภายใต้กำกับดูแลของรัฐบาล ไม่ยอมส่งหลักฐานให้กับ ป.ป.ช. จึงต้องถามว่า ทำอะไรอยู่ หรือตรวจสอบแล้วพบว่า นายอภิสิทธิ์ ไม่มีความผิด จึงไม่ยอมส่งเอกสาร เพื่อไม่ให้ได้ข้อยุติ หรือพบว่าคนทำผิด คือพวกเดียวกันที่ใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทย
***ชี้พท.กดดันป.ป.ช.หวังผลการเมือง
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย ไปยื่นหนังสือกดดัน ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบโครงการการระบายข้าวและประกันรายได้ ในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า เป็นความจงใจที่จะกดดันให้ป.ป.ช.ชี้มูลโครงการในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ซึ่งควรจะทำการบ้าน เก็บข้อมูลหลักฐานก่อนยื่นต่อป.ป.ช. ไม่ใช่ว่าไม่มีข้อมูล มีแค่การกล่าวหาว่าปล่อยให้ชาวนาลงทะเบียนมากกว่าที่มีที่นาจริง โดยไม่มีหลักฐานว่าชาวนาคนใดที่ไม่ลงทะเบียนตามความจริง อีกทั้งยังเป็นความผิดในระดับชาวนา ไม่ใช่การทุจริตของระดับนโยบาย จึงขอสอนมวยให้อดีต ส.ส.เพื่อไทย ทำการบ้านมากกว่านี้ อย่าหวังผลเพียงแค่เป็นประเด็นทางการเมืองเท่านั้น
ทั้งนี้ นพ.วรงค์ ยังได้นำเอกสารที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทำถึงเกษตรอำเภอ และเกษตรตำบล ตรวจสอบโครงการประกันรายได้ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีการทุจริตหรือไม่ ที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง โดยพนักงานของดีเอสไอ เพิ่งลงพื้นที่ไปตรวจสอบ เป็นขบวนการทำงานสอดรับกันกับสิ่งที่อดีต ส.ส.เพื่อไทยไปร้องต่อ ป.ป.ช. ตนจึงขอเรียกร้องไปยังดีเอสไอให้ไปทำคดีอื่น ไม่ใช่ไปกดดันเกษตรอำเภอ เกษตรตำบล และชาวนา ดังนั้น หากถูกดีเอสไอเรียกไปให้ข้อมูล ขอให้มั่นใจ และให้ข้อมูลไปตามความเป็นจริง เพราะเรื่องนี้เป็นการพยายามแก้แค้นนายอภิสิทธิ์ของพรรคเพื่อไทย
***แจ้งข่าวดีจีนจะซื้อข้าวจีทูจี2ล้านตัน
นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่จีนสนใจจะซื้อข้าวไทยปีละ 1 ล้านตันว่า รัฐบาลจีนต้องการจะช่วยเหลือชาวนาไทย จึงได้ส่งเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย มาหารือกับรัฐบาลไทย เพื่อให้ไทยเร่งดำเนินการทำสัญญาซื้อขายข้าวในสต๊อกรัฐบาล ตามที่ผู้นำของทั้ง 2 ประเทศได้หารือกันไว้เมื่อครั้งที่นายกรัฐมนตรีของจีนได้เดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งในครั้งนั้น จีนเสนอจะซื้อข้าวจากไทยต่อเนื่อง 5 ปีๆ ละ 1 ล้านตัน แต่ในระยะเร่งด่วนนี้ จีนจะขอซื้อก่อน 2 ล้านตัน หรือภายในระยะเวลา 2 ปี ซึ่งจะมีข้าวหลายชนิด ทั้งข้าวขาว 5% ข้าวขาว 100% ข้าวหอมมะลิ เป็นต้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาในรายละเอียดราคาและระยะเวลาส่งมอบ คาดว่าเร็วๆ นี้ จะเดินทางไปเซ็นสัญญาที่จีนได้
"การซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับจีนครั้งนี้ จีนน่าจะให้ซื้อขายผ่านรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลกลาง คือ คอฟโก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา หลังจากที่ป.ป.ช. ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การซื้อขายจีทูจีต้องซื้อขายโดยรัฐวิสาหกิจจากรัฐบาลกลางเท่านั้น แม้ว่าขณะนี้ คอฟโก ได้ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของฮ่องกงไปแล้วก็ตาม อีกทั้งในสัญญาจะมีการระบุด้วยว่า หากไทยมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ก็อาจยกเลิกสัญญาได้ ซึ่งฝ่ายจีนยินยอม เพราะ กกต. เคยให้คำแนะนำมาก่อนหน้านี้ว่า ในระหว่างรัฐบาลรักษาการ กระทรวงพาณิชย์ยังสามารถขายข้าวในสต๊อกรัฐแบบจีทูจีได้ แต่ต้องไม่เป็นภาระผูกพันถึงรัฐบาลชุดใหม่"นายสุรศักดิ์กล่าว
***เอกชนแห่กดราคาซื้อข้าวในเอเฟต
นายสุชาติ สินรัตน์ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า การเปิดประมูลข้าวสารสต๊อกรัฐบาลที่ได้จากโครงการรับจำนำข้าว ฤดูกาล 2555/56 และ 2556/57 ผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (เอเฟต) ปริมาณ 2.3 แสนตัน แบ่งเป็นข้าวขาว 5% ปริมาณ 1.62 แสนตัน และข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ปริมาณ 6.85 หมื่นตัน มีผู้เข้าร่วมเสนอราคาส่วนต่าง (ค่าเบสิส) ทั้งหมด 16 ราย โดยข้าวขาว 5% เสนอซื้อครบทุกกอง ราคาเสนอซื้อส่วนต่างอยู่ที่ลบ 1.70 บาท/กก. ถึงลบ 4 บาท/กก. ส่วนข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 เสนอซื้อเข้ามารวมปริมาณ 2.94 หมื่นตัน ราคาเสนอซื้อส่วนต่างอยู่ที่ลบ 1.60 บาท/กก. ถึงลบ 6.40 บาท/กก. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นราคาใกล้เคียงกับรอบที่ผ่านมา ซึ่งคณะทำงานระบายข่าวผ่านเอเฟตจะพิจารณาราคาเสนอซื้อและอนุมัติขายในวันที่ 28 ก.พ.นี้
ทั้งนี้ การประมูลเอเฟตครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 3 ในรอบปี และเป็นครั้งที่ 6 ของการระบายข้าวสารสต๊อกรัฐบาลตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งการประมูลเอเฟตในรอบหน้าจะเปิดให้เสนอราคาส่วนต่างในวันที่ 12 มี.ค.2557 ปริมาณ 2 แสนตัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาเหตุที่มีการเสนอราคาส่วนต่างเอเฟตรอบนี้ติดลบสูง เนื่องจากภาคเอกชนเกิดความกังวลในเรื่องการระบายข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลที่ยังมีอีก 2 ช่องทาง คือ เปิดประมูลเป็นการทั่วไป และยื่นซื้อทางตรง ซึ่งมีกระแสข่าวว่าการเสนอซื้อใน 2 ช่องทางหลังนั้น รัฐบาลอนุมัติขายข้าวให้ในราคาถูกกว่าผู้ที่ยื่นซื้อผ่านเอเฟต จึงเสนอราคาส่วนต่างติดลบสูง เพื่อไม่ให้เสียเปรียบด้านต้นทุน
อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์หน้า กรมการค้าต่างประเทศจะเปิดประมูลข้าวเป็นการทั่วไป เป็นข้าวหอมมะลิ และข้าวขาว 5% ปริมาณ 5-6 แสนตัน ให้กับโรงสี และผู้ส่งออก
***ฉีกป้ายขอแยกเป็นประเทศล้านนา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการนำป้ายไวนิล สีแดง เขียนข้อความว่า "ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กู ขอแยกเป็นประเทศล้านนา" ไว้ที่บริเวณสะพานลอย ข้ามถนนสายพิษณุโลก-นครสวรรค์ ทั้งขาเข้า และขาออก โดยคาดว่า จะเป็นฝีมือของคนเสื้อแดงที่แอบนำมาติดไว้ แต่หลังจากที่ ร.ต.ต.ยศพงศ์เดชา เนียมจันทร์ รอง สวป.สภ.ย่อย มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก ได้รับแจ้งเหตุ และไปตรวจสอบ ก็พบว่า ป้ายดังกล่าวมีขนาดกว้าง 1 เมตร ยาวประมาณ 10 เมตร จำนวน 2 ผืน ติดไว้บริเวณดังกล่าว และมีประชาชนใช้มีดกรีดป้ายจนขาด เนื่องจากทนกับข้อความดังกล่าวไม่ได้
ร.ต.ต.ยศพงศ์เดชากล่าวว่า สอบถามชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกดังกล่าว ทราบว่า กลางดึกคืนวันที่ 24 ก.พ. ได้ยินเสียงสุนัขเห่าไปทั่วบริเวณ คาดว่า จะมีมือมือแอบนำป้ายดังกล่าวมาติด เพราะช่วงเช้าวันที่ 25 ก.พ. ก็เห็นป้ายข้อความดังกล่าวแล้ว ทำให้ชาวบ้านบางรายทนไม่ได้ นำมีดไปกรีดป้ายทิ้ง พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม คนทำไม่น่าเกิดเป็นคนไทย ซึ่งมีความคิดเห็นต่างได้ แต่ไม่แยกประเทศอย่างแน่นอน
จากนั้น ร.ต.ต.ยศพงศ์เดชา และเจ้าหน้าที่ได้ทำการเก็บป้ายดังกล่าว เพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการสืบหาตัวผู้ก่อเหตุ เพราะเป็นการกระทำผิดทางด้านความมั่นคงของประเทศ พร้อมรายงานให้กับผู้บังคับบัญชาทราบ
รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า ล่าสุดวิทยุ 191 ได้แจ้งว่า ผู้บังคับบัญชาสั่งการให้ทุก สภ.ตรวจสอบ และควานหาป้ายข้อความที่กระทบต่อความมั่นคงทั่วจังหวัดพิษณุโลก แต่เบื้องต้นทราบว่า พบเพียง 1 ป้ายเท่านั้น