**สำหรับสถานะปัจจุบันของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เหลือแค่ตอกฝาโลงกับฌาปนกิจศพเท่านั้น
ก่อนหน้านี้มีอำนาจบาตรใหญ่แต่เหิมเกริมลุยดัน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมกันแบบสุดซอย เกมตาลปัตรเข้าทางตีนฝั่งตรงข้ามกลายมาเป็นฝ่ายที่ต้องถอยหลังชะลูดกันจนเกือบทะลุซอย
สิ่งที่ประคองลมหายใจตัวเองได้ตอนนี้เหลือแค่อย่างเดียวคือ กอดประชาธิปไตยให้แน่นๆ จนสิ้นลม
ตามสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเข้าขั้นชนิดที่หนักกว่ารัฐล้มเหลวเพราะไม่สามารถบริหารประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ด้วยประการทั้งปวงตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศกับนามธรรมสิ่งเทียมที่ชอบอ้างว่าเป็น“รัฐบาลรักษาการ”
นามธรรมสิ่งเทียมดังกล่าว ก็กำลังเล่นงานรัฐบาลโมฆะให้จมธรณีไปเรื่อยๆ เพราะศึกชิงเมืองงวดนี้ยิ่งยืดเยื้อออกไปยิ่งยาวนานเท่าไหร่ คนที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ จะหนีไม่พ้นรัฐบาลที่ต้องแบกรับหลังอาน
เพราะเมื่อมีอำนาจแต่ใช้อำนาจไม่ได้ และอำนาจนั้นไม่ชอบธรรมความเสียหายที่เกิดขึ้นก็จะพอกพูนพอกหางหมูไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่โหมดที่เรียกว่าฉิบหายวายป่วงกันทั้งแผ่นดิน ตอนนี้ข้าราชการไปเป็น กปปส.เกือบหมดแล้ว แข็งข้อกับรัฐบาลรักษาการ สั่งงานมาเอาตีนเขี่ยไปกองใต้โต๊ะ ไม่รับใช้ระบอบทักษิณ
**รัฐบาลตกอยู่ในสภาพกลับไม่ได้ไปไม่ถึง ลิ้นจุกคอ หางจุกตูด กินไม่ได้ ถ่ายไม่ออก
มหกรรมดาบนั้นคืนสนองกำลังต่อคิวกระซวกไส้รัฐบาลกันสนุก ไม่ว่าจะเป็นอภิมหากาพย์การโกงอย่างโครงการรับจำนำข้าว ที่แสดงอิทธิฤทธิ์์ได้พอเหมาะพอเจาะกับสถานการณ์ เมื่อขยะที่ซุกอยู่ใต้พรมโผล่พรวดออกมาประจานความล้มเหลวได้แบบหมดเปลือก
เงินงบประมาณที่จะนำไปจ่ายให้ชาวนา กลายเป็นยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่มันสมองน้อยนิดไม่มีปัญญาหาเงินมาจ่ายให้เพราะตกหล่นรายทางไปเข้าปากเข้ากระเป๋าพวกพ้อง แล้วกลับอ้างว่าเป็นเพราะติดกับยุบสภา ทั้งที่เงินก้อนมโหฬาร ครม.อนุมัติมาตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2556
พอเจอมวลมหาประชาชนกดดันไม่ให้ธนาคารต่างๆ ปล่อยกู้ให้เพื่อสกัดเส้นทางฟอกตัว ก็มั่วนิ่มหยิบไปแถเรียกแขกว่า ถูกขัดขวางจากกระบวนการต่อต้านรัฐบาล ทั้งที่เป็นความเลวทรามของตัวเอง
เหลือบไปแลศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) หรือ ศูนย์รวมสัตว์ของ “ขี้ข้าเหลิม”ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่แทบจะเป็นมือไม้เดียวของรัฐบาลที่พอจะขยับขับเคลื่อนได้ก็ดูจะเละเทะขึ้นทุกวัน มีหลายพฤติการณ์ที่สุ่มเสี่ยงจะผิดกฎหมาย
**โดยเฉพาะปฏิบัติรุกขยี้ม็อบ5 จุด เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นความอัปยศครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เนื่องด้วยเบื้องลึกเบื้องหลังที่น่ากังขา ตามกระแสข่าววงในที่หลุดลอดออกมา “น.ช.แม้ว”พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้หลบหนีคดีตัวฉกาจเป็นผู้ชักใยปฏิบัติการครั้งนี้
**ถึงขั้นโฟนอินลงมาบัญชาการในห้องประชุม ศรส.
การยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีอาวุธ มีแต่โล่ กระบอง เปลือยกายได้อย่างล่อนจ้อนแล้วว่า เป็นเพียงวาทกรรมที่ “ขี้ข้าเหลิม”ปรุงเสริมเติมแต่งขึ้นมาให้สวยงาม เพราะแท้ที่จริงเพียงแค่ต้องการดิสเครดิต “กำนันเทือก”นายสุเทพ เทือกสุบรรณ สมัยนั่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เท่านั้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ก็ไม่ได้เป็นอย่างวาทกรรมดังกล่าวแต่อย่างใด เพราะภาพตำรวจถือปืนยาว ปืนสั้น ถูกกระจายแชร์ว่อนโลกอินเตอร์เน็ต มีสื่อมวลชนจับภาพไว้ได้หลายสิบภาพ เพื่อมัดขบวนการหิวเลือด
การชูธงต้องการขอคืนพื้นที่โดยไม่ต้องการให้ใครได้รับบาดเจ็บหรือสูญเสียเป็นสิ่งที่ขัดแย้งในตัวเองเมื่อนำกำลังตำรวจประชิดแต่ละจุดรวมกันกว่า 25,000 นาย ว่ากันว่าเดิมทีศรส.ของ “ขี้ข้าเหลิม”อาจคงคิดว่างานนี้ง่ายไม่น่าจะยากเย็น แต่ปรากฎว่าเมื่อเจอ “สันติ อหิงสวน”โดยหน่วยรบป๊อปคอร์น ที่โผล่ขึ้นมาต่อกรกับขบวนการกระหายเลือด สิ่งที่ประเมินไว้จึงผิดพลาดแบบมหันต์
มีทั้งฝั่งผู้ชุมนุมและตำรวจที่เสียชีวิต แน่นอนว่า คนที่ผวากับเหตุการณ์ดังกล่าวมากที่สุดชนิดขี้ขึ้นสมองคือ “ขี้ข้าเหลิม”เพราะรู้สันดานกันดีว่ามีปอดขนาดเล็กกว่าปลาซิว และแขยงคุกจนยิ่งกว่าอะไร
ทำให้สถานะของปัจจุบันตกอยู่ในสภาพเดียวกับ“กำนันเทือก”ที่ก่อนหน้านี้ “ขี้ข้าเหลิม”ได้ทีขี้แพะไล่อยู่เสมอว่าเป็นพวกฆาตกรมือเปื้อนเลือด
**ชะตากรรมของ“ขี้ข้าเหลิม”นับจากนี้จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เหมือนกับที่“กำนันเทือก”เผชิญตลอดช่วงที่ผ่านมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในฐานะผู้มีอำนาจสั่งการ
แม้ภายหลังจะออกมาปฏิเสธว่า ตำรวจไม่มีอาวุธ พร้อมกับโยนความผิดชนิดทุเรศให้กับม็อบ ว่าเป็นผู้มีอาวุธสงคราม และริเริ่มจนเกิดการปะทะกัน
แต่นั่นเป็นเพียงข้ออ้างที่สุดท้ายจะต้องไปวัดกันที่ศาล สถานที่ที่“ขี้ข้าเหลิม”กลัวที่สุดแห่งหนึ่ง หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้สงบ
ไม่ต่างจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่รอบนี้กรรเชียงตัวยังไงก็ไม่ออกถูกล็อกเตรียมตัวเป็นผู้ต้องหาในชะตากรรมเดียวกับ “เดอะมาร์ค”นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดนคือ ถูกพ่วงขึ้นไปให้การบนชั้นศาล ในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นแน่
ดังนั้นถ้าเหตุการณ์สลายการชุมนุมเผาบ้านเผา เมืองเมื่อปี 2553 เป็น “มาร์ค–เทือก”ที่ต้องขึ้นศาลเหตุการณ์กระหายเลือดที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศก็ต้องเป็น“ปู–เหลิม”
**เพราะมือเปื้อนเลือดไปแล้ว !!
ดีไม่ดีบรรดารัฐมนตรีที่โผล่ไปนั่งเป็นกรรมการในศูนย์รวมสัตว์อย่าง “อ้ายปึ้ง”สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อาจต้องถูกลากคอขึ้นไปอีกคนในฐานะประธานที่ปรึกษา ศรส.
สิ่งที่เย้ยหยันเหยียดหยามคนอื่นจึงกลายเป็นงูที่เขวี้ยงไม่พ้นคอตัวเอง
**การทำงานของศรส.นับจากนี้ จะยิ่งยากลำบากขาดเอกภาพ เพราะเริ่มมีความกระด้างกระเดื่องกันในหมู่ตำรวจชั้นผู้น้อย เมื่อมีสัญญาณตัดพ้อออกมาว่าถูกส่งให้มาตาย โดยที่ผู้สั่งการนั่งบัญชาการอยู่ในห้องแอร์สบาย
**การลงมือครั้งต่อไปของศรส. ย่อมไม่ราบรื่นเป็นแน่
เช่นเดียวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่เริ่มขาดเครื่องมือในการบริหารไปเรื่อยๆ ที่สุดอาจจะกลายสภาพจากง่อยเปลี้ยเหลือเพียงแต่นอนหยอดข้าวต้มทั้งน้ำตา เพราะกลไกต่างๆ เริ่มติดล็อกขยับไม่ได้
ทั้งการแต่งตั้งข้าราชการไม่ได้สั่งการหน่วยงานภายใต้บังคับบัญชาไม่ได้ ติดในแง่กฎหมายเลือกตั้งเรื่อยไป จนถึงความชอบธรรมที่สูญสิ้นสภาพแบบไม่เหลือหรอ
**อยู่ที่ว่าจะยื้อลมหายใจตัวเองออกไปได้สักอีกกี่น้ำ แล้วจะตายอยู่ในสภาพแบบไหน ระหว่างตายเยี่ยงหมา หรือตายเยี่ยงทรราช !!!.
ก่อนหน้านี้มีอำนาจบาตรใหญ่แต่เหิมเกริมลุยดัน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมกันแบบสุดซอย เกมตาลปัตรเข้าทางตีนฝั่งตรงข้ามกลายมาเป็นฝ่ายที่ต้องถอยหลังชะลูดกันจนเกือบทะลุซอย
สิ่งที่ประคองลมหายใจตัวเองได้ตอนนี้เหลือแค่อย่างเดียวคือ กอดประชาธิปไตยให้แน่นๆ จนสิ้นลม
ตามสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเข้าขั้นชนิดที่หนักกว่ารัฐล้มเหลวเพราะไม่สามารถบริหารประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ด้วยประการทั้งปวงตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศกับนามธรรมสิ่งเทียมที่ชอบอ้างว่าเป็น“รัฐบาลรักษาการ”
นามธรรมสิ่งเทียมดังกล่าว ก็กำลังเล่นงานรัฐบาลโมฆะให้จมธรณีไปเรื่อยๆ เพราะศึกชิงเมืองงวดนี้ยิ่งยืดเยื้อออกไปยิ่งยาวนานเท่าไหร่ คนที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ จะหนีไม่พ้นรัฐบาลที่ต้องแบกรับหลังอาน
เพราะเมื่อมีอำนาจแต่ใช้อำนาจไม่ได้ และอำนาจนั้นไม่ชอบธรรมความเสียหายที่เกิดขึ้นก็จะพอกพูนพอกหางหมูไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่โหมดที่เรียกว่าฉิบหายวายป่วงกันทั้งแผ่นดิน ตอนนี้ข้าราชการไปเป็น กปปส.เกือบหมดแล้ว แข็งข้อกับรัฐบาลรักษาการ สั่งงานมาเอาตีนเขี่ยไปกองใต้โต๊ะ ไม่รับใช้ระบอบทักษิณ
**รัฐบาลตกอยู่ในสภาพกลับไม่ได้ไปไม่ถึง ลิ้นจุกคอ หางจุกตูด กินไม่ได้ ถ่ายไม่ออก
มหกรรมดาบนั้นคืนสนองกำลังต่อคิวกระซวกไส้รัฐบาลกันสนุก ไม่ว่าจะเป็นอภิมหากาพย์การโกงอย่างโครงการรับจำนำข้าว ที่แสดงอิทธิฤทธิ์์ได้พอเหมาะพอเจาะกับสถานการณ์ เมื่อขยะที่ซุกอยู่ใต้พรมโผล่พรวดออกมาประจานความล้มเหลวได้แบบหมดเปลือก
เงินงบประมาณที่จะนำไปจ่ายให้ชาวนา กลายเป็นยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่มันสมองน้อยนิดไม่มีปัญญาหาเงินมาจ่ายให้เพราะตกหล่นรายทางไปเข้าปากเข้ากระเป๋าพวกพ้อง แล้วกลับอ้างว่าเป็นเพราะติดกับยุบสภา ทั้งที่เงินก้อนมโหฬาร ครม.อนุมัติมาตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2556
พอเจอมวลมหาประชาชนกดดันไม่ให้ธนาคารต่างๆ ปล่อยกู้ให้เพื่อสกัดเส้นทางฟอกตัว ก็มั่วนิ่มหยิบไปแถเรียกแขกว่า ถูกขัดขวางจากกระบวนการต่อต้านรัฐบาล ทั้งที่เป็นความเลวทรามของตัวเอง
เหลือบไปแลศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) หรือ ศูนย์รวมสัตว์ของ “ขี้ข้าเหลิม”ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่แทบจะเป็นมือไม้เดียวของรัฐบาลที่พอจะขยับขับเคลื่อนได้ก็ดูจะเละเทะขึ้นทุกวัน มีหลายพฤติการณ์ที่สุ่มเสี่ยงจะผิดกฎหมาย
**โดยเฉพาะปฏิบัติรุกขยี้ม็อบ5 จุด เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นความอัปยศครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เนื่องด้วยเบื้องลึกเบื้องหลังที่น่ากังขา ตามกระแสข่าววงในที่หลุดลอดออกมา “น.ช.แม้ว”พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้หลบหนีคดีตัวฉกาจเป็นผู้ชักใยปฏิบัติการครั้งนี้
**ถึงขั้นโฟนอินลงมาบัญชาการในห้องประชุม ศรส.
การยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีอาวุธ มีแต่โล่ กระบอง เปลือยกายได้อย่างล่อนจ้อนแล้วว่า เป็นเพียงวาทกรรมที่ “ขี้ข้าเหลิม”ปรุงเสริมเติมแต่งขึ้นมาให้สวยงาม เพราะแท้ที่จริงเพียงแค่ต้องการดิสเครดิต “กำนันเทือก”นายสุเทพ เทือกสุบรรณ สมัยนั่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เท่านั้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ก็ไม่ได้เป็นอย่างวาทกรรมดังกล่าวแต่อย่างใด เพราะภาพตำรวจถือปืนยาว ปืนสั้น ถูกกระจายแชร์ว่อนโลกอินเตอร์เน็ต มีสื่อมวลชนจับภาพไว้ได้หลายสิบภาพ เพื่อมัดขบวนการหิวเลือด
การชูธงต้องการขอคืนพื้นที่โดยไม่ต้องการให้ใครได้รับบาดเจ็บหรือสูญเสียเป็นสิ่งที่ขัดแย้งในตัวเองเมื่อนำกำลังตำรวจประชิดแต่ละจุดรวมกันกว่า 25,000 นาย ว่ากันว่าเดิมทีศรส.ของ “ขี้ข้าเหลิม”อาจคงคิดว่างานนี้ง่ายไม่น่าจะยากเย็น แต่ปรากฎว่าเมื่อเจอ “สันติ อหิงสวน”โดยหน่วยรบป๊อปคอร์น ที่โผล่ขึ้นมาต่อกรกับขบวนการกระหายเลือด สิ่งที่ประเมินไว้จึงผิดพลาดแบบมหันต์
มีทั้งฝั่งผู้ชุมนุมและตำรวจที่เสียชีวิต แน่นอนว่า คนที่ผวากับเหตุการณ์ดังกล่าวมากที่สุดชนิดขี้ขึ้นสมองคือ “ขี้ข้าเหลิม”เพราะรู้สันดานกันดีว่ามีปอดขนาดเล็กกว่าปลาซิว และแขยงคุกจนยิ่งกว่าอะไร
ทำให้สถานะของปัจจุบันตกอยู่ในสภาพเดียวกับ“กำนันเทือก”ที่ก่อนหน้านี้ “ขี้ข้าเหลิม”ได้ทีขี้แพะไล่อยู่เสมอว่าเป็นพวกฆาตกรมือเปื้อนเลือด
**ชะตากรรมของ“ขี้ข้าเหลิม”นับจากนี้จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เหมือนกับที่“กำนันเทือก”เผชิญตลอดช่วงที่ผ่านมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในฐานะผู้มีอำนาจสั่งการ
แม้ภายหลังจะออกมาปฏิเสธว่า ตำรวจไม่มีอาวุธ พร้อมกับโยนความผิดชนิดทุเรศให้กับม็อบ ว่าเป็นผู้มีอาวุธสงคราม และริเริ่มจนเกิดการปะทะกัน
แต่นั่นเป็นเพียงข้ออ้างที่สุดท้ายจะต้องไปวัดกันที่ศาล สถานที่ที่“ขี้ข้าเหลิม”กลัวที่สุดแห่งหนึ่ง หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้สงบ
ไม่ต่างจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่รอบนี้กรรเชียงตัวยังไงก็ไม่ออกถูกล็อกเตรียมตัวเป็นผู้ต้องหาในชะตากรรมเดียวกับ “เดอะมาร์ค”นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดนคือ ถูกพ่วงขึ้นไปให้การบนชั้นศาล ในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นแน่
ดังนั้นถ้าเหตุการณ์สลายการชุมนุมเผาบ้านเผา เมืองเมื่อปี 2553 เป็น “มาร์ค–เทือก”ที่ต้องขึ้นศาลเหตุการณ์กระหายเลือดที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศก็ต้องเป็น“ปู–เหลิม”
**เพราะมือเปื้อนเลือดไปแล้ว !!
ดีไม่ดีบรรดารัฐมนตรีที่โผล่ไปนั่งเป็นกรรมการในศูนย์รวมสัตว์อย่าง “อ้ายปึ้ง”สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อาจต้องถูกลากคอขึ้นไปอีกคนในฐานะประธานที่ปรึกษา ศรส.
สิ่งที่เย้ยหยันเหยียดหยามคนอื่นจึงกลายเป็นงูที่เขวี้ยงไม่พ้นคอตัวเอง
**การทำงานของศรส.นับจากนี้ จะยิ่งยากลำบากขาดเอกภาพ เพราะเริ่มมีความกระด้างกระเดื่องกันในหมู่ตำรวจชั้นผู้น้อย เมื่อมีสัญญาณตัดพ้อออกมาว่าถูกส่งให้มาตาย โดยที่ผู้สั่งการนั่งบัญชาการอยู่ในห้องแอร์สบาย
**การลงมือครั้งต่อไปของศรส. ย่อมไม่ราบรื่นเป็นแน่
เช่นเดียวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่เริ่มขาดเครื่องมือในการบริหารไปเรื่อยๆ ที่สุดอาจจะกลายสภาพจากง่อยเปลี้ยเหลือเพียงแต่นอนหยอดข้าวต้มทั้งน้ำตา เพราะกลไกต่างๆ เริ่มติดล็อกขยับไม่ได้
ทั้งการแต่งตั้งข้าราชการไม่ได้สั่งการหน่วยงานภายใต้บังคับบัญชาไม่ได้ ติดในแง่กฎหมายเลือกตั้งเรื่อยไป จนถึงความชอบธรรมที่สูญสิ้นสภาพแบบไม่เหลือหรอ
**อยู่ที่ว่าจะยื้อลมหายใจตัวเองออกไปได้สักอีกกี่น้ำ แล้วจะตายอยู่ในสภาพแบบไหน ระหว่างตายเยี่ยงหมา หรือตายเยี่ยงทรราช !!!.