xs
xsm
sm
md
lg

“แม้ว” ขี้ขำ-ขี้ดัน ขี้คารูทวาร ทำอึดอัดน่ารำคาญ!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 ทักษิณ ชินวัตร
ผ่าประเด็นร้อน

เรียกได้ว่ามาถูกที่ถูกจังหวะเวลาได้อีกครั้งสำหรับ “ธีรยุทธ บุญมี” นักวิชาการ “ขาประจำ” ของ ทักษิณ ชินวัตร เพราะในปีนี้ได้ใช้โอกาสในบรรยากาศวันงานรำลึก 40 ปี 14 ตุลาคม ไว้อย่างคมคายเช่นเดิม โดยยกเอาภาษาทางเหนือบ้านเกิดของ ทักษิณ มาเปรียบเปรยได้เห็นภาพ โดยเปรียบ ทักษิณ ว่าเหมือนคนที่มีอาการ “ขี้ขำ ขี้ดัน” นั่นคือเหมือนคนที่ “อุจจาระคารูทวาร ขับถ่ายไม่ออก แม้จะออกกำลังแคะก็ยังลำบาก ซึ่งสร้างความอึดอัดน่ารำคาญ” ขณะเดียวกันได้มองว่าปัญหาของทักษิณ ไม่ใช่เป็นเรื่อง “วิกฤตประชาธิปไตย” แต่เป็นเรื่องของการ “ขาดธรรมาภิบาล การเอาเปรียบ และการคอร์รัปชันทำผิดกฎหมาย” เท่านั้น

ขณะเดียวกันยังมองว่า “นโยบายประชานิยม” และการชนะการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ใช่สาเหตุประชาธิปไตย แต่เป็นเรื่องของความยากจน และเห็นว่า ทักษิณ กำลังสร้างสังคมขี้ข้าให้ขยายตัวออกไป และใช้ทุนใหม่ ทุนใหญ่เข้ามาครอบงำใช้อำนาจเข้ามาควบคุมรัฐจนเกิดความขัดแย้ง

แน่นอนว่านี่คือความจริง ซึ่งหากใครที่ได้ติดตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่องก็ย่อมรู้ทัน รู้เช่นเห็นชาติ หรือรู้ขี้รู้ไส้ของ ทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างทะลุปรุโปร่งมาตั้งนานแล้ว และที่ผ่านมาในช่วงปี 2548-2549 ก็เกิดปรากฏการณ์พลังของมหาชนออกมาประท้วงขับไล่กันไปแล้ว เพียงแต่ว่าในเวลาต่อมา คณะ คมช.ที่นำโดย “บังเละ” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่กลัวถูกปลดพ้นเก้าอี้ ผู้บัญชาการทหารบก สบช่องอาศัยช่วงชุลมุนชิงลงมือ “ถีบแม้ว” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ไปเสียก่อน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทักษิณก็ใช้เครือข่ายโหมปลุกระดมสร้าง “กระแสประชาธิปไตย” มาหากินได้อย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

และก็เป็นไปตามที่นักวิชาการ อย่าง ธีรยุทธ บุญมี ได้ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนก็คือ ปัญหาของ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เกี่ยวกับประชาธิปไตย แต่เป็นเรื่องของ “ความยากจน” แล้ว ทักษิณใช้นโยบายประชานิยมไปหลอกล่อเท่านั้นเอง อีกทั้งปัญหาของทักษิณยังเป็นเรื่องของการ “ทุจริตคอร์รัปชัน การขาดธรรมาภิบาล และการบริหารที่ไม่โปร่งใส” ต่างหาก ดังกล่าวข้างต้น

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาทักษิณพยายามอาศัยความไม่เข้าใจของคนจน ความเดือดร้อนปากกัดตีนถีบของคนจนในสังคมไทยส่วนใหญ่สอดแทรกเข้ามา หาประโยชน์เข้ามายึดอำนาจรัฐ โดยใช้ทุนขนาดใหญ่เข้ามาลงทุนตั้งพรรคการเมือง กวาดซื้อ ส.ส.ทุ่มทุนเทกโอเวอร์พรรคการเมืองในลักษณะการ”ควบรวม” พร้อมๆ กับใช้นโยบาย “ประชานิยม” เพื่อครองใจ ซึ่งทุกอย่างบังเกิดผลอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าเมื่อผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง “สันดานเดิม” ของเขาจะโผล่ออกมาให้เห็นให้ สังคมจับได้ไล่ทันมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดกระแสการขับไล่กันอย่างขนานใหญ่ แต่ก็อย่างว่าแหละในเมื่อเกิดการรัฐประหาร “หน่อมแน้ม” มาคั่นเวลาเสียก่อนทำให้ เขาฉวยโอกาสพลิกฟื้นสร้างกระแสประชาธิปไตยขึ้นมากลบเกลื่อน ต่ออายุขึ้นมาอีกครั้ง

คราวนี้เมื่อสร้างกระแสต่อต้านเผด็จการ เชิดชูประชาธิปไตยจนกระทั่งสามารถผลักดัน “น้องสาว” ตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาเป็น “หุ่นเชิดส่วนตัว” เป็นนายกรัฐมนตรี และนำพรรคเพื่อไทยเอาชนะการเลือกตั้งได้อย่างถล่มทลาย แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ หากจะให้ระบอบทักษิณ หรือได้เห็นตัวตนแท้จริงของ ทักษิณ นั้นมีอยู่ทางเดียวก็คือต้องปล่อยให้ “กาลเวลาเป็นตัวเปิดโปง” เหมือนอย่างที่เวลานี้สังคมได้เห็นฝีมือและสติปัญญาของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าเป็นอย่างไร เมื่อเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ซึ่งหากบอกว่า “ทักษิณคิดยิ่งลักษณ์ทำ” มันก็น่าจะเป็นคำตอบว่าความจริงประเทศไทยเป็นอย่างไร เพราะหากยังทำใจไม่ได้ หรือยังตัดใจเชื่อในผลงานที่ประจักษ์ก็ไม่เป็นไร จะรอให้ “ฉิบหาย”มากไปกว่านี้อีกระยะหนึ่งก็ได้

แต่เชื่อว่านาทีนี้หลายคนคงมองออกและเห็นด้วยแล้วว่า ปัญหาของทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่ปัญหาของชาติ หรือเป็นปัญหาประชาธิปไตย แต่เป็นปัญหาส่วนตัว เป็นปัญหาที่เกิดจากการเอาเปรียบ การใช้อำนาจรัฐหาผลประโยชน์ในทางธุรกิจของครอบครัวเท่านั้น เพราะหากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าคนๆนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมามีแต่เรื่องข้อกล่าวในเรื่องทุจริตโน่น โกงนี่อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกนโยบายรัฐบาลเพื่อเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจมีผลประโยชน์ทับซ้อน การโกงภาษี เลี่ยงภาษี ฟอกเงินเป็นระยะ ขณะเดียวกันยังหมายรวมถึงคนในครอบครัวรอบข้างก็มักถูกกล่าวในลักษณะเดียวกัน

เมื่อวกกลับมาที่รัฐบาลที่ถือว่าคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงคือ ทักษิณ ชินวัตร ทุกอย่างไม่ต้องปฏิเสธให้เสียเวลา คนที่ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างเข้าใจย่อมมองออกกันทุกคน แต่ผลที่ออกมาเป็นอย่างไรบ้าง ถ้ามีองค์ประกอบมีกลไกอำนาจรัฐอยู่ในมือพร้อมสรรพอย่างที่เป็นอยู่ แต่ผลที่ออกมาห่วยแตก ไม่ได้แตกต่างหรือห่วยกว่า รัฐบาลพวก “อำมาตย์”ตัวเองกล่าวหา มันก็ต้องประเมินตัวเองว่ามัน “กระจอกแค่ไหน” ทำไมถึงได้สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ได้ขนาดนี้

ดังนั้น ถ้าให้สรุปอีกทีก็ต้องเห็นสอดคล้องกับ ธียุทธ บุญมี โดยเฉพาะในคำพูดเปรียบเทียบที่ว่า ทักษิณ ชินวัตร ไม่ต่างจาก “ขี้ขำ-ขี้ดัน” ที่เกิดอาการไม่ต่างจาก “อุจจาระคารูทวารที่แคะออกลำบาก ทำให้รู้สึกอึดอัดน่ารำคาญ” แต่ถึงอย่างไรในที่สุด อุจจาระก้อนนี้ก็ต้องแคะออกจนได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาอีกนิดหนึ่งเท่านั้น!!
 ธีรยุทธ บุญมี
กำลังโหลดความคิดเห็น