xs
xsm
sm
md
lg

หายนะชาติจากน้ำมือทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

ประเทศไทยวันนี้แบ่งเป็น 2 ฝ่ายชัดเจนแล้วครับ ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะ เราก็ไม่มีวันกลับมาเป็นประเทศไทยอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป

คนไทยจะเลือกสนับสนุนดาราบางคนที่มีจุดยืนทางการเมืองร่วมกับตัวเอง และต่อต้านดาราอีกฝ่าย เลือกฟังนักร้องบางคนและต่อต้านนักร้องบางคน ไม่สนับสนุนสินค้าบางยี่ห้อ เลือกนั่งกินอาหารคนละร้าน นับจากนี้ไปเมืองไทยก็จะเป็นสองนคราธิปไตยที่แท้จริง

เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ต้นตำรับสองนคราธิปไตย เคยอธิบายว่า สองนคราธิปไตยคือประชาธิปไตยของคนในเมืองหรือชนชั้นกลาง กับประชาธิปไตยของคนชนบทหรือคนชั้นล่างที่มีความแตกต่างกัน

คำอธิบายต่อสองนคราธิปไตยของเอนกก็คือ ฝ่ายชนบทมีจำนวนมากกว่า และเป็นฝ่ายตั้งรัฐบาลในความหมายที่เขาเป็นเสียงส่วนข้างมาก แต่คนในเมืองมักจะมีบทบาทในการล้มรัฐบาล ด้วยความที่เขาเป็นคนใกล้ชิดข่าวสารข้อมูล ใกล้ชิดศูนย์อำนาจรัฐ สามารถเดินขบวน และร่วมมือกับสื่อ ร่วมมือกับนักวิชาการ รัฐบาลที่คนในชนบทตั้งมาก็อยู่ลำบาก แต่คนในกรุงพอล้มรัฐบาลไป และเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ก็ได้หน้าเดิม เพราะคนชนบทมักเลือกคนหน้าเดิมกลับมาทุกที

แต่ผมว่าวันนี้ความหมายของสองนคราธิปไตย ไม่ได้เป็นความขัดแย้งระหว่างเมืองกับชนบทอีกต่อไป แต่เป็นความแตกต่างทางการเมืองของฝ่ายที่เอาทักษิณกับไม่เอาทักษิณ ผมไม่เพ้อเจ้อแบบชาญวิทย์หรือนิธิหรอกว่า เป็นสงครามตัวแทน (Proxy War) ระหว่างอำนาจเก่า/บารมีเก่า กับอำนาจใหม่/บารมีใหม่ เงินทุนเก่ากับเงินทุนใหม่ หรือสื่อเก่ากับสื่อใหม่ สำหรับผมแล้วไม่ใช่เรื่องอำนาจเก่ากับอำนาจใหม่หรือทุนเก่ากับทุนใหม่ที่ไหนหรอกครับ แต่เป็นสงครามระหว่างฝ่ายที่เกลียดทักษิณกับฝ่ายที่รักทักษิณเท่านั้นเอง ระหว่างฝ่ายที่รับข้อมูลข่าวสารกันคนละชุดความคิด

นอกจากมีความคิดทางการเมืองที่แตกต่างกันแล้ว เรายังแบ่งความเห็นอกเห็นใจ คุณธรรมและมนุษยธรรมออกเป็นสองส่วน ดังเช่นเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ผ่านฟ้าที่มีคนเสียชีวิต 5 คนเป็นตำรวจคนหนึ่งและพลเรือน 4 คน และยังมีคนบาดเจ็บอีกจำนวนมาก ฝ่ายที่อยู่ข้างมวลมหาประชาชนก็จะมีชุดความคิดอีกอย่างหนึ่ง ว่าตำรวจเป็นผู้เริ่มใช้ความรุนแรงเพราะมีภาพชัดเจนว่าตำรวจบุกตะลุยเข้าไปทุบตีและรื้อทำลายข้าวของผู้ชุมนุมด้วยความบ้าคลั่ง และสะใจที่ตำรวจถูกตอบโต้กลับด้วยอาวุธสงคราม

เช่นเดียวกันหลังเกิดเหตุการณ์ที่ผ่านฟ้า คนเสื้อแดงพากันบีบน้ำตาสะเทือนใจ กล่าวหาว่าผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงและกระทำต่อตำรวจด้วยความโหดร้าย โดยไม่พูดถึงพลเรือนที่เสียชีวิตถึง 4 คน

แต่พอเราย้อนกลับไปที่การชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายนที่ทหารถูกยิงถล่มด้วยอาวุธสงครามล้มระเนนระนาด ตายและบาดเจ็บจำนวนมาก ขนาดการลำเลียงผู้บาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาลก็ยังถูกลากลงมาทุบตี

วันนั้นไม่รู้ว่าคนเสื้อแดงบีบน้ำตาสะเทือนใจกับเหตุการณ์นั้นไหม

หลังเกิดเหตุการณ์ที่ผ่านฟ้า ใบตองแห้ง ประชาไท หรืออธึกกิต แสวงสุข ที่ลูกจ้างวอยซ์ทีวีของพานทองแท้โพสต์ระบายอารมณ์ว่า

“ทำกับตำรวจอย่างนี้ ทั้งที่เขาไม่ใช่นักการเมือง เขาทำตามหน้าที่ รักษาความสงบ รักษากติกาของสังคม

แกนนำม็อบได้นำมวลชนล้ำเส้นจากการประท้วงทางการเมือง ไปปลุกความเกลียดชังต่อสถาบันตำรวจ ระบายอารมณ์เข้าใส่ตัวตำรวจที่เป็นบุคคล และกำลังจะทำให้มันเป็น “สงครามสีเสื้อ” ระหว่างสีกากีกับนกหวีด

ขอเตือนว่า วันนี้ตำรวจยังอดทนนะครับ แต่วันไหนตำรวจเขาเอาคืนด้วย “วิธีการแบบตำรวจ” ต่อให้ไอ้เทือกเป็นนายกฯ ก็ช่วยอะไรไม่ได้”

ถ้าใบตองแห้งมีมนุษยธรรมที่แท้จริง เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เขาน่าจะโพสต์ข้อความว่า

“ทำกับทหารอย่างนี้ ทั้งที่เขาไม่ใช่นักการเมือง เขาทำตามหน้าที่ รักษาความสงบ รักษากติกาของสังคม

แกนนำม็อบได้นำมวลชนล้ำเส้นจากการประท้วงทางการเมือง ไปปลุกความเกลียดชังต่อสถาบันทหาร ระบายอารมณ์เข้าใส่ตัวทหารที่เป็นบุคคล และกำลังจะทำให้มันเป็น “สงครามสีเสื้อ” ระหว่างสีเขียวกับเสื้อแดง

ขอเตือนว่า วันนี้ทหารยังอดทนนะครับ แต่วันไหนทหารเขาเอาคืนด้วย “วิธีการแบบทหาร” ต่อให้ทักษิณเป็นนายกฯ ก็ช่วยอะไรไม่ได้”

แค่เปลี่ยนความรู้สึกของใบตองแห้งจากคำว่า “ตำรวจ” เป็น “ทหาร” และเปลี่ยนบางคำโดยยึดโครงสร้างเดิมเท่านั้นครับ จะเห็นว่า เหตุการณ์ทั้งสองไม่ต่างกันเลย แม้จะเห็นภาพชัดว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับทหารเมื่อ 10 เมษายน 53 นั้นรุนแรงกว่าเหตุการณ์ที่ผ่านฟ้าหลายเท่า แต่เราย้อนไปดูสิครับว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ใบตองแห้งรู้สึกอย่างไร

ฟังน้ำเสียงของใบตองแห้งที่เรียกร้องให้ตำรวจเอาคืนวันนี้ ก็ต้องคิดว่าเขาน่าจะเข้าใจทหารเมื่อวันก่อนด้วย

ผมยกความเห็นของใบตองแห้งมาเป็นตัวอย่างเท่านั้น ผมเห็นคนเสื้อแดงจำนวนมากในโซเชียลมีเดียรู้สึกโศกเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตำรวจที่ผ่านฟ้า ผมอยากให้พวกเขาหันไปทบทวนความรู้สึกของตัวเอง เมื่อเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 บ้าง

พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า ผมสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงเข้าห้ำหั่นกันนะครับ เพราะไม่ว่าความรุนแรงจะเกิดกับฝ่ายไหน ใครเป็นผู้เสียชีวิตก็น่าเศร้าสลดทั้งสิ้น แต่ผมต้องการสะท้อนให้เห็นสองมาตรฐานที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ไม่เพียงแต่เราแบ่งแยกกันด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันเท่านั้น เรายังสองมาตรฐานในเรื่องความรู้สึกนึกคิดและระดับจิตใจด้วย

ขณะเดียวกันผมไม่เห็นด้วยกับฝ่ายเราที่พากันสะใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยครับ

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้บ่งบอกประเทศไทยไม่มีวันเป็นประเทศไทยที่เคยเป็นอีกต่อไป ไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้ชนะ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างมีความเชื่อว่า ฝ่ายตัวเองเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง มีชุดความคิดทางวิชาการที่ออกมาสนับสนุนแต่ละฝ่าย

ดังนั้นบอกไม่ได้เลยว่า ความขัดแย้งนี้จะจบลงเมื่อไหร่หรือต้องให้คนรุ่นเราล้มหายตายจากกันไปเสียก่อน จะเกิดสงครามกลางเมืองหรือไม่ เราจะแบ่งเป็นไทยเหนือหรือไทยใต้หรือไม่ ดูเหมือนจะเป็นหนทางที่อับจนไร้ทางออกเสียเหลือเกิน

นึกแล้วก็สะท้านสะเทือนใจว่า ความดื้อดึงของทักษิณจะจบลงด้วยชีวิตของทั้งสองฝ่ายอีกกี่คน ความล่มสลายของประเทศไทยจะย่อยยับและสูญเสียอีกเท่าไหร่

วันนี้ประเทศไทยไม่มีวันเหมือนเดิม กลายเป็นสองนคราธิปไตยที่แท้จริง เป็นหายนะที่เกิดขึ้นจากคนชื่อทักษิณ เพียงคนเดียว
กำลังโหลดความคิดเห็น