ASTV ผู้จัดการรายวัน - หุ้นไทยปิดบวก 14 จุด ฟื้นตัวตามตลาดภูมิภาค คาดยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ แต่ต้องติดตามสถานการณ์การเมืองใกล้ชิด ด้านผู้จัดการตลาดหุ้นไทยเผยการเมืองทำนักลงทุนผวา ส่งผลวอล่มหด แต่หากเทียบปี 53 ยังเสียหายน้อยกว่า ฟุ้งเตรียมโรดโชว์สร้างความเชื่อมั่นดึงนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นเพิ่ม ตั้งเป้าหุ้น IPO ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท Market Cap 2.1 แสนล้านบาท ส่วนหุ้น PO คาดถึง 1.8 แสนล้านบาท
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (6ก.พ.) ปรับตัวในแดนบวก โดยปิดที่ระดับ 1,295.24 จุด เพิ่มขึ้น 14.99 จุด หรือ 1.17%มูลค่าการซื้อขาย 26,465.16 ล้านบาท ภาพรวมดัชนีเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ฟื้นตัว ระหว่างวันแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,295.38 จุด และจุดต่ำสุดที่ 1,285.39 จุด
นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 2,294.89 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 178.02 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 1,076.01 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 1,396.90 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่การเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 491 หลักทรัพย์ ลดลง 195 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 194 หลักทรัพย์ ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ VGI มูลค่าการซื้อขาย 1,971.68 ล้านบาท ปิดที่ 9.95 บาท เพิ่มขึ้น 1.15 บาท JAS มูลค่าการซื้อขาย 1,652.85 ล้านบาท ปิดที่ 7.15 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,346.93 ล้านบาท ปิดที่ 168.00 บาท ลดลง 1.00 บาท PTTGC มูลค่าการซื้อขาย 1,300.87 ล้านบาท ปิดที่ 72.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท และ PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 909.72 ล้านบาท ปิดที่ 157.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า ตั้งแต่เปิดตลาดต้นปีที่ผ่านมายังไม่มีวอลุ่มการซื้อขายมากนักหากเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันกับของปีที่แล้ว โดยเฉลี่ยยอดวอลุ่มซื้อขายต่อวันอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท จากวิกฤติการณ์ปัญหาชุมนุมทางการเมือง ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดจำนวนลง ซึ่งเป้าเฉลี่ยวอลุ่มการซื้อขายเดิมอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาทต่อวัน ซึ่งคาดว่าหากผ่านครึ่งปีแรกไปแล้วและสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองลดลง อาจพิจารณาปรับเป้าอีกครั้ง
ขณะเดียวกันวอลุ่มการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ที่ปรับตัวลดลงไม่ใช่เฉพาะตลาดหุ้นไทยเท่านั้น แต่เป็นเช่นเดียวกันกับทุกตลาดหุ้นทั่วโลก จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่มีความแน่นอน เช่นตลาดหุ้นตุรกี อินเดีย อาเจนติน่า และตลาดหุ้นเกิดใหม่ ดดยบางตลาดได้เริ่มปรับฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้ว หลังจากที่ปรับร่วงลดลงถึงจุดต่ำสุด แต่อย่างไรก็ตามยังมีข้อดีที่ประเทศไทยได้รับอานิสงค์จากการส่งออกที่ค่าเงินบาทปรับตัวลดลง และตลาดในยุโรปเริ่มฟื้นตัวและมีกำลังซื้อเข้ามา โดยเฉพาะแนวโน้มกลุ่มประเทศ CLMV คือ จีน ลาว พม่า เวียดนาม จะมีการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการต่อยอดโครงการพัฒนากลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงหรือ GMS
แต่อย่างไรก็ดี ในปีนี้ ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะพัฒนาการลงทุนโดยได้ร่วมกันกับ ก.ล.ต. พิจารณากฎเกณฑ์ต่างๆในการซื้อขายหลักทรัพย์และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตลอดจนถึงการเชื่อมโยงบริษัทจดทะเบียนจากต่างประเทศที่จะเข้ามาจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นไทย (FOREIGN LISTING) ในขณะที่ ตลาดหลักทรัพย์เตรียมที่จะไปโรดโชว์ในต่างประเทศช่วงครึ่งปีหลั่ง จำนวน 6 ประเทศ จากกำหนดการเดิมที่จะไปประเทศออสเตรเลียในเดือนมีนาคมนี้ แต่จำเป็นต้องเลื่อนออกไปก่อนจากปัญหาการเมืองในประเทศ ทั้งนี้ตลาดยังได้เตรียมที่จะขยายฐานกลุ่มนักลงทุนในภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มความต้องการลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มจำนวนมากขึ้น พร้อมทั้งได้เตรียมจัดแผนผู้ดูแลสภาพคล่องตลาด ตามความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เช่น เทรด ออปชั่น
ในส่วนของเป้าหุ้นสามัญที่จะออกขายแก่ประชาชนเป็นครั้งแรกหรือ IPO และการรับจดทะเบียนหลักทรัพย์ของบริษัทจากต่างประเทศที่ไม่เคยจดทะเบียนที่ใดมาก่อน (Foreign Listing) ตลอดจนถึงบริษัทจดทะเบียนประเภทโฮลดิ้ง คอมปานี จำนวนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2.1 แสนล้านบาท และหุ้นประเภท PO จะอยู่ที่ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกัน ในเร็วนี้ตลาดหุ้นจะเริ่มปรับเปลี่ยนระบบไอทีโครงสร้างพื้นฐานใหม่ทั้งระบบหุ้นและอนุพันธ์บนพื้นฐานโครงสร้างเดียวกัน โดยมีข้อดีคือนักลงทุนสามารถเห็นข้อมูลทั้งตลาดหุ้นและตลาดซื้อขายล่วงหน้าไปพร้อมๆกันได้ในเวลาเดียวกัน
ในส่วนของความกังวลจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งหากตั้งข้อสังเกตุจากสถิติที่ผ่านตั้งแต่ต้นปี มีนักลงทุนต่างประเทศเริ่มเทขายหุ้นไทยออกไปตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม ซึ่งก่อนหน้านั้นได้ทยอยซื้อสะสมมาโดยตลอด โดยเฉลี่ยสะสมที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ในขณะที่กลุ่มประเทศเอเซียด้วยกัน ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก โดยพิจารณาจากการปรับตัวลดลง ซึ่งในช่วงเดียวกันตลาดหุ้นสิงคโปร์ปรับตัวลดลงไปกว่า 6 จุด และตลาดหุ้นมาเลเซียปรับตัวลดลงไปกว่า 4 จุด
ทั้งนี้การพิจารณาอันดับเครดิตเรตติ้งของประเทศไทยยังดีอยู่มาก ซึ่งเทียบอัตราดอกเบี้ยของบริษัทในต่างประเทศจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยประเทศไทยยังคงมีราคาที่ถูกกว่ามาก และหนี้สาธารณะของไทยยังคงไม่สูงมากหากเทียบกับประเทศอื่นๆ
ด้านน.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ดีดตัวขึ้นเคลื่อนไหวในแดนบวกได้ตลอดทั้งวัน ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคและตลาดต่างประเทศ มองว่าเป็นการฟื้นตัวตาม Sentiment ภาพรวมการลงทุนที่ดีขึ้น ขณะที่การเมืองในประเทศถือว่ายังนิ่ง แม้จะไม่มีความคืบหน้า ส่วนมูลค่าการซื้อขายวานนี้ยังไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนกลับมาซื้อขายได้ไม่เต็มที่ ช่วงนี้ดัชนีจึงอยู่ในลักษณะของการแกว่งตัวในกรอบมากกว่า
สำหรับแนวโน้มวันนี้(7ก.พ.) ดัชนีน่าจะแกว่งตัวบวกได้ต่อ โดยจะต้องติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนม.ค.57 ของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ และติดตามความคืบหน้าของปัจจัยทางการเมืองในประเทศ พร้อมให้แนวรับที่ 1,270 จุด และแนวต้าน 1,300 จุด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (6ก.พ.) ปรับตัวในแดนบวก โดยปิดที่ระดับ 1,295.24 จุด เพิ่มขึ้น 14.99 จุด หรือ 1.17%มูลค่าการซื้อขาย 26,465.16 ล้านบาท ภาพรวมดัชนีเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ฟื้นตัว ระหว่างวันแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,295.38 จุด และจุดต่ำสุดที่ 1,285.39 จุด
นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 2,294.89 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 178.02 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 1,076.01 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 1,396.90 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่การเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 491 หลักทรัพย์ ลดลง 195 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 194 หลักทรัพย์ ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ VGI มูลค่าการซื้อขาย 1,971.68 ล้านบาท ปิดที่ 9.95 บาท เพิ่มขึ้น 1.15 บาท JAS มูลค่าการซื้อขาย 1,652.85 ล้านบาท ปิดที่ 7.15 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,346.93 ล้านบาท ปิดที่ 168.00 บาท ลดลง 1.00 บาท PTTGC มูลค่าการซื้อขาย 1,300.87 ล้านบาท ปิดที่ 72.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท และ PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 909.72 ล้านบาท ปิดที่ 157.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า ตั้งแต่เปิดตลาดต้นปีที่ผ่านมายังไม่มีวอลุ่มการซื้อขายมากนักหากเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันกับของปีที่แล้ว โดยเฉลี่ยยอดวอลุ่มซื้อขายต่อวันอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท จากวิกฤติการณ์ปัญหาชุมนุมทางการเมือง ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดจำนวนลง ซึ่งเป้าเฉลี่ยวอลุ่มการซื้อขายเดิมอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาทต่อวัน ซึ่งคาดว่าหากผ่านครึ่งปีแรกไปแล้วและสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองลดลง อาจพิจารณาปรับเป้าอีกครั้ง
ขณะเดียวกันวอลุ่มการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ที่ปรับตัวลดลงไม่ใช่เฉพาะตลาดหุ้นไทยเท่านั้น แต่เป็นเช่นเดียวกันกับทุกตลาดหุ้นทั่วโลก จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่มีความแน่นอน เช่นตลาดหุ้นตุรกี อินเดีย อาเจนติน่า และตลาดหุ้นเกิดใหม่ ดดยบางตลาดได้เริ่มปรับฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้ว หลังจากที่ปรับร่วงลดลงถึงจุดต่ำสุด แต่อย่างไรก็ตามยังมีข้อดีที่ประเทศไทยได้รับอานิสงค์จากการส่งออกที่ค่าเงินบาทปรับตัวลดลง และตลาดในยุโรปเริ่มฟื้นตัวและมีกำลังซื้อเข้ามา โดยเฉพาะแนวโน้มกลุ่มประเทศ CLMV คือ จีน ลาว พม่า เวียดนาม จะมีการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการต่อยอดโครงการพัฒนากลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงหรือ GMS
แต่อย่างไรก็ดี ในปีนี้ ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะพัฒนาการลงทุนโดยได้ร่วมกันกับ ก.ล.ต. พิจารณากฎเกณฑ์ต่างๆในการซื้อขายหลักทรัพย์และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตลอดจนถึงการเชื่อมโยงบริษัทจดทะเบียนจากต่างประเทศที่จะเข้ามาจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นไทย (FOREIGN LISTING) ในขณะที่ ตลาดหลักทรัพย์เตรียมที่จะไปโรดโชว์ในต่างประเทศช่วงครึ่งปีหลั่ง จำนวน 6 ประเทศ จากกำหนดการเดิมที่จะไปประเทศออสเตรเลียในเดือนมีนาคมนี้ แต่จำเป็นต้องเลื่อนออกไปก่อนจากปัญหาการเมืองในประเทศ ทั้งนี้ตลาดยังได้เตรียมที่จะขยายฐานกลุ่มนักลงทุนในภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มความต้องการลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มจำนวนมากขึ้น พร้อมทั้งได้เตรียมจัดแผนผู้ดูแลสภาพคล่องตลาด ตามความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เช่น เทรด ออปชั่น
ในส่วนของเป้าหุ้นสามัญที่จะออกขายแก่ประชาชนเป็นครั้งแรกหรือ IPO และการรับจดทะเบียนหลักทรัพย์ของบริษัทจากต่างประเทศที่ไม่เคยจดทะเบียนที่ใดมาก่อน (Foreign Listing) ตลอดจนถึงบริษัทจดทะเบียนประเภทโฮลดิ้ง คอมปานี จำนวนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2.1 แสนล้านบาท และหุ้นประเภท PO จะอยู่ที่ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกัน ในเร็วนี้ตลาดหุ้นจะเริ่มปรับเปลี่ยนระบบไอทีโครงสร้างพื้นฐานใหม่ทั้งระบบหุ้นและอนุพันธ์บนพื้นฐานโครงสร้างเดียวกัน โดยมีข้อดีคือนักลงทุนสามารถเห็นข้อมูลทั้งตลาดหุ้นและตลาดซื้อขายล่วงหน้าไปพร้อมๆกันได้ในเวลาเดียวกัน
ในส่วนของความกังวลจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งหากตั้งข้อสังเกตุจากสถิติที่ผ่านตั้งแต่ต้นปี มีนักลงทุนต่างประเทศเริ่มเทขายหุ้นไทยออกไปตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม ซึ่งก่อนหน้านั้นได้ทยอยซื้อสะสมมาโดยตลอด โดยเฉลี่ยสะสมที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ในขณะที่กลุ่มประเทศเอเซียด้วยกัน ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก โดยพิจารณาจากการปรับตัวลดลง ซึ่งในช่วงเดียวกันตลาดหุ้นสิงคโปร์ปรับตัวลดลงไปกว่า 6 จุด และตลาดหุ้นมาเลเซียปรับตัวลดลงไปกว่า 4 จุด
ทั้งนี้การพิจารณาอันดับเครดิตเรตติ้งของประเทศไทยยังดีอยู่มาก ซึ่งเทียบอัตราดอกเบี้ยของบริษัทในต่างประเทศจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยประเทศไทยยังคงมีราคาที่ถูกกว่ามาก และหนี้สาธารณะของไทยยังคงไม่สูงมากหากเทียบกับประเทศอื่นๆ
ด้านน.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ดีดตัวขึ้นเคลื่อนไหวในแดนบวกได้ตลอดทั้งวัน ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคและตลาดต่างประเทศ มองว่าเป็นการฟื้นตัวตาม Sentiment ภาพรวมการลงทุนที่ดีขึ้น ขณะที่การเมืองในประเทศถือว่ายังนิ่ง แม้จะไม่มีความคืบหน้า ส่วนมูลค่าการซื้อขายวานนี้ยังไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนกลับมาซื้อขายได้ไม่เต็มที่ ช่วงนี้ดัชนีจึงอยู่ในลักษณะของการแกว่งตัวในกรอบมากกว่า
สำหรับแนวโน้มวันนี้(7ก.พ.) ดัชนีน่าจะแกว่งตัวบวกได้ต่อ โดยจะต้องติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนม.ค.57 ของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ และติดตามความคืบหน้าของปัจจัยทางการเมืองในประเทศ พร้อมให้แนวรับที่ 1,270 จุด และแนวต้าน 1,300 จุด