ปฏิบัติการเลือดที่ผ่านฟ้า ตายเพิ่มอีก1 รวมเป็น 5 ชี้ ศรส.จงใจก่อเหตุ หวังให้ศาลคงพ.ร.ก.ฉุกเฉิน "เหลิม" เถียงไม่ออก ตร.ถือเอ็ม 16 หรา อ้างเป็นแค่ยุทธวิธี ไว้ป้องกันตอนตร.ล่าถอย "ธาริต" อ้างไม่ได้ใช้กระสนุนจริง "ปึ้ง"แถ"ปู"ไม่เกี่ยว เป็นเรื่องของศรส. สั่งคมโซเชียลแชร์ ว่อนเน็ต ตร.ควบคุมฝูงชนออกแถลงการณ์ ไม่ยอมเป็นเครื่องมือต่ออายุให้รัฐบาลอีกต่อไป อัดศรส.ปล่อยตร.ระดับปฏิบัติ ต้องเผชิญชะตากรรม อาจถูกฟ้องร้อง
จากกรณีที่ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.)ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ายึดพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มเครือข่ายประชาชนโค่นระบอบทักษิณ( กปท.) ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ซึ่งในวันดังกล่าว มีผู้เสียชีวิต 4 คน และบาดเจ็บ 64 คนนั้น
ต่อมาศูนย์เอราวัณ ได้แถลงเมื่อเวลา 08.00 น. (19 ก.พ.) ว่ามีผู้บาดเจ็บจากการปะทะ 65 คน เสียชีวิต 5 คน รวมเป็น 70 คน ซึ่งผู้เสียชีวิตเดิม 4 คน ตายเพิ่มเมื่อกลางดึกที่ผ่านมาอีก 1 คน รวมเป็น 5 คน อยู่ที่ร.พ.กลาง 2 คน ได้แก่ นายสุพจน์ บุญรุ่ง อายุ 52 ปี มีบาดแผลที่ศีรษะ และ ด.ต.เพียรชัย ภารวัตร บาดแผลที่หน้าอก สำหรับผู้เสียชีวิตอีก 3 คน อยู่ที่ร.พ.วชิระ ได้แก่ นายธนูศักดิ์ รัตนคช บาดแผลที่ หน้าอกซ้าย นายศรัทธา แซ่ด่าน มีบาดแผลใต้ราวนม และ นายจีรพงษ์ ฉุยฉาย 29 ปี ถูกยิงบริเวณคอ เสียชีวิตเป็นรายล่าสุด
** ศรส.จงใจก่อเหตุเพื่อคงพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การปฏิบัติการดังกล่าวของตำรวจ เป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ ขัด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 17 ที่ระบุว่า การเข้าปฏิบัติการตาม พ.ร.ก.นี้ ต้องดำเนินการโดยสุจริต แต่เห็นได้ชัดเจนว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ ไม่น่าจะสุจริต มีความพยายามหลอกล่อเจรจา แต่อีกด้านหนึ่งใช้กำลังเข้าปราบปราม โดยมีการสร้างเงื่อนไขที่ทำให้ตกลงกันไม่ได้ จึงถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต
ทั้งนี้ มีคำถามว่า ทำไมต้องสลายการชุมนุมให้ได้ ในวันที่ 18 ก.พ. ทั้งที่ผู้ชุมนุมอยู่บริเวณนั้นมานานแล้ว และสามารถเจรจาเพื่อหาข้อยุติได้ แต่กลับนำไปสู่ความรุนแรง เพราะมีความพยายามสร้างสถานการณ์ที่ประสงค์ให้คงการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป ใช่หรือไม่ เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น มีการสร้างความรุนแรง อาจนำไปสู่ข้ออ้างที่จะไม่ให้ศาลแพ่ง มีคำสั่งเพิกถอนการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใช่หรือไม่ เพื่อคงอำนาจการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไป หรือไม่
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้น และมีภาพในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่มีการเผยแพร่ภาพพลซุ่มยิง มีภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจถือปืนสไนเปอร์ ต้องถามว่า ปืนลักษณะนี้ มีการใช้เฉพาะภารกิจสำคัญ หวังผลในระยะไกลได้ ทำไมนำมาใช้ในภารกิจขอคืนพื้นที่ ที่สะพานผ่านฟ้า ศรส. และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศรส. ต้องตอบ วันนี้ตำรวจและประชาชนเสียชีวิต เพราะความบ้าอำนาจ ต้องการแสดงอิทธิฤทธิให้นายใหญ่เห็น ว่ามีศักยภาพที่จะจัดการกับประชาชน โดยไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการดังกล่าว
** "เหลิม"อ้างตร.ใช้ปืนแค่ยุทธวิธี
เมื่อเวลา 11.30 น. วานนี้ (19ก.พ.) ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) กล่าวถึง การขอคืนพื้นที่ 5 จุด เมื่อวันที่ 18 ก.พ. จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตว่า ตนติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด และไม่คิดมาก่อนว่า ม็อบของนายสุเทพ จะมีอาวุธสงคราม ชัดเจนว่า สิ่งที่ประกาศป่าวร้องว่า ชุมนุมสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ เป็นความเท็จ นายสุเทพ นำม็อบมาเพื่อต้องการให้เกิดเหตุ และความรุนแรง แต่เจ้าหน้าที่ระมัดระวัง จะเห็นว่า เอ็ม 79 นั้นหายาก รวมถึงอาวุธปืนชนิดอื่นๆ เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา หากนายสุเทพ มีสำนึกว่าเคยเป็นรัฐมนตรี และรองนายกฯ จะไม่นำมวลชนมา เพราะตำรวจไม่ได้สลายม็อบ แค่จะเข้าไปจับผู้ที่มีหมายจับ และเป็นที่ซ่องสุมอาวุธ ที่อยู่ข้างทำเนียบรัฐบาล ตำรวจไม่ได้ไปที่ เวทีกปปส.ปทุมวัน สวนลุมพินี และอโศก เพื่อสลายม็อบ นายสุเทพ ไม่มีความจำเป็นใดๆเลยที่ต้องมา ที่มาเพราะต้องการหาเรื่อง เริ่มตั้งแต่กระทรวงมหาดไทย ที่ใช้เอ็ม 16 ยิงตำรวจมาจากข้างในก่อน
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ที่มีคนบอกว่า เห็นตำรวจถือเอ็ม 16 นั้นถูกต้อง แต่เป็นยุทธวิธีการฝึก เมื่อตำรวจชุดปราบจราจลมือเปล่า ถอนกำลังกลับที่ตั้งจะมีตำรวจอีกชุดหนึ่งถืออาวุธ ให้ม็อบมีความรู้สึกว่า อย่าตามเข้าไปทำร้าย ตำรวจมีเป็นหมื่นคน ม็อบมีประมาณ 5 พันคน หากตำรวจเขาคิดชั่วอย่างที่ นายสุเทพคิด ชาวบ้านจะเหลืออะไร แต่เขาไม่ได้คิด จึงถอยออกมา ยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ใช้กระสุนจริง หากใช้ตายเยอะแยะกว่านี้ แต่ตนมั่นใจว่า มีมือที่สาม เพราะตำรวจมือเปล่า ล้มคาโล่ เห็นแล้วเจ็บปวด อย่างไรก็ตาม มาตรการของศรส. หลังจากนี้ จะเป็นอย่างไร คงต้องรอคำวินิฉัยของศาลแพ่ง ในช่วงบ่าย วันนี้ (19 ก.พ.) ผอ.ศรส.กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจเสียขวัญ และกำลังใจ เพราะผู้บังคับบัญชาบังคับไม่ให้พกพาอาวุธ และไม่ให้ทำร้ายประชาชน แต่เหตุที่เกิดขึ้น เพราะนายสุเทพเป็นต้นเหตุ ส่วนกระแสข่าวว่า ตำรวจฝ่ายปฏิบัติไม่พอใจที่ไม่ให้ใช้อาวุธเพื่อป้องกันตัวนั้น ตนได้รับรายงานแล้ว
“ผมขอย้ำอีกครั้งว่า มันจะมีแบ็กอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีพระสยามเทวาธิราชคุ้มครอง นายสุเทพ ต้องพบจุดจบในเร็ววันนี้ จากพรรคพวกเขาเอง และแพ้ภัยตัวเอง ซึ่งใกล้จบแล้ว”ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
** "ปึ้ง"แถ"ปู"ไม่เกี่ยวสลายชุมนุม
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธานที่ปรึกษา ศรส. กล่าวถึงกรณีที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้สั่งการให้เปิดพื้นที่สถานที่ราชการ จนทำให้เกิดความสูญเสีย ว่า นายกฯไม่ได้สั่งการอะไรทั้งสิ้น ทุกครั้งที่ ศรส.ปฏิบัติการ ก็กำชับตลอดเวลาไม่ให้ใช้ความรุนแรง เหตุการณ์เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ตำรวจใช้ความอดทนเต็มที่ ปฏิบัติตามหลักสากล ภาพข่าวที่สื่อไทย และสื่อต่างประเทศนำเสนอ จะเห็นว่ามีระเบิดโยนเข้าใส่ตำรวจ
ทั้งตำรวจและผู้ชุมนุมหลบเข้าที่กำบัง คำถามคือ ใครเป็นผู้กระทำการนั้น เชื่อว่ามีคนกลุ่มหนึ่งปฏิบัติการอยู่ตรงนั้น ฉะนั้นจะมากล่าวหาว่า นายกฯสั่งการไม่ได้
" ยืนยัน นายกฯไม่ได้ยุ่งเกี่ยวหรือสั่งการ เพราะเมื่อมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คนที่ดูแลรับผิดชอบคือ ผอ.ศรส. และหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ดูแลบริหารจัดการให้เกิดความสงบเรียบร้อย " นายสุรพงษ์ กล่าว
** "ธาริต"อ้างตร.ไม่ได้ใช้กระสุนจริงยิงปชช.
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ กรรมการ ศรส. แถลงว่า ขอประณามกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ที่ปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม แล้วใช้อาวุธสงครามร้ายแรง อันได้แก่ ระเบิดลูกเกลี้ยง ระเบิดเอ็ม 79 ปืนซุ่มยิงความเร็วสูง และปืนสั้นชนิดต่างๆ รวมทั้งแก๊สน้ำตา ระดมยิงเข้าใส่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ เป็นผลให้มีตำรวจ และประชาชนเสียชีวิตถึง 5 คน และบาดเจ็บรวม 68 คน จึงเป็นที่แน่ชัดว่า แกนนำกปปส. จงใจ และยินยอมให้มีกองกำลังติดอาวุธร้ายแรงเข้าปฏิบัติการดังกล่าว
ทั้งนี้ ศรส. ขอยืนยันว่า การปฏิบัติการของตำรวจชุดควบคุมฝูงชน ปราศจากอาวุธ ซึ่งมีเพียงโล่ กระบอง และปืนยิงกระสุนยางเท่านั้น โดยเฉพาะตำรวจได้ปฏิบัติการภายใต้กรอบของกฎหมาย และปฏิบัติการเป็นขั้นตอน โดยไม่ได้ใช้อาวุธเข้าสลายการชุมนุม
ส่วนภาพทางสื่อมวลชนที่ปรากฏตำรวจถืออาวุธนั้น เป็นอาวุธปืนที่ใช้ยิงกระสุนยางเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตำรวจจำเป็นต้องมีหน่วยสนับสนุน ที่มีหน้าที่คุ้มครองป้องกัน หากตำรวจชุดควบคุมฝูงชนถูกอาวุธร้ายแรงทำร้าย ซึ่งสามารถกระทำได้ตามกฎหมาย เพื่อป้องกันชีวิต และทรัพย์สิน แต่การปฏิบัติการเมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา ตำรวจหน่วยสนับสนุน ก็ไม่ได้ใช้อาวุธปืนยิงแต่อย่างใด เพียงแสดงกำลัง และอาวุธเพื่อป้องปรามตามยุทธวิธีเท่านั้น
** ตร.สุดทนตกเป็นเครื่องมือรับใช้รัฐบาล
วันเดียวกันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการแชร์แถลงการณ์โดยอ้างว่า มาจากชุดควบคุมฝูงชนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ ผ่านทางไลน์โทรศัพท์ และสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นวงกว้าง โดยข้อความในแถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า
“เป็นที่ทราบกันโดยชัดแจ้งแล้วว่า ผู้ชุมนุมที่ใช้นามว่า กปปส. และเครือข่ายต่างๆ ที่ร่วมกันนั้นมีอาวุธปืน และอาวุธสงครามร้ายแรง ทำให้การปฏิบัติหน้าที่ในหลายครั้งที่ผ่านมา ตำรวจต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก โดยที่ชุดควบคุมฝูงชนมีเพียงโล่ และกระบอง และอาจมีบางครั้งที่ใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีหนทางที่จะต่อสู้กับผู้ชุมนุมได้
การปฏิบัติแต่ละครั้งก็มีแต่ความสูญเสีย ชุดควบคุมฝูงชนจึงขอเรียกร้องดังนี้
1. การปฏิบัติหน้าที่คราวต่อไป ต้องมีการประกอบกำลังอาวุธเต็มรูปแบบ ทั้งอาวุธปืนพกส่วนตัว และอาวุธปืนยาวที่ใช้ประจำหน่วย ประกอบด้วย ลูกซอง และ M79
2. ไม่ควรมีการเจรจากับผู้ชุมนุมอีกต่อไป เพราะที่ผ่านมาการเจรจาไม่ได้ผล
3. ให้ ศรส.รับผิดชอบการปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ต้องแถลงข่าวว่าไม่ใช้ความรุนแรง ไม่มีการสลายการชุมนุม เพราะคำพูดดังกล่าวเป็นการเอาตัวรอดของผู้มีอำนาจใน ศรส. เท่านั้น หากเกิดความรุนแรง ตำรวจผู้ปฏิบัติก็จะต้องรับผิดชอบทางอาญาตามลำพัง และที่ผ่านมาที่มีตำรวจและประชาชนเสียชีวิต ไม่รู้ว่าตำรวจผู้ปฏิบัติ จะต้องรับผิดชอบหรือไม่ หากเกิดมีการดำเนินคดี เพราะ ศรส. สามารถอ้างได้ตลอดเวลาว่า ศรส. ไม่มีนโยบายใช้ความรุนแรง และไม่มีนโยบายสลายการชุมนุม
4. ตำรวจทั้งประเทศเหนื่อยมามากแล้ว ในการปฏิบัติหน้าที่ หน่วยกำลังที่อยู่ในความปกครองของรัฐบาล ก็มิได้มีเฉพาะตำรวจเท่านั้น หน้าที่หลักของตำรวจ คือรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนให้ปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายทั่วไป และให้บริการประชาชนด้านการจราจรและงานด้านต่างๆ ตำรวจได้ทำหน้าที่ต่ออายุของรัฐบาลนี้มานานพอสมควรแล้ว ให้ใช้หน่วยงานอื่นบ้าง มิใช่ว่าเมื่อตำรวจมาเผชิญหน้ากับผู้ชุมนุม แต่กลับมีหน่วยงานที่ถืออาวุธอยู่ในฝั่งผู้ชุมนุมทั้งซ่อนเร้นและเปิด เผย รัฐบาลใช้งานตำรวจเกินกว่าเงินเดือน และมีบางส่วนเสียชีวิตและบาดเจ็บ
อนึ่ง ในขณะที่ตำรวจทำงานมากกว่าปกติ มีราชการบางส่วนเห็นดีเห็นชอบ ในการหยุดงานในกรณีที่ผู้ชุมนุมปิดล้อมสถานที่ราชการ โดยไม่มีการต่อต้าน หรือรวมตัวกันเรียกร้องสถานที่ราชการคืน จึงอยากให้ผู้มีอำนาจในรัฐบาล และ ศรส. พิจารณา
พวกเรามีวินัยแต่เหลืออดแล้ว จากชุดควบคมฝูงชนทั้งประเทศ ”
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวกำลังตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อความดังกล่าว ซึ่งทราบว่ามีการเผยแพร่และส่งต่อมาทางไลน์โทรศัพท์มาเป็นทอดๆ จนขยายเป็นวงกว้างและมีการนำมาแชร์ต่อในสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง และเตรียมแถลงให้ทราบข้อเท็จจริงต่อไป
จากกรณีที่ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.)ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ายึดพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มเครือข่ายประชาชนโค่นระบอบทักษิณ( กปท.) ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ซึ่งในวันดังกล่าว มีผู้เสียชีวิต 4 คน และบาดเจ็บ 64 คนนั้น
ต่อมาศูนย์เอราวัณ ได้แถลงเมื่อเวลา 08.00 น. (19 ก.พ.) ว่ามีผู้บาดเจ็บจากการปะทะ 65 คน เสียชีวิต 5 คน รวมเป็น 70 คน ซึ่งผู้เสียชีวิตเดิม 4 คน ตายเพิ่มเมื่อกลางดึกที่ผ่านมาอีก 1 คน รวมเป็น 5 คน อยู่ที่ร.พ.กลาง 2 คน ได้แก่ นายสุพจน์ บุญรุ่ง อายุ 52 ปี มีบาดแผลที่ศีรษะ และ ด.ต.เพียรชัย ภารวัตร บาดแผลที่หน้าอก สำหรับผู้เสียชีวิตอีก 3 คน อยู่ที่ร.พ.วชิระ ได้แก่ นายธนูศักดิ์ รัตนคช บาดแผลที่ หน้าอกซ้าย นายศรัทธา แซ่ด่าน มีบาดแผลใต้ราวนม และ นายจีรพงษ์ ฉุยฉาย 29 ปี ถูกยิงบริเวณคอ เสียชีวิตเป็นรายล่าสุด
** ศรส.จงใจก่อเหตุเพื่อคงพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การปฏิบัติการดังกล่าวของตำรวจ เป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ ขัด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 17 ที่ระบุว่า การเข้าปฏิบัติการตาม พ.ร.ก.นี้ ต้องดำเนินการโดยสุจริต แต่เห็นได้ชัดเจนว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ ไม่น่าจะสุจริต มีความพยายามหลอกล่อเจรจา แต่อีกด้านหนึ่งใช้กำลังเข้าปราบปราม โดยมีการสร้างเงื่อนไขที่ทำให้ตกลงกันไม่ได้ จึงถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต
ทั้งนี้ มีคำถามว่า ทำไมต้องสลายการชุมนุมให้ได้ ในวันที่ 18 ก.พ. ทั้งที่ผู้ชุมนุมอยู่บริเวณนั้นมานานแล้ว และสามารถเจรจาเพื่อหาข้อยุติได้ แต่กลับนำไปสู่ความรุนแรง เพราะมีความพยายามสร้างสถานการณ์ที่ประสงค์ให้คงการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป ใช่หรือไม่ เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น มีการสร้างความรุนแรง อาจนำไปสู่ข้ออ้างที่จะไม่ให้ศาลแพ่ง มีคำสั่งเพิกถอนการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใช่หรือไม่ เพื่อคงอำนาจการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไป หรือไม่
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้น และมีภาพในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่มีการเผยแพร่ภาพพลซุ่มยิง มีภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจถือปืนสไนเปอร์ ต้องถามว่า ปืนลักษณะนี้ มีการใช้เฉพาะภารกิจสำคัญ หวังผลในระยะไกลได้ ทำไมนำมาใช้ในภารกิจขอคืนพื้นที่ ที่สะพานผ่านฟ้า ศรส. และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศรส. ต้องตอบ วันนี้ตำรวจและประชาชนเสียชีวิต เพราะความบ้าอำนาจ ต้องการแสดงอิทธิฤทธิให้นายใหญ่เห็น ว่ามีศักยภาพที่จะจัดการกับประชาชน โดยไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการดังกล่าว
** "เหลิม"อ้างตร.ใช้ปืนแค่ยุทธวิธี
เมื่อเวลา 11.30 น. วานนี้ (19ก.พ.) ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) กล่าวถึง การขอคืนพื้นที่ 5 จุด เมื่อวันที่ 18 ก.พ. จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตว่า ตนติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด และไม่คิดมาก่อนว่า ม็อบของนายสุเทพ จะมีอาวุธสงคราม ชัดเจนว่า สิ่งที่ประกาศป่าวร้องว่า ชุมนุมสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ เป็นความเท็จ นายสุเทพ นำม็อบมาเพื่อต้องการให้เกิดเหตุ และความรุนแรง แต่เจ้าหน้าที่ระมัดระวัง จะเห็นว่า เอ็ม 79 นั้นหายาก รวมถึงอาวุธปืนชนิดอื่นๆ เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา หากนายสุเทพ มีสำนึกว่าเคยเป็นรัฐมนตรี และรองนายกฯ จะไม่นำมวลชนมา เพราะตำรวจไม่ได้สลายม็อบ แค่จะเข้าไปจับผู้ที่มีหมายจับ และเป็นที่ซ่องสุมอาวุธ ที่อยู่ข้างทำเนียบรัฐบาล ตำรวจไม่ได้ไปที่ เวทีกปปส.ปทุมวัน สวนลุมพินี และอโศก เพื่อสลายม็อบ นายสุเทพ ไม่มีความจำเป็นใดๆเลยที่ต้องมา ที่มาเพราะต้องการหาเรื่อง เริ่มตั้งแต่กระทรวงมหาดไทย ที่ใช้เอ็ม 16 ยิงตำรวจมาจากข้างในก่อน
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ที่มีคนบอกว่า เห็นตำรวจถือเอ็ม 16 นั้นถูกต้อง แต่เป็นยุทธวิธีการฝึก เมื่อตำรวจชุดปราบจราจลมือเปล่า ถอนกำลังกลับที่ตั้งจะมีตำรวจอีกชุดหนึ่งถืออาวุธ ให้ม็อบมีความรู้สึกว่า อย่าตามเข้าไปทำร้าย ตำรวจมีเป็นหมื่นคน ม็อบมีประมาณ 5 พันคน หากตำรวจเขาคิดชั่วอย่างที่ นายสุเทพคิด ชาวบ้านจะเหลืออะไร แต่เขาไม่ได้คิด จึงถอยออกมา ยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ใช้กระสุนจริง หากใช้ตายเยอะแยะกว่านี้ แต่ตนมั่นใจว่า มีมือที่สาม เพราะตำรวจมือเปล่า ล้มคาโล่ เห็นแล้วเจ็บปวด อย่างไรก็ตาม มาตรการของศรส. หลังจากนี้ จะเป็นอย่างไร คงต้องรอคำวินิฉัยของศาลแพ่ง ในช่วงบ่าย วันนี้ (19 ก.พ.) ผอ.ศรส.กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจเสียขวัญ และกำลังใจ เพราะผู้บังคับบัญชาบังคับไม่ให้พกพาอาวุธ และไม่ให้ทำร้ายประชาชน แต่เหตุที่เกิดขึ้น เพราะนายสุเทพเป็นต้นเหตุ ส่วนกระแสข่าวว่า ตำรวจฝ่ายปฏิบัติไม่พอใจที่ไม่ให้ใช้อาวุธเพื่อป้องกันตัวนั้น ตนได้รับรายงานแล้ว
“ผมขอย้ำอีกครั้งว่า มันจะมีแบ็กอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีพระสยามเทวาธิราชคุ้มครอง นายสุเทพ ต้องพบจุดจบในเร็ววันนี้ จากพรรคพวกเขาเอง และแพ้ภัยตัวเอง ซึ่งใกล้จบแล้ว”ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
** "ปึ้ง"แถ"ปู"ไม่เกี่ยวสลายชุมนุม
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธานที่ปรึกษา ศรส. กล่าวถึงกรณีที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้สั่งการให้เปิดพื้นที่สถานที่ราชการ จนทำให้เกิดความสูญเสีย ว่า นายกฯไม่ได้สั่งการอะไรทั้งสิ้น ทุกครั้งที่ ศรส.ปฏิบัติการ ก็กำชับตลอดเวลาไม่ให้ใช้ความรุนแรง เหตุการณ์เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ตำรวจใช้ความอดทนเต็มที่ ปฏิบัติตามหลักสากล ภาพข่าวที่สื่อไทย และสื่อต่างประเทศนำเสนอ จะเห็นว่ามีระเบิดโยนเข้าใส่ตำรวจ
ทั้งตำรวจและผู้ชุมนุมหลบเข้าที่กำบัง คำถามคือ ใครเป็นผู้กระทำการนั้น เชื่อว่ามีคนกลุ่มหนึ่งปฏิบัติการอยู่ตรงนั้น ฉะนั้นจะมากล่าวหาว่า นายกฯสั่งการไม่ได้
" ยืนยัน นายกฯไม่ได้ยุ่งเกี่ยวหรือสั่งการ เพราะเมื่อมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คนที่ดูแลรับผิดชอบคือ ผอ.ศรส. และหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ดูแลบริหารจัดการให้เกิดความสงบเรียบร้อย " นายสุรพงษ์ กล่าว
** "ธาริต"อ้างตร.ไม่ได้ใช้กระสุนจริงยิงปชช.
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ กรรมการ ศรส. แถลงว่า ขอประณามกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ที่ปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม แล้วใช้อาวุธสงครามร้ายแรง อันได้แก่ ระเบิดลูกเกลี้ยง ระเบิดเอ็ม 79 ปืนซุ่มยิงความเร็วสูง และปืนสั้นชนิดต่างๆ รวมทั้งแก๊สน้ำตา ระดมยิงเข้าใส่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ เป็นผลให้มีตำรวจ และประชาชนเสียชีวิตถึง 5 คน และบาดเจ็บรวม 68 คน จึงเป็นที่แน่ชัดว่า แกนนำกปปส. จงใจ และยินยอมให้มีกองกำลังติดอาวุธร้ายแรงเข้าปฏิบัติการดังกล่าว
ทั้งนี้ ศรส. ขอยืนยันว่า การปฏิบัติการของตำรวจชุดควบคุมฝูงชน ปราศจากอาวุธ ซึ่งมีเพียงโล่ กระบอง และปืนยิงกระสุนยางเท่านั้น โดยเฉพาะตำรวจได้ปฏิบัติการภายใต้กรอบของกฎหมาย และปฏิบัติการเป็นขั้นตอน โดยไม่ได้ใช้อาวุธเข้าสลายการชุมนุม
ส่วนภาพทางสื่อมวลชนที่ปรากฏตำรวจถืออาวุธนั้น เป็นอาวุธปืนที่ใช้ยิงกระสุนยางเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตำรวจจำเป็นต้องมีหน่วยสนับสนุน ที่มีหน้าที่คุ้มครองป้องกัน หากตำรวจชุดควบคุมฝูงชนถูกอาวุธร้ายแรงทำร้าย ซึ่งสามารถกระทำได้ตามกฎหมาย เพื่อป้องกันชีวิต และทรัพย์สิน แต่การปฏิบัติการเมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา ตำรวจหน่วยสนับสนุน ก็ไม่ได้ใช้อาวุธปืนยิงแต่อย่างใด เพียงแสดงกำลัง และอาวุธเพื่อป้องปรามตามยุทธวิธีเท่านั้น
** ตร.สุดทนตกเป็นเครื่องมือรับใช้รัฐบาล
วันเดียวกันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการแชร์แถลงการณ์โดยอ้างว่า มาจากชุดควบคุมฝูงชนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ ผ่านทางไลน์โทรศัพท์ และสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นวงกว้าง โดยข้อความในแถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า
“เป็นที่ทราบกันโดยชัดแจ้งแล้วว่า ผู้ชุมนุมที่ใช้นามว่า กปปส. และเครือข่ายต่างๆ ที่ร่วมกันนั้นมีอาวุธปืน และอาวุธสงครามร้ายแรง ทำให้การปฏิบัติหน้าที่ในหลายครั้งที่ผ่านมา ตำรวจต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก โดยที่ชุดควบคุมฝูงชนมีเพียงโล่ และกระบอง และอาจมีบางครั้งที่ใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีหนทางที่จะต่อสู้กับผู้ชุมนุมได้
การปฏิบัติแต่ละครั้งก็มีแต่ความสูญเสีย ชุดควบคุมฝูงชนจึงขอเรียกร้องดังนี้
1. การปฏิบัติหน้าที่คราวต่อไป ต้องมีการประกอบกำลังอาวุธเต็มรูปแบบ ทั้งอาวุธปืนพกส่วนตัว และอาวุธปืนยาวที่ใช้ประจำหน่วย ประกอบด้วย ลูกซอง และ M79
2. ไม่ควรมีการเจรจากับผู้ชุมนุมอีกต่อไป เพราะที่ผ่านมาการเจรจาไม่ได้ผล
3. ให้ ศรส.รับผิดชอบการปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ต้องแถลงข่าวว่าไม่ใช้ความรุนแรง ไม่มีการสลายการชุมนุม เพราะคำพูดดังกล่าวเป็นการเอาตัวรอดของผู้มีอำนาจใน ศรส. เท่านั้น หากเกิดความรุนแรง ตำรวจผู้ปฏิบัติก็จะต้องรับผิดชอบทางอาญาตามลำพัง และที่ผ่านมาที่มีตำรวจและประชาชนเสียชีวิต ไม่รู้ว่าตำรวจผู้ปฏิบัติ จะต้องรับผิดชอบหรือไม่ หากเกิดมีการดำเนินคดี เพราะ ศรส. สามารถอ้างได้ตลอดเวลาว่า ศรส. ไม่มีนโยบายใช้ความรุนแรง และไม่มีนโยบายสลายการชุมนุม
4. ตำรวจทั้งประเทศเหนื่อยมามากแล้ว ในการปฏิบัติหน้าที่ หน่วยกำลังที่อยู่ในความปกครองของรัฐบาล ก็มิได้มีเฉพาะตำรวจเท่านั้น หน้าที่หลักของตำรวจ คือรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนให้ปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายทั่วไป และให้บริการประชาชนด้านการจราจรและงานด้านต่างๆ ตำรวจได้ทำหน้าที่ต่ออายุของรัฐบาลนี้มานานพอสมควรแล้ว ให้ใช้หน่วยงานอื่นบ้าง มิใช่ว่าเมื่อตำรวจมาเผชิญหน้ากับผู้ชุมนุม แต่กลับมีหน่วยงานที่ถืออาวุธอยู่ในฝั่งผู้ชุมนุมทั้งซ่อนเร้นและเปิด เผย รัฐบาลใช้งานตำรวจเกินกว่าเงินเดือน และมีบางส่วนเสียชีวิตและบาดเจ็บ
อนึ่ง ในขณะที่ตำรวจทำงานมากกว่าปกติ มีราชการบางส่วนเห็นดีเห็นชอบ ในการหยุดงานในกรณีที่ผู้ชุมนุมปิดล้อมสถานที่ราชการ โดยไม่มีการต่อต้าน หรือรวมตัวกันเรียกร้องสถานที่ราชการคืน จึงอยากให้ผู้มีอำนาจในรัฐบาล และ ศรส. พิจารณา
พวกเรามีวินัยแต่เหลืออดแล้ว จากชุดควบคมฝูงชนทั้งประเทศ ”
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวกำลังตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อความดังกล่าว ซึ่งทราบว่ามีการเผยแพร่และส่งต่อมาทางไลน์โทรศัพท์มาเป็นทอดๆ จนขยายเป็นวงกว้างและมีการนำมาแชร์ต่อในสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง และเตรียมแถลงให้ทราบข้อเท็จจริงต่อไป