**ผ่านมาแล้วมากกว่า 100 วัน ที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ถือธงนำมวลมหาประชาชนคนไทยร่วมปฏิรูปการเมือง ล้มล้าง “ระบอบทักษิณ” จากสถานีสามเสน คัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มายังเวทีราชดำเนินล้ม “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”มุ่งหน้าสู่การชัตดาวน์กรุงเทพฯ รีสตาร์ทไทยแลนด์ เพื่อจัดวางระบบฐานรากของประเทศไทย
“ม็อบกำนัน”มาไกลกว่าจะถอยหลังกลับ มาไกลเกินว่าจะยอมบิดพลิ้วสัตยาบันที่ให้ไว้กับมวลมหาประชาชน ซึ่งการต่อสู้มาอย่างยืดเยื้อยาวนาน ต้องยอมรับว่า มีบางจังหวะที่ต้องซอยเท้ารอ เพื่อเปิดทางให้ “เครือข่ายชินวัตร”ได้ เจรจาต่อรอง บ้างในบางโอกาส
**ยื่นเงื่อนไขของกันและกัน ตามปกติของการทำศึกใหญ่
เพราะหากเงื่อนไขของทั้งสองฝ่ายสามารถเจอกันคนละครึ่งทางได้ โอกาสที่จะ“วิน-วิน”ก็มีสูงตามไปด้วย การเปลืองสรรพกำลังเสียเลือดเสียเนื้อโดยใช่เหตุก็จะหมดไป
แต่ด้วยเงื่อนไขของ กปปส.กับ "เครือข่ายนายใหญ่" เดินกันคนละทาง ไม่สามารถพบกันครึ่งทางได้ การเจรจาจึงต้องพับโต๊ะเก็บฉากกลับเกือบทุกครั้ง
เป็นที่รู้กันว่า สุเทพ เปิดโต๊ะเจรจาครั้งแรกกับ ยิ่งลักษณ์ ที่กองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 พัน 4 รอ.) ตั้งแต่เมื่อครั้งม็อบกำนัน ยังไม่ได้สถาปนาเป็น กปปส. ด้วยซ้ำ
โดยครั้งนั้นเป็นการพูดคุยท่ามกลาง “บิ๊กกองทัพ”ประกอบด้วย “พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร”ผบ.สส. “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”ผบ.ทบ. “พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง”ผบ.ทอ. “พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย”ผบ.ทร. วันนั้น สุเทพ ยื่นเงื่อนไขให้ ยิ่งลักษณ์ ลาออกจากตำแหน่งรักษาการนายกฯ เพื่อเปิดทางให้มี “นายกฯคนกลาง”ขึ้นมา ก่อนจะเข้ามาปฏิรูปประเทศ
แน่นอนว่า ยิ่งลักษณ์ ปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด โดยอ้างว่าไม่สามารถกระทำได้ เพราะไม่มีรัฐธรรมนูญรองรับเอาไว้ พร้อมทั้งขอนำความการหารือไปปรึกษา"พี่แม้ว" ก่อน สุดท้ายคำตอบของ ยิ่งลักษณ์ คือการแข็งข้อ ไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งรักษาการนายกฯ
**ดีลบนโต๊ะเจรจาครั้งแรกของ สุเทพ กับ ยิ่งลักษณ์ จึงล่มตั้งแต่ไม่ทันข้ามคืน
โต๊ะเจรจาครั้งที่สอง จะเรียกว่าโต๊ะเจรจาคงพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเป็นความพยายามของคน วงนอก อย่าง “กิตติพงษ์ กิตยารักษ์”ปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่พอมีคอนเนกชั่นกับ เครือข่ายชินวัตร อยู่บ้าง จับมือกับ “นิพนธ์ พร้อมพันธุ์”พี่ชายของ “ศรีสกุล พร้อมพันธุ์”ภรรยาสุดเลิฟของ สุเทพ
ทั้ง“กิตติพงษ์-นิพนธ์”พยายามเกลี้ยกล่อมให้ “เครือข่ายชินวัตร - สุเทพ”ยอมมานั่งคุยกันอีกครั้ง เพื่อยื่นข้อเสนอให้กันและกัน หวังความขัดแย้งเที่ยวนี้จบลงบนโต๊ะเจรจาให้ได้
ข่าวทางลับระบุว่า กิตติพงษ์ ดีลเปิดทาง เครือข่ายชินวัตร ได้สำเร็จ พร้อมรับฟังเงื่อนไขรอบใหม่ของ สุเทพ
แต่ทว่า เลขาธิการ กปปส. เสียงแข็ง ไม่การเจรจาทั้งสิ้น พร้อมเหน็บแนม“กิตติพงษ์-นิพนธ์”บนเวทีปราศรัยหลายครั้งว่าเป็น “พวกโลกสวย” ให้กลับบ้านไป เพราะตอนนี้“โลกไม่สวย”เหมือนเดิมแล้ว
**ดีลครั้งที่สองจึงจบลง ทั้งที่ยังไม่ได้เป็นโต๊ะเจรจากันด้วยซ้ำ
โต๊ะเจรจาครั้งที่สาม เริ่มมี ตัวละคร ที่มีคอนเนกชั่นหลายสายหลายทางเปิดตัวออกมา พร้อมกับคำกล่าวอ้างว่ามี “บุคคลสำคัญ”สั่งการให้มีการเจรจา ทางฝั่ง กปปส. ยังมีมีคนหน้าเดิมอย่าง“นิพนธ์”ซึ่งรู้กันดีว่ามีความสนิทชิดเชื้อกับ คนระดับวีไอพี เป็นคนเดินเกมเปิดโต๊ะ
ฝั่งเครือข่ายชินวัตร มีคนเดิมหน้าเก่าที่เคยดีลกับ “รัฐบาลอภิสิทธิ์”ให้ปล่อยตัวแกนนำคนเสื้อแดงออกจากเรือนจำ นาม “วัฒนา เมืองสุข” เป็นคนคอยเชื่อมประสานงาน
**การเดินเกมพูดคุยครั้งนั้น มาพร้อมๆ กับวรรคทองที่หลุกออกจากปากของ“นพดล ปัทมะ”ผู้ใกล้ชิดนายใหญ่ ที่ออกมาพูดในช่วงเดียวกันแบบไม่บังเอิญว่า “สงครามโลกยังจบได้ด้วยการเจรจา”
ว่ากันว่าฝ่าย กปปส.โดย สุเทพ ได้เสนอ“วิษณุ เครืองาม”เป็น คนกลางที่จะทำหน้าที่หย่าศึกครั้งนี้ เพราะแม้ วิษณุ จะเคยเป็นอดีตเนติบริกรผู้จงรักภักดีของ ทักษิณ แต่หลังจาก “รัฐบาลไทยรักไทย”ล่มสลาย ก็ชิ่งออกมายืนอยู่วงนอก แบบตัดบัวไม่เหลือใย ทั้งยังมาจูนติดกับฝ่าย สุเทพ มากขึ้น
สาเหตุที่ เลขาธิการ กปปส.หยิบชื่อ “วิษณุ” ขึ้นมาจากโถ ก็เพราะเชื่อว่าเป็นบุคคลที่รอบรู้แง่มุมทางกฎหมาย และรู้เช่นเห็นชาติ “นายใหญ่” จนทะลุปรุโปร่ง เหมาะสมอย่างยิ่งในการเข้ามาชูธงปฏิรูปขจัด“ระบอบทักษิณ”ออกไปให้สิ้นซาก
**“วิษณุ เครืองาม” จึงเป็นแคนดิเดต “นายกฯคนดี” ลำดับต้นๆในใจของ “กำนันสุเทพ”
การเจรจาครั้งล่าสุดนี้ เป็นไปค่อนข้างดี ทั้งสองขั้วอำนาจเปิดประตูคุยกันมากขึ้น ทุกอย่างเกือบลงเอยด้วยละครฉากใหญ่ อยู่แล้ว แต่โบราณว่าไว้ “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่”ฉันใด นักการเมือง คุยกันก็ย่อมเกิดความหวดระแวงกันขึ้น ฉันนั้น
ฝ่าย สุเทพ ซึ่งนำม็อบ กปปส. มาไกลเกินจะถอย ก็ไม่มั่นใจกับสัญญาลมปากของ“นายใหญ่-เครือข่ายชินวัตร”เกรงว่าดีลนี้มีการขุดบ่อล่อปลาไว้ หากไม่ระวังอาจตกหลุมพราง แล้วโดนตลบหลังได้ หากเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับหมดอำนาจต่อรอง และปิดฉากตำนาน “มวลมหาประชาชน”อย่างแน่นอน
ขณะที่ฝ่ายทักษิณเอง ก็ขยาดกับคนชื่อ “วิษณุ”เพราะแม้จะดึงมาทำหน้าที่รองนายกฯ ในสมัย “รัฐบาลไทยรักไทย”ได้เป็นอย่างดี ตามสมญา “เนติบริกร” แต่ วิษณุ ก็ถือเป็นคนแรกๆ ที่ทิ้งทุ่นระบอบทักษิณ ในช่วงปลายของรัฐบาลไทยรักไทย ชื่อนี้จึงยังไม่โดนใจ นายใหญ่ เท่าที่ควร
ส่วนตัว วิษณุ ก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่กล้าที่จะเอาชื่อเสียง-ภาพพจน์ ที่เริ่มสั่งสมขึ้นมาใหม่ หลังสลัดคราบ เนติบริกร มาเสี่ยงกับการเมืองที่ยังไม่มีอะไรแน่นอน
เมื่อ ตัวละครเอกออกอาการโลเล “กำนัน”ยังคงหวาดระแวง “ทักษิณ”ก็ไม่ปลื้ม การเจรจาต้าอวย จึงล่มไปอีกครั้งแบบเงียบๆ
เป็นที่มาของการประกาศบนเวทีปราศรัย กปปส.ของ “กำนันสุเทพ”ในระยะหลังว่า จะไม่การเจรจาเกิดขึ้นอีก “ทักษิณ มันก็นักโทษ ยิ่งลักษณ์มันก็โง่ ใครจะไปคุยกับมัน ต่อแต่ไปจะไม่มีการพูดคุย เจรจาต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น” เป็นคำประกาศกร้าวของ สุเทพ เมื่อหลายคืนก่อน สะท้อนให้เห็นว่าโต๊ะเจรจารอบสามที่ต้องพับฐานไป ทั้งที่หวิดจะเข้าสูตร“วิน-วิน”อยู่รอมร่อ
อย่างไรก็แล้วแต่ การเปิดโต๊ะเจรจาทั้งสามครั้งที่ผ่านมา ถือว่ามีพัฒนาการมาเรื่อยๆ มีย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้ามากกว่าถอยหลัง หากจับผลัดจับผลู อาจจะมีการเปิดโต๊ะเจรจารอบสี่ขึ้นอีกก็เป็นได้ เพียงแต่ว่าตัวชูโรงที่จะมาเล่นบท “คนกลาง”ก็น้อยลงเรื่อยๆ จนนึกไม่ออกมาผู้ใดจะมารับบทอัศวินม้าขาวใน “สงครามชิงเมือง”ครั้งนี้
นับจากนี้ไปต้องจับตาดูเกมเจรจาให้ดี เพราะถึงอย่างไร เครือข่ายชินวัตร ก็ต้องตะบี้ตะบัน เดินเกมทางนี้ให้สำเร็จ เนื่องจากประเมินแล้วว่า การเจรจาคือ ทางรอดสุดท้าย ของระบอบทักษิณ
ห่วงก็แต่ ฝ่ายกำนัน จะไม่คุยด้วยแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุรุนแรงจากความพยายามของศรส. เข้าสลายการชุมนุมของ เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา จนมีผู้บาดเจ็บล้มตายอีกครั้ง จุดนี้ทำให้ สุเทพ มั่นใจแน่วแน่ว่า ใช้พลังมวลมหาประชาชนโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เปิดทางให้มีการปฏิรูปประเทศโดยภาคประชาชน ตัดวงจร “ระบอบแม้ว”ออก ไม่ให้มามีส่วนร่วม
“ชีวิตพวกเรามันยังทำกับเราได้ ขนาดนี้ ผมจะไม่ยอมตระกูลชินวัตร อีกต่อไป ถ้าจะให้พวกเรามีชีวิตในสภาพเป็นขี้ข้าตระกูลชินวัตร ให้ตายเสี ยดีกว่า ญาติของเราศพแล้วศพเล่าสังเวยเพราะการกระหายอำนาจ ไม่มีอะไรจะสูญเสียกว่านี้อีกแล้ว จะไม่มีการเจรจาต่อรองอีก”
**นี่คือคำกล่าวของ “กำนันสุเทพ”บนเวทีแยกปทุมวัน เมื่อค่ำคืนวันที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา ถือเป็นบทสรุปแนวทางของ กปปส. ต่อไปจากนี้ได้เป็นอย่างดี
“ม็อบกำนัน”มาไกลกว่าจะถอยหลังกลับ มาไกลเกินว่าจะยอมบิดพลิ้วสัตยาบันที่ให้ไว้กับมวลมหาประชาชน ซึ่งการต่อสู้มาอย่างยืดเยื้อยาวนาน ต้องยอมรับว่า มีบางจังหวะที่ต้องซอยเท้ารอ เพื่อเปิดทางให้ “เครือข่ายชินวัตร”ได้ เจรจาต่อรอง บ้างในบางโอกาส
**ยื่นเงื่อนไขของกันและกัน ตามปกติของการทำศึกใหญ่
เพราะหากเงื่อนไขของทั้งสองฝ่ายสามารถเจอกันคนละครึ่งทางได้ โอกาสที่จะ“วิน-วิน”ก็มีสูงตามไปด้วย การเปลืองสรรพกำลังเสียเลือดเสียเนื้อโดยใช่เหตุก็จะหมดไป
แต่ด้วยเงื่อนไขของ กปปส.กับ "เครือข่ายนายใหญ่" เดินกันคนละทาง ไม่สามารถพบกันครึ่งทางได้ การเจรจาจึงต้องพับโต๊ะเก็บฉากกลับเกือบทุกครั้ง
เป็นที่รู้กันว่า สุเทพ เปิดโต๊ะเจรจาครั้งแรกกับ ยิ่งลักษณ์ ที่กองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 พัน 4 รอ.) ตั้งแต่เมื่อครั้งม็อบกำนัน ยังไม่ได้สถาปนาเป็น กปปส. ด้วยซ้ำ
โดยครั้งนั้นเป็นการพูดคุยท่ามกลาง “บิ๊กกองทัพ”ประกอบด้วย “พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร”ผบ.สส. “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”ผบ.ทบ. “พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง”ผบ.ทอ. “พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย”ผบ.ทร. วันนั้น สุเทพ ยื่นเงื่อนไขให้ ยิ่งลักษณ์ ลาออกจากตำแหน่งรักษาการนายกฯ เพื่อเปิดทางให้มี “นายกฯคนกลาง”ขึ้นมา ก่อนจะเข้ามาปฏิรูปประเทศ
แน่นอนว่า ยิ่งลักษณ์ ปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด โดยอ้างว่าไม่สามารถกระทำได้ เพราะไม่มีรัฐธรรมนูญรองรับเอาไว้ พร้อมทั้งขอนำความการหารือไปปรึกษา"พี่แม้ว" ก่อน สุดท้ายคำตอบของ ยิ่งลักษณ์ คือการแข็งข้อ ไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งรักษาการนายกฯ
**ดีลบนโต๊ะเจรจาครั้งแรกของ สุเทพ กับ ยิ่งลักษณ์ จึงล่มตั้งแต่ไม่ทันข้ามคืน
โต๊ะเจรจาครั้งที่สอง จะเรียกว่าโต๊ะเจรจาคงพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเป็นความพยายามของคน วงนอก อย่าง “กิตติพงษ์ กิตยารักษ์”ปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่พอมีคอนเนกชั่นกับ เครือข่ายชินวัตร อยู่บ้าง จับมือกับ “นิพนธ์ พร้อมพันธุ์”พี่ชายของ “ศรีสกุล พร้อมพันธุ์”ภรรยาสุดเลิฟของ สุเทพ
ทั้ง“กิตติพงษ์-นิพนธ์”พยายามเกลี้ยกล่อมให้ “เครือข่ายชินวัตร - สุเทพ”ยอมมานั่งคุยกันอีกครั้ง เพื่อยื่นข้อเสนอให้กันและกัน หวังความขัดแย้งเที่ยวนี้จบลงบนโต๊ะเจรจาให้ได้
ข่าวทางลับระบุว่า กิตติพงษ์ ดีลเปิดทาง เครือข่ายชินวัตร ได้สำเร็จ พร้อมรับฟังเงื่อนไขรอบใหม่ของ สุเทพ
แต่ทว่า เลขาธิการ กปปส. เสียงแข็ง ไม่การเจรจาทั้งสิ้น พร้อมเหน็บแนม“กิตติพงษ์-นิพนธ์”บนเวทีปราศรัยหลายครั้งว่าเป็น “พวกโลกสวย” ให้กลับบ้านไป เพราะตอนนี้“โลกไม่สวย”เหมือนเดิมแล้ว
**ดีลครั้งที่สองจึงจบลง ทั้งที่ยังไม่ได้เป็นโต๊ะเจรจากันด้วยซ้ำ
โต๊ะเจรจาครั้งที่สาม เริ่มมี ตัวละคร ที่มีคอนเนกชั่นหลายสายหลายทางเปิดตัวออกมา พร้อมกับคำกล่าวอ้างว่ามี “บุคคลสำคัญ”สั่งการให้มีการเจรจา ทางฝั่ง กปปส. ยังมีมีคนหน้าเดิมอย่าง“นิพนธ์”ซึ่งรู้กันดีว่ามีความสนิทชิดเชื้อกับ คนระดับวีไอพี เป็นคนเดินเกมเปิดโต๊ะ
ฝั่งเครือข่ายชินวัตร มีคนเดิมหน้าเก่าที่เคยดีลกับ “รัฐบาลอภิสิทธิ์”ให้ปล่อยตัวแกนนำคนเสื้อแดงออกจากเรือนจำ นาม “วัฒนา เมืองสุข” เป็นคนคอยเชื่อมประสานงาน
**การเดินเกมพูดคุยครั้งนั้น มาพร้อมๆ กับวรรคทองที่หลุกออกจากปากของ“นพดล ปัทมะ”ผู้ใกล้ชิดนายใหญ่ ที่ออกมาพูดในช่วงเดียวกันแบบไม่บังเอิญว่า “สงครามโลกยังจบได้ด้วยการเจรจา”
ว่ากันว่าฝ่าย กปปส.โดย สุเทพ ได้เสนอ“วิษณุ เครืองาม”เป็น คนกลางที่จะทำหน้าที่หย่าศึกครั้งนี้ เพราะแม้ วิษณุ จะเคยเป็นอดีตเนติบริกรผู้จงรักภักดีของ ทักษิณ แต่หลังจาก “รัฐบาลไทยรักไทย”ล่มสลาย ก็ชิ่งออกมายืนอยู่วงนอก แบบตัดบัวไม่เหลือใย ทั้งยังมาจูนติดกับฝ่าย สุเทพ มากขึ้น
สาเหตุที่ เลขาธิการ กปปส.หยิบชื่อ “วิษณุ” ขึ้นมาจากโถ ก็เพราะเชื่อว่าเป็นบุคคลที่รอบรู้แง่มุมทางกฎหมาย และรู้เช่นเห็นชาติ “นายใหญ่” จนทะลุปรุโปร่ง เหมาะสมอย่างยิ่งในการเข้ามาชูธงปฏิรูปขจัด“ระบอบทักษิณ”ออกไปให้สิ้นซาก
**“วิษณุ เครืองาม” จึงเป็นแคนดิเดต “นายกฯคนดี” ลำดับต้นๆในใจของ “กำนันสุเทพ”
การเจรจาครั้งล่าสุดนี้ เป็นไปค่อนข้างดี ทั้งสองขั้วอำนาจเปิดประตูคุยกันมากขึ้น ทุกอย่างเกือบลงเอยด้วยละครฉากใหญ่ อยู่แล้ว แต่โบราณว่าไว้ “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่”ฉันใด นักการเมือง คุยกันก็ย่อมเกิดความหวดระแวงกันขึ้น ฉันนั้น
ฝ่าย สุเทพ ซึ่งนำม็อบ กปปส. มาไกลเกินจะถอย ก็ไม่มั่นใจกับสัญญาลมปากของ“นายใหญ่-เครือข่ายชินวัตร”เกรงว่าดีลนี้มีการขุดบ่อล่อปลาไว้ หากไม่ระวังอาจตกหลุมพราง แล้วโดนตลบหลังได้ หากเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับหมดอำนาจต่อรอง และปิดฉากตำนาน “มวลมหาประชาชน”อย่างแน่นอน
ขณะที่ฝ่ายทักษิณเอง ก็ขยาดกับคนชื่อ “วิษณุ”เพราะแม้จะดึงมาทำหน้าที่รองนายกฯ ในสมัย “รัฐบาลไทยรักไทย”ได้เป็นอย่างดี ตามสมญา “เนติบริกร” แต่ วิษณุ ก็ถือเป็นคนแรกๆ ที่ทิ้งทุ่นระบอบทักษิณ ในช่วงปลายของรัฐบาลไทยรักไทย ชื่อนี้จึงยังไม่โดนใจ นายใหญ่ เท่าที่ควร
ส่วนตัว วิษณุ ก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่กล้าที่จะเอาชื่อเสียง-ภาพพจน์ ที่เริ่มสั่งสมขึ้นมาใหม่ หลังสลัดคราบ เนติบริกร มาเสี่ยงกับการเมืองที่ยังไม่มีอะไรแน่นอน
เมื่อ ตัวละครเอกออกอาการโลเล “กำนัน”ยังคงหวาดระแวง “ทักษิณ”ก็ไม่ปลื้ม การเจรจาต้าอวย จึงล่มไปอีกครั้งแบบเงียบๆ
เป็นที่มาของการประกาศบนเวทีปราศรัย กปปส.ของ “กำนันสุเทพ”ในระยะหลังว่า จะไม่การเจรจาเกิดขึ้นอีก “ทักษิณ มันก็นักโทษ ยิ่งลักษณ์มันก็โง่ ใครจะไปคุยกับมัน ต่อแต่ไปจะไม่มีการพูดคุย เจรจาต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น” เป็นคำประกาศกร้าวของ สุเทพ เมื่อหลายคืนก่อน สะท้อนให้เห็นว่าโต๊ะเจรจารอบสามที่ต้องพับฐานไป ทั้งที่หวิดจะเข้าสูตร“วิน-วิน”อยู่รอมร่อ
อย่างไรก็แล้วแต่ การเปิดโต๊ะเจรจาทั้งสามครั้งที่ผ่านมา ถือว่ามีพัฒนาการมาเรื่อยๆ มีย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้ามากกว่าถอยหลัง หากจับผลัดจับผลู อาจจะมีการเปิดโต๊ะเจรจารอบสี่ขึ้นอีกก็เป็นได้ เพียงแต่ว่าตัวชูโรงที่จะมาเล่นบท “คนกลาง”ก็น้อยลงเรื่อยๆ จนนึกไม่ออกมาผู้ใดจะมารับบทอัศวินม้าขาวใน “สงครามชิงเมือง”ครั้งนี้
นับจากนี้ไปต้องจับตาดูเกมเจรจาให้ดี เพราะถึงอย่างไร เครือข่ายชินวัตร ก็ต้องตะบี้ตะบัน เดินเกมทางนี้ให้สำเร็จ เนื่องจากประเมินแล้วว่า การเจรจาคือ ทางรอดสุดท้าย ของระบอบทักษิณ
ห่วงก็แต่ ฝ่ายกำนัน จะไม่คุยด้วยแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุรุนแรงจากความพยายามของศรส. เข้าสลายการชุมนุมของ เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา จนมีผู้บาดเจ็บล้มตายอีกครั้ง จุดนี้ทำให้ สุเทพ มั่นใจแน่วแน่ว่า ใช้พลังมวลมหาประชาชนโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เปิดทางให้มีการปฏิรูปประเทศโดยภาคประชาชน ตัดวงจร “ระบอบแม้ว”ออก ไม่ให้มามีส่วนร่วม
“ชีวิตพวกเรามันยังทำกับเราได้ ขนาดนี้ ผมจะไม่ยอมตระกูลชินวัตร อีกต่อไป ถ้าจะให้พวกเรามีชีวิตในสภาพเป็นขี้ข้าตระกูลชินวัตร ให้ตายเสี ยดีกว่า ญาติของเราศพแล้วศพเล่าสังเวยเพราะการกระหายอำนาจ ไม่มีอะไรจะสูญเสียกว่านี้อีกแล้ว จะไม่มีการเจรจาต่อรองอีก”
**นี่คือคำกล่าวของ “กำนันสุเทพ”บนเวทีแยกปทุมวัน เมื่อค่ำคืนวันที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา ถือเป็นบทสรุปแนวทางของ กปปส. ต่อไปจากนี้ได้เป็นอย่างดี