ASTVผู้จัดการรายวัน - “เซ็นทรัล” กางแผนฝ่าม็อบลุยปี57 เต็มสปีด ปักธงแยกธุรกิจออกเป็น 8 หน่วย ทุ่ม 44,000 ล้านบาท ผุดโปรเจกต์ตลอดปีทั้งในและต่างประเทศ หวังดันรายได้โต 14% สู่รายได้กว่า 267,000 ล้านบาท เชื่อสถานการณ์การเมืองไม่เลวร้ายแต่อาจยืดเยื้อ หวังปัจจัยบวกค่าเงินอ่อนกำลัง ท่องเที่ยวกลับมาบูม ส่งออกดีขึ้น ช่วยกระตุ้นการใช้เงินในประเทศ
นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ทางกลุ่มซ็นทรัลได้ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยแยกธุรกิจออกเป็น 8 หน่วยจากเดิม 5 หน่วย เพื่อให้เกิดการผนึกกำลังในทำงานกันอย่างใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพให้มากขึ้น เพื่อเป้าหมายในการขยายธุรกิจไปต่างประเทศหลังจากนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนรายได้ตปท. มีประมาณ 15% แต่จากแผนขยายธุรกิจไปต่างประเทศมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันครอบคลุม 15 ประเทศทั่วโลก ใน 5-10 ปีข้างหน้าจะขยับเพิ่มเป็น 30-50% เมื่อเทียบกับรายได้รวมได้
โดย 8 หน่วยธุรกิจ ประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้า หรือ DSG ภายใต้การดูแลของ นางยุวดี จิราธิวัฒน์ 2.กลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภค บริโภค หรือ FMCG ภายใต้การดูแลของ นายปาสคาล บิลโลว์ 3.กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง สินค้าตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือ HDLG ดูแลโดยนายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ 4.กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์เครื่องเขียน หนังสือ และออนไลน์ หรือ OFMG ดูแลโดยนายวรวุฒิ อุ่นใจ
5.กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าและอสังหาริมทรัพย์ หรือCPN ภายใต้การดูแลของนายปรีชา เอกคุณากูล 6.กลุ่มธุรกิจบริหารและจัดการสินค้านำเข้า หรือ CMG ภายใต้การดูแลโดยนายพิชัย จิราธิวัฒน์ 7.กลุ่มธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท หรือ CHR โดยนายธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ และ 8.กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร หรือ CRG ดูแลโดยนายธีรเดช จิราธิวัฒน์
ตามแผนงานในปีนี้เตรียมใช้งบลงทุนรวมกว่า 44,000 ล้านบาท สำหรับการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งใช้มากกว่าปีก่อนถึง 11,000 ล้านบาท โดยเม็ดเงินการลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นในส่วนของ DSG และ CPN ในการพัฒนาศูนย์การค้าไปยังต่างประเทศ สู่เป้าหมายการเป็นผู้นำศูนย์การค้าระดับอาเซียนใน 10 ปี
ไม่ว่าจะเป็นโครงการเซ็นทรัลพลาซ่า ไอซิตี้ ที่ประเทศมาเลเซีย} ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล แกรนด์อินโดนีเซีย, ห้างสรรพสินค้าโรบินส์ 2 สาขา ที่ประเทศเวียดนาม และการขยายรีเทลในเวียดนาม รวมกว่า 40 เอาท์เลท
ส่วนในประเทศนั้นปีนี้จะเปิดศูนย์การค้ารวม 8 สาขา เป็นเซ็นทรัล 2 สาขา และโรบินสัน 5 สาขา และเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ 1 สาขา ขณะที่แฟมิลี่มาร์ท ภายใต้การดูแลของFMCG จะเปิดเพิ่มอีก 308 สาขา และทางกลุ่ม HDLG เปิดไทวัสดุเพิ่ม 6 สาขา และเปิด “บ้าน แอนด์ บียอนด์” อีกในหลายจังหวัด
ส่วนกลุ่ม CHR จะเพิ่มจำนวนการบริหารโรงแรมเพิ่มอีก 10 แห่งทั่วโลก และกลุ่ม CRG จะเพิ่มจำนวนร้านอาหารอีกกว่า 109 สาขา มั่นใจว่าจะทำให้ภาพรวมรายได้ในปีนี้สูงถึง 267,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 14%
“เป้าหมายการเติบโต 14% ในปีนี้ แม้ว่าจะดูน้อยกว่าปีก่อนที่เติบโต 20% แต่โดยรวมแล้วถือว่ายังดีอยู่ เพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาทางกลุ่มเซ็นทรัลมีการลงทุนค่อนข้างสูงทำให้การเติบโตอยู่ในระดับ 20% มาตลอด ส่วนในปีนี้เชื่อว่าการเติบโตมาจากธุรกิจใหม่ๆที่ได้ลงทุนมา ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่มองว่าจะยืดเยื้อไปอีก 6 เดือน แต่เชื่อว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรง ผู้บริโภคจะปรับตัวได้และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ บวกกับปัจจัยบวกอย่างค่าเงินที่อ่อนค่าลง ทำให้การส่งออกดีขึ้น ท่องเที่ยวกลับมาเติบโต และทำให้คนไทยใช้จ่ายในประเทศมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลจะเติบโตตามแผนที่วางไว้” นายทศ กล่าว
นายทศกล่าวต่อว่า ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น เทียบกับช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ถือว่าได้ผ่านวิกฤติต่างๆมาหมดแล้ว ปีนี้ยังไม่กังวลนัก เพราะมีภูมิคุ้มกัน และมีการดูแลความเสี่ยงทางด้านการเงิน รวมถึงประเมินธุรกิจภายใต้ปัจจัยลบต่างๆไว้หมดแล้ว จึงเชื่อว่าทั้งปีจะเติบโตได้ 14% หรืออาจจะกระทบเพียง 1-2% เท่านั้น โดยมองว่าการเมืองจะยืดเยื้อต่อไปอย่างน้อย 6 เดือน ขณะที่ช่วงที่แย่ที่สุดได้ผ่านไปแล้ว หลังจากนี้เพียงรอดูสถานการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป และจะจบลงอย่างไร ซึ่งหากจบลงด้วยดี ประเทศก็จะดีขึ้น ในแง่ของกำลังซื้ออาจจะกระทบบ้างโดยเฉพาะในเรื่องของอารมณ์ในการใช้จ่าย และภาพรวมโดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยว ยังดีอยู่ แม้เวลานี้จะมีปัญหาเรื่องการจำนำข้าวเพิ่มขึ้นมาก็ตาม
นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ทางกลุ่มซ็นทรัลได้ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยแยกธุรกิจออกเป็น 8 หน่วยจากเดิม 5 หน่วย เพื่อให้เกิดการผนึกกำลังในทำงานกันอย่างใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพให้มากขึ้น เพื่อเป้าหมายในการขยายธุรกิจไปต่างประเทศหลังจากนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนรายได้ตปท. มีประมาณ 15% แต่จากแผนขยายธุรกิจไปต่างประเทศมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันครอบคลุม 15 ประเทศทั่วโลก ใน 5-10 ปีข้างหน้าจะขยับเพิ่มเป็น 30-50% เมื่อเทียบกับรายได้รวมได้
โดย 8 หน่วยธุรกิจ ประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้า หรือ DSG ภายใต้การดูแลของ นางยุวดี จิราธิวัฒน์ 2.กลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภค บริโภค หรือ FMCG ภายใต้การดูแลของ นายปาสคาล บิลโลว์ 3.กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง สินค้าตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือ HDLG ดูแลโดยนายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ 4.กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์เครื่องเขียน หนังสือ และออนไลน์ หรือ OFMG ดูแลโดยนายวรวุฒิ อุ่นใจ
5.กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าและอสังหาริมทรัพย์ หรือCPN ภายใต้การดูแลของนายปรีชา เอกคุณากูล 6.กลุ่มธุรกิจบริหารและจัดการสินค้านำเข้า หรือ CMG ภายใต้การดูแลโดยนายพิชัย จิราธิวัฒน์ 7.กลุ่มธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท หรือ CHR โดยนายธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ และ 8.กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร หรือ CRG ดูแลโดยนายธีรเดช จิราธิวัฒน์
ตามแผนงานในปีนี้เตรียมใช้งบลงทุนรวมกว่า 44,000 ล้านบาท สำหรับการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งใช้มากกว่าปีก่อนถึง 11,000 ล้านบาท โดยเม็ดเงินการลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นในส่วนของ DSG และ CPN ในการพัฒนาศูนย์การค้าไปยังต่างประเทศ สู่เป้าหมายการเป็นผู้นำศูนย์การค้าระดับอาเซียนใน 10 ปี
ไม่ว่าจะเป็นโครงการเซ็นทรัลพลาซ่า ไอซิตี้ ที่ประเทศมาเลเซีย} ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล แกรนด์อินโดนีเซีย, ห้างสรรพสินค้าโรบินส์ 2 สาขา ที่ประเทศเวียดนาม และการขยายรีเทลในเวียดนาม รวมกว่า 40 เอาท์เลท
ส่วนในประเทศนั้นปีนี้จะเปิดศูนย์การค้ารวม 8 สาขา เป็นเซ็นทรัล 2 สาขา และโรบินสัน 5 สาขา และเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ 1 สาขา ขณะที่แฟมิลี่มาร์ท ภายใต้การดูแลของFMCG จะเปิดเพิ่มอีก 308 สาขา และทางกลุ่ม HDLG เปิดไทวัสดุเพิ่ม 6 สาขา และเปิด “บ้าน แอนด์ บียอนด์” อีกในหลายจังหวัด
ส่วนกลุ่ม CHR จะเพิ่มจำนวนการบริหารโรงแรมเพิ่มอีก 10 แห่งทั่วโลก และกลุ่ม CRG จะเพิ่มจำนวนร้านอาหารอีกกว่า 109 สาขา มั่นใจว่าจะทำให้ภาพรวมรายได้ในปีนี้สูงถึง 267,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 14%
“เป้าหมายการเติบโต 14% ในปีนี้ แม้ว่าจะดูน้อยกว่าปีก่อนที่เติบโต 20% แต่โดยรวมแล้วถือว่ายังดีอยู่ เพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาทางกลุ่มเซ็นทรัลมีการลงทุนค่อนข้างสูงทำให้การเติบโตอยู่ในระดับ 20% มาตลอด ส่วนในปีนี้เชื่อว่าการเติบโตมาจากธุรกิจใหม่ๆที่ได้ลงทุนมา ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่มองว่าจะยืดเยื้อไปอีก 6 เดือน แต่เชื่อว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรง ผู้บริโภคจะปรับตัวได้และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ บวกกับปัจจัยบวกอย่างค่าเงินที่อ่อนค่าลง ทำให้การส่งออกดีขึ้น ท่องเที่ยวกลับมาเติบโต และทำให้คนไทยใช้จ่ายในประเทศมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลจะเติบโตตามแผนที่วางไว้” นายทศ กล่าว
นายทศกล่าวต่อว่า ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น เทียบกับช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ถือว่าได้ผ่านวิกฤติต่างๆมาหมดแล้ว ปีนี้ยังไม่กังวลนัก เพราะมีภูมิคุ้มกัน และมีการดูแลความเสี่ยงทางด้านการเงิน รวมถึงประเมินธุรกิจภายใต้ปัจจัยลบต่างๆไว้หมดแล้ว จึงเชื่อว่าทั้งปีจะเติบโตได้ 14% หรืออาจจะกระทบเพียง 1-2% เท่านั้น โดยมองว่าการเมืองจะยืดเยื้อต่อไปอย่างน้อย 6 เดือน ขณะที่ช่วงที่แย่ที่สุดได้ผ่านไปแล้ว หลังจากนี้เพียงรอดูสถานการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป และจะจบลงอย่างไร ซึ่งหากจบลงด้วยดี ประเทศก็จะดีขึ้น ในแง่ของกำลังซื้ออาจจะกระทบบ้างโดยเฉพาะในเรื่องของอารมณ์ในการใช้จ่าย และภาพรวมโดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยว ยังดีอยู่ แม้เวลานี้จะมีปัญหาเรื่องการจำนำข้าวเพิ่มขึ้นมาก็ตาม