การชุมนุมของมวลมหาประชาชนที่นำโดย “กำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ มาจนถึงวันนี้กำลังล่วงเข้าใกล้เดือนที่ 4 แล้ว แม้ว่ามวลชนที่เข้าร่วมชุมนุมรวมไปถึงบรรดาแกนนำจะเริ่มอ่อนล้าลงบ้าง เนื่องจากต้องตรากตรำยืนหยัดต่อสู้มาอย่างต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าแรงสนับสนุนของประชาชนทั่วประเทศยัง “ไม่มีตก” แน่นอน อาจมีบ้างในเรื่อง “ตั้งคำถาม” ว่าทำไมถึงไม่พยายามพูดถึงเรื่องการ “ปฏิรูประบบพลังงาน” ของประเทศ หรือรวมอยู่ในการปฏิรูปหลักๆ 5-6 ข้อที่มีการประกาศไปก่อนหน้านี้ ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดของคนไทยทั้งประเทศ
การไม่พูดถึงหรือการพูดแบบอ้อมๆแอ้มขอไปที มันก็ยิ่งทำให้เกิดความสงสัย เกิดความระแวงทำให้ไว้ใจบรรดาแกนนำได้ไม่เต็มร้อย เพราะหากใครที่ติดตามการพูดจาปราศรัยของกำนัน สุเทพ เทือกสุบรรณ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เขาเคยพูดถึง “คำว่าพลังงาน” ย้ำว่า “พลังงาน” เมื่อครั้งที่ “บริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียม” แห่งนครรัฐอาบูดาบี ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(ยูเออี) ได้ออกคำแถลงอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาได้รับสัมปทานเข้าไปขุดเจาะและผลิตแหล่งพลังงานในอ่าวไทยในชื่อ “แหล่งนงเยาว์” โดยจะเริ่มผลิตในเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป ซึ่งบริษัทดังกล่าวถูกระบุว่ามีความเชื่อมโยงกับ ทักษิณ ชินวัตร เพราะสำนักงานของบริษัทลูกของบริษัทดังกล่าวตั้งอยู่ที่ “ตึกชินวัตร 3”
โดยคราวนั้น สุเทพ ได้ปราศรัยบนเวทีการชุมนุมกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวเพียงแค่ว่า “ทักษิณต้องการฮุบพลังงาน” เท่านั้นหลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดถึงอีกเลย
อย่างไรก็ดีเมื่อมีการ “กำหนดคิว” เพื่อระดมความเห็นในเรื่องการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ ที่ผ่านมาก็มีกลุ่มวิชาชีพแพทย์ บุคลากรสาธารณสุข กลุ่มวิชาชีพวิศวกรสถาปนิก เป็นต้น และล่าสุดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาก็มีการตั้งวงปฏิรูปพลังงาน อ้างว่าเป็นการระดมความเห็นจากฝ่ายต่างๆ อย่างไรก็ดีปรากฏว่ากลายเป็น “วาระลับ” มีการปิดกั้นบุคคลและสื่อไม่ให้เข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลายและเสรี โดยอ้างว่าป้องกันการถูกฟ้องร้องตาม รวมทั้งอ้างว่าต้องการให้มีการแสดงความเห็นกันได้อย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่เห็นคือมีการจำกัดเวลาจากเดิมที่กำหนดเอาไว้ประมาณ 7 ชั่วโมงก็รวบรัดเหลือเพียงแค่ประมาณชั่วโมงเศษเท่านั้น
แม้ว่านาทีนี้ยังไม่อาจฟันธงสรุปได้ว่าผลจะออกมาอย่างไร ว่าจะมีการปฏิรูปพลังงานออกมาในทิศทางใด หรือมีการปฏิรูปกันจริงจังหรือไม่ แต่จากพฤติกรรมและท่าทีที่ผ่านมาของบรรดาแกนนำของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ไม่ว่าจะเป็น สุเทพ เทือกสุบรรณ ลงมาหากจะสังเกตให้ดีจะไม่มีการพูดถึงเรื่องการปฏิรูปพลังงานของประเทศไทยเลย ถึงขนาดมีการกล่าวกันว่า “ทุกเวทีปราศรัยห้ามพูดเรื่องพลังงาน” และห้ามพาดพิงกลุ่มบริษัทปตท.อีกด้วย นอกเหนือการกล่าวโจมตีนายทหารบางคนอีกด้วย
หากพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้ว เรื่องการปฏิรูปพลังงานรับรองว่าเป็นความสำคัญและเป็นความต้องการของคนไทยเกือบทั้งหมด นอกเหนือจากกลุ่มทุนและนักการเมืองที่ได้ประโยชน์จากธุรกิจน้ำมัน และผลประโยชน์จาก ปตท.เท่านั้น เพราะคนไทยจำนวนมากมองว่า “ถูกเอาเปรียบ” ถูกขูดรีดมานาน และถึงเวลาที่จะต้อง “ปลดแอก” กันเสียที มีการตั้งคำถามมาตลอดว่าทำไมคนไทยต้องใช้น้ำมันราคาแพงกว่าประเทศอื่น ทำไมคนไทยต้องเสียภาษี เสียรายได้ไปให้กับกลุ่มทุนและนักการเมืองที่ถือหุ้นในปตท.แล้วมาเอาเปรียบภายใต้ข้ออ้าง “กิจการของรัฐ” อ้างว่าเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่คำถามก็คือใน 49 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือเป็นหุ้นของเอกชน และบางครอบครัวโดยเฉพาะนักการเมืองคนสำคัญและไม่แน่ว่าในจำนวนนั้นก็ยังมีคนใน กปปส.เกี่ยวข้องบ้างก็ได้
ยืนยันว่านี่ไม่ใช่การกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย แต่เป็นเพราะเริ่มมีความ “สงสัย” มากขึ้น อย่างไรก็ดีเพื่อให้เกิดความชัดเจน สมควรอย่างยิ่งที่บรรดาแกนนำ กปปส.โดยเฉพาะ สุเทพ เทือกสุบรรณ จะต้องมีคำตอบและมีท่าทีให้แน่ชัดว่าจะมีการปฏิรูปพลังงานในประเทศไทยหรือไม่ หากสามารถไล่ระบอบทักษิณ ไล่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นจากอำนาจไปได้แล้ว แม้จะอ้างว่าเรื่องดังกล่าวเป็น “เรื่องใหญ่” ต้องใช้เวลาก็ไม่เป็นไร แต่ก็ต้องพูดให้เห็นถึงเจตนาที่มุ่งมั่นแท้จริง เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น การปฏิรูปการเลือกตั้ง ปฏิรูปกฎหมายพรรคการเมือง การผลักดันให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ และการปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ ซึ่งเรื่องการปฏิรูปพลังงานก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเรื่องอื่น และเป็นความต้องการของคนไทยแบบ “เฉพาะหน้า” ที่ต้องการให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดด้วยซ้ำไป เพราะนี่คือความเดือดร้อนที่คนไทยต้องแบกรับมานานหลายปี เพราะต้นทุนด้านพลังงานเป็นสาเหตุของปัญหาความเดือดร้อนทุกสิ่งก็ว่าได้
ดังนั้นเพื่อขจัดความเคลือบแคลงสงสัยให้ออกไป แกนนำโดยเฉพาะ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็สมควรพูดให้ชัดจะเอาอย่างไรให้บอกมา จะแตะพลังงานหรือไม่ก็ต้องบอกมาให้ทราบโดยเร็ว เพราะเชื่อหากมีการประกาศออกไปรับรองว่าจะต้องมี “แนวร่วม” ออกมาสนับสนุนมากขึ้นกว่าเดิมอีก ขณะเดียวกันหาก “ไม่แตะ”หรือไม่พูดถึงเรื่องดังกล่าวมันก็อาจทำให้ “มวลมหาประชาชน” มีศรัทธาลดน้อยลง รวมไปถึงอาจมองได้ว่า “เป้าหมาย”ในการปฏิรูปอาจไม่เป็นจริง หรือ “เสียของ” ในที่สุด !!
การไม่พูดถึงหรือการพูดแบบอ้อมๆแอ้มขอไปที มันก็ยิ่งทำให้เกิดความสงสัย เกิดความระแวงทำให้ไว้ใจบรรดาแกนนำได้ไม่เต็มร้อย เพราะหากใครที่ติดตามการพูดจาปราศรัยของกำนัน สุเทพ เทือกสุบรรณ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เขาเคยพูดถึง “คำว่าพลังงาน” ย้ำว่า “พลังงาน” เมื่อครั้งที่ “บริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียม” แห่งนครรัฐอาบูดาบี ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(ยูเออี) ได้ออกคำแถลงอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาได้รับสัมปทานเข้าไปขุดเจาะและผลิตแหล่งพลังงานในอ่าวไทยในชื่อ “แหล่งนงเยาว์” โดยจะเริ่มผลิตในเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป ซึ่งบริษัทดังกล่าวถูกระบุว่ามีความเชื่อมโยงกับ ทักษิณ ชินวัตร เพราะสำนักงานของบริษัทลูกของบริษัทดังกล่าวตั้งอยู่ที่ “ตึกชินวัตร 3”
โดยคราวนั้น สุเทพ ได้ปราศรัยบนเวทีการชุมนุมกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวเพียงแค่ว่า “ทักษิณต้องการฮุบพลังงาน” เท่านั้นหลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดถึงอีกเลย
อย่างไรก็ดีเมื่อมีการ “กำหนดคิว” เพื่อระดมความเห็นในเรื่องการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ ที่ผ่านมาก็มีกลุ่มวิชาชีพแพทย์ บุคลากรสาธารณสุข กลุ่มวิชาชีพวิศวกรสถาปนิก เป็นต้น และล่าสุดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาก็มีการตั้งวงปฏิรูปพลังงาน อ้างว่าเป็นการระดมความเห็นจากฝ่ายต่างๆ อย่างไรก็ดีปรากฏว่ากลายเป็น “วาระลับ” มีการปิดกั้นบุคคลและสื่อไม่ให้เข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลายและเสรี โดยอ้างว่าป้องกันการถูกฟ้องร้องตาม รวมทั้งอ้างว่าต้องการให้มีการแสดงความเห็นกันได้อย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่เห็นคือมีการจำกัดเวลาจากเดิมที่กำหนดเอาไว้ประมาณ 7 ชั่วโมงก็รวบรัดเหลือเพียงแค่ประมาณชั่วโมงเศษเท่านั้น
แม้ว่านาทีนี้ยังไม่อาจฟันธงสรุปได้ว่าผลจะออกมาอย่างไร ว่าจะมีการปฏิรูปพลังงานออกมาในทิศทางใด หรือมีการปฏิรูปกันจริงจังหรือไม่ แต่จากพฤติกรรมและท่าทีที่ผ่านมาของบรรดาแกนนำของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ไม่ว่าจะเป็น สุเทพ เทือกสุบรรณ ลงมาหากจะสังเกตให้ดีจะไม่มีการพูดถึงเรื่องการปฏิรูปพลังงานของประเทศไทยเลย ถึงขนาดมีการกล่าวกันว่า “ทุกเวทีปราศรัยห้ามพูดเรื่องพลังงาน” และห้ามพาดพิงกลุ่มบริษัทปตท.อีกด้วย นอกเหนือการกล่าวโจมตีนายทหารบางคนอีกด้วย
หากพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้ว เรื่องการปฏิรูปพลังงานรับรองว่าเป็นความสำคัญและเป็นความต้องการของคนไทยเกือบทั้งหมด นอกเหนือจากกลุ่มทุนและนักการเมืองที่ได้ประโยชน์จากธุรกิจน้ำมัน และผลประโยชน์จาก ปตท.เท่านั้น เพราะคนไทยจำนวนมากมองว่า “ถูกเอาเปรียบ” ถูกขูดรีดมานาน และถึงเวลาที่จะต้อง “ปลดแอก” กันเสียที มีการตั้งคำถามมาตลอดว่าทำไมคนไทยต้องใช้น้ำมันราคาแพงกว่าประเทศอื่น ทำไมคนไทยต้องเสียภาษี เสียรายได้ไปให้กับกลุ่มทุนและนักการเมืองที่ถือหุ้นในปตท.แล้วมาเอาเปรียบภายใต้ข้ออ้าง “กิจการของรัฐ” อ้างว่าเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่คำถามก็คือใน 49 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือเป็นหุ้นของเอกชน และบางครอบครัวโดยเฉพาะนักการเมืองคนสำคัญและไม่แน่ว่าในจำนวนนั้นก็ยังมีคนใน กปปส.เกี่ยวข้องบ้างก็ได้
ยืนยันว่านี่ไม่ใช่การกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย แต่เป็นเพราะเริ่มมีความ “สงสัย” มากขึ้น อย่างไรก็ดีเพื่อให้เกิดความชัดเจน สมควรอย่างยิ่งที่บรรดาแกนนำ กปปส.โดยเฉพาะ สุเทพ เทือกสุบรรณ จะต้องมีคำตอบและมีท่าทีให้แน่ชัดว่าจะมีการปฏิรูปพลังงานในประเทศไทยหรือไม่ หากสามารถไล่ระบอบทักษิณ ไล่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นจากอำนาจไปได้แล้ว แม้จะอ้างว่าเรื่องดังกล่าวเป็น “เรื่องใหญ่” ต้องใช้เวลาก็ไม่เป็นไร แต่ก็ต้องพูดให้เห็นถึงเจตนาที่มุ่งมั่นแท้จริง เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น การปฏิรูปการเลือกตั้ง ปฏิรูปกฎหมายพรรคการเมือง การผลักดันให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ และการปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ ซึ่งเรื่องการปฏิรูปพลังงานก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเรื่องอื่น และเป็นความต้องการของคนไทยแบบ “เฉพาะหน้า” ที่ต้องการให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดด้วยซ้ำไป เพราะนี่คือความเดือดร้อนที่คนไทยต้องแบกรับมานานหลายปี เพราะต้นทุนด้านพลังงานเป็นสาเหตุของปัญหาความเดือดร้อนทุกสิ่งก็ว่าได้
ดังนั้นเพื่อขจัดความเคลือบแคลงสงสัยให้ออกไป แกนนำโดยเฉพาะ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็สมควรพูดให้ชัดจะเอาอย่างไรให้บอกมา จะแตะพลังงานหรือไม่ก็ต้องบอกมาให้ทราบโดยเร็ว เพราะเชื่อหากมีการประกาศออกไปรับรองว่าจะต้องมี “แนวร่วม” ออกมาสนับสนุนมากขึ้นกว่าเดิมอีก ขณะเดียวกันหาก “ไม่แตะ”หรือไม่พูดถึงเรื่องดังกล่าวมันก็อาจทำให้ “มวลมหาประชาชน” มีศรัทธาลดน้อยลง รวมไปถึงอาจมองได้ว่า “เป้าหมาย”ในการปฏิรูปอาจไม่เป็นจริง หรือ “เสียของ” ในที่สุด !!