ผู้เขียนขอนำเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตเรื่อง “เวรกรรม” ของเจ้าหน้าที่เรือนจำคนหนึ่งมาเล่า เพื่อเป็นธรรมทานในการเตือนสติผู้อ่าน ให้ได้ตระหนักถึงบาปบุญคุณโทษและเวรกรรมที่ได้ทำมา
เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาจารย์เหรียญ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่เรือนจำจังหวัดกาญจนบุรี ทำหน้าที่อบรมพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังในเรือนจำฯกว่า 2,000 คน โดยจัดกิจกรรมและโครงการต่างๆในการพัฒนาคุณภาพชีวิต นำผู้ต้องขังปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมทางศาสนา
ท่านได้รับผลแห่งวิบากกรรมที่ทำให้ท่านทุกข์ทรมานจากการเป็นฝีที่เป็นๆหายๆ ตลอดเวลาเกือบ 10 ปี ท่านได้เล่าเรื่องราวของ “กรรม” ในอดีตที่ผ่านมาว่า
เมื่อครั้งอายุประมาณ 17-18 ปี ขณะที่ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร และจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ท่านได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลรับใช้พระอาจารย์ จัดหาอาหารคาว หวาน และจัดเก็บข้าวสารอาหารแห้งที่ญาติโยมได้นำมาถวาย
แต่ปัญหาที่สร้างความรำคาญใจอยู่เสมอคือ “หนู” ซึ่งชุกชุมมาก มาแทะกินอาหารที่เก็บไว้ ถ้าจะใช้กับดักหรือกาวดักหนูก็ดูไม่เหมาะ รู้สึกละอายต่อบาปกรรม
วันหนึ่งท่านได้พูดคุยปัญหาเรื่อง “หนู” กับลูกศิษย์วัดที่ชื่อปรีชา ซึ่งได้ให้คำแนะนำว่า
“ปัญหานี้แก้ไม่ยากหรอกเณร ชาวจีนแถวบ้านผม หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว จะนำข้าวเปลือกไปเก็บไว้ในยุ้งฉาง ถ้ามีหนูเข้ามากัดแทะกิน จะใช้วิธีดักจับหนู แล้วใช้เข็มเย็บทวารหนักหนู แล้วปล่อยไป เพียงเท่านี้จะไม่มีหนูกลับมารบกวนอีกเลย รับรองได้”
และยังย้ำอีกว่า “คล้ายๆ กับว่าหนูจะไปบอกพรรคพวกให้รู้ว่า อาหารที่นี่กินแล้วถ่ายไม่ออก”
เมื่อได้รับการยืนยันเช่นนั้น ท่านก็คิดว่าวิธีนี้ดีกว่าฆ่าหนูให้ตาย โดยลืมคิดไปว่านี่เป็นการทรมานหนูอย่างร้ายแรงที่สุด!!
หลังจากวันนั้นท่านก็วางแผนจับหนู โดยใช้อุปกรณ์ดักจับคือบาตรและกล่องไม้ขีด ใช้เนื้อหมูทอดสุกใส่ในกล่องไม้ขีด แล้วเอาบาตรคว่ำครอบกล่องไม้ขีด ตะแคงกล่องไม้ขีดหนุนปากบาตรไว้ เมื่อหนูเข้าไปกินหมูทอดแล้วดึงกล่องไม้ขีด บาตรจะหล่นมาครอบตัวหนู
เมื่อได้หนูมาแล้ว วิธีง่ายสุดที่ไม่ต้องใช้เข็มและด้ายเย็บก้นหนูก็คือ เอากาวตราช้างหยอดที่ก้น แล้วปล่อยไป!!
เหตุการณ์นั้นผ่านไป จนกระทั่งปี พ.ศ. 2545 ท่านก็เกิดเป็นฝีอักเสบขึ้นบริเวณริมทวารหนักประมาณอาทิตย์กว่าๆ ฝีก็แตกและยุบหายไปราว 3-4 วัน ก็ขึ้นที่เดิมอีก เมื่อไปหาหมอตรวจดู หมอก็จ่ายยาแก้อักเสบแก้ปวดให้กิน แต่พอฝียุบแผลหายสนิท ฝีก็จะขึ้นมาตรงที่เดิมอีก
และที่น่าแปลกใจที่สุด ท่านบอกว่า ทุกครั้งที่ฝีอักเสบขึ้นมา ใจก็จะคิดถึงเหตุการณ์ที่ตนได้กระทำ “กรรม” กับหนูตัวนั้น
ดังนั้น ทุกครั้งที่ไหว้พระสวดมนต์ หรือมีโอกาสได้ทำบุญ ท่านจะอุทิศส่วนบุญกุศลให้หนูตัวนั้นเสมอ แต่ก็สู้แรงอาฆาตพยาบาทของหนูไม่ได้
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ฝีก็ได้อักเสบขึ้นมาอีก และมีขนาดใหญ่กว่าทุกครั้ง เมื่อหัวฝีแตกแล้วก็ขึ้นติดต่อกันอีกข้างๆหัวเดิม กินยาแก้ปวดแก้อักเสบเท่าไหร่ก็ไม่หาย ท่านจึงตัดสินใจไปพบหมอที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าจะต้องเจาะและคว้านเนื้อที่เป็นเชื้อโรคที่ทำให้เป็นฝีออก ถ้าปล่อยไว้จะไม่มีวันหายขาด และมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งตับได้
เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจึงตกลงตามที่หมอแนะนำ หมอได้นัดวันผ่าตัด โดยนัดให้ไปนอนโรงพยาบาลก่อน 1 วัน ช่วงที่นอนรอผ่าตัดอยู่นั้น จิตใจก็ว้าวุ่นครุ่นคิดถึงแต่เวรกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้กับหนู เกิดคำถามวนเวียนอยู่ในใจตลอดเวลาว่า
“นี่เอาถึงขนาดต้องคว้านก้นเชียวหรือ?”
และในจิตใต้สำนึกก็มองเห็นภาพที่หนูตัวนั้นต้องทุกข์ทรมาน จากการที่ไม่สามารถขับถ่ายตามปกติได้ และจากบาดแผลที่เกิดจากการแพ้สารเคมี ก่อนที่มันจะตาย แล้วเปรียบเทียบกับตนเองที่กำลังได้รับวิบากกรรมนั้น และกำลังจะถูกผ่าตัด(คว้าน)เป็นแผลกว้าง และคิดถึงภาพอนาคตที่ตนจะต้องประสบปัญหาในเรื่องการดูแลรักษาความสะอาด และการขับถ่าย ระหว่างรักษาบาดแผลที่เกิดจากการผ่าตัด ผลกระทบต่อหน้าที่การงาน ฯลฯ
เมื่อถึงเวลาเข้าห้องผ่าตัด คุณหมอและทีมงานก็เข้ามาอธิบายถึงวิธีการบล็อกหลัง อาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากการได้รับยาชา แล้วก็ดำเนินการผ่าตัด ขณะที่ทีมผ่าตัดกำลังทำงานอยู่นั้น เครื่องมอนิเตอร์วัดชีพจรและการเต้นของหัวใจส่งสัญญาณให้รู้ว่าชีพจรเต้นช้าลงเรื่อยๆ การเต้นของหัวใจอ่อนลง เวลานั้นท่านฉุกคิดถึงเจ้าหนูตัวนั้นกับเหตุการณ์ที่ตนได้กระทำเอาไว้ในอดีต
“นี่ถึงขนาดจะเอาชีวิตกันเลยหรือ?” ท่านรำพึงในใจ แล้วก็ตั้งจิตกำหนดลมหายใจเข้า-ออก สังเกตลมหายใจของตนเองรู้สึกอ่อนล้าลงเรื่อยๆ หมอจึงบอกให้เอายามาฉีดให้ พักหนึ่งชีพจรก็เริ่มเต้นดีขึ้นตามลำดับ ท่านได้ยินทีมผ่าตัดคุยกันว่าจะต้องคว้านลงให้ลึกอีกหน่อย เพราะเชื้อยังไม่หมด
ท่านก็เลยรู้สึกว่า การผ่าตัดฝีของตนครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมาก จากเดิมที่คิดว่า แค่ผ่าหัวฝีเอาหนองออกก็คงเรียบร้อย แผลอาจไม่ใหญ่อะไรมากมายหนักหนา แต่ปรากฏว่าไม่ใช่อย่างที่คิด เพราะแพทย์ได้คว้านเนื้อบริเวณที่เป็นฝีออก เป็นหลุมวงกลม ใหญ่กว่าเหรียญ 10 บาท ซึ่งสร้างความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
ท่านนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลอีก 2 วัน คุณหมอก็ให้กลับไปรักษาตัวต่อที่บ้าน โดยแนะนำวิธีการดูแลรักษาและทำความสะอาดแผลด้วยตัวเอง
หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ท่านก็สามารถกลับมาทำงานได้ แต่ยังไม่แข็งแรงดีนัก เวลามีชั่วโมงบรรยายอบรมผู้ต้องขัง ท่านจะลุกขึ้นยืนและนั่งบรรยายสลับกันประมาณ 15 นาที / ครั้ง จะนั่ง จะยืน จะเดิน ก็โอดโอย โดยเฉพาะเวลาถ่ายหนัก เนื่องจากแผลอยู่ข้างๆรูทวารหนัก และหลังจากขับถ่ายเสร็จ ต้องนั่งแช่น้ำอุ่นผสมด่างดับทิมอย่างน้อย 15 นาที จนกว่าแผลจะหายขาด ท่านบอกว่า
“ทุกข์มันอยู่กับเรา มันเป็นเพื่อนของเรา เราต้องยอมรับและอยู่กับความทุกข์ให้ได้”
และเมื่อมีคนสอบถามถึงอาการป่วย ท่านจะเล่าให้ฟัง พร้อมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้เกิดขึ้นกับตนเอง
ผู้เขียนจึงอยากจะบอกท่านผู้อ่านว่า
“ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม จะยิ่งใหญ่เพียงไหน มีความรู้สูงเพียงใด คุณก็ไม่อาจหลีกหนี “กรรม” ที่ตนเองได้ก่อเอาไว้ในอดีต ไม่ว่ากรรมนั้นจะเกิดจากการกระทำในชาตินี้ หรืออดีตชาติที่ผ่านมาก็ตาม
เพราะเหตุนี้กรรมจึงเป็นปัจจัยในการนำพาสัตว์โลกทั้งหลายให้ต้องเวียนว่ายตายเกิด จะยากจน หรือมั่งมี จะได้ดีหรือตกต่ำ ก็เพราะกรรมของตน
เรามีหนี้สิน ก็ต้องชดใช้จึงจะหมดหนี้ เมื่อตัวของเราเป็นผู้ทำกรรม แล้วกรรมจะเป็นของใคร?”
ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านที่มีประสบการณ์จริงเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรม เขียนเล่ามาเป็นธรรมทานในการเตือนสติแก่เพื่อนร่วมโลกให้ตระหนักถึงบาปบุญคุณโทษ และตั้งอยู่ในความดีงามตลอดไป
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 146 กุมภาพันธ์ 2556 โดย ดุล พนมทวน)