“หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ออกโรงบี้ “ยิ่งลักษณ์” ลาออกจากรักษาการนายกฯ จวกบริหารประเทศล้มเหลว เศรษฐกิจเสี่ยงหายนะ ทำหนังสือเปิดผนึกแจกแจงความเน่าใน ไล่ตั้งแต่โครงการจำนำข้าว และโครงการประชานิยม "โต้ง" โต้หม่อมอุ๋ยแผ่นเสียงตกร่อง ไม่เป็นธรรมพูดเรื่องจำนำข้าวแค่ส่วนเดียว แถมละเลยประชาธิปไตย ด้าน “ยรรยง” ซัดสมัยนั่งรองนายกฯ ขายข้าวเจ๊งไม่พอ ยังไม่เคยคิดช่วยชาวนา
"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร" ออกจดหมายเปิดผนึก กระทุ้งนายกฯ ลาออก ชี้ การบริหารประเทศล้มเหลว โดยเฉพาะโครงการจำนำข้าว และประชานิยมต่างๆ หากยังดันทุรังนั่งรักษาการ ยิ่งจะทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ ความเชื่อมั่นทรุด และเหตุการณ์เลวร้ายหนักขึ้น แนะเลิกหลอกชาวนา และบอกความจริงว่ารัฐไม่มีเงิน พร้อมฝากนายกฯ "ปู" ให้ดูประเทศอื่น เจอคนออกมาไล่เยอะขนาดนี้ เค้าลาออกไปนานแล้ว ยอมรับ ที่ออกมาพูดในวันนี้ เดี๋ยวก็โดนรัฐด่าเละ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดแถลงข่าวที่สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ว่า หากรัฐบาลยังดื้อดึง เศรษฐกิจจะยิ่งแย่ ความเชื่อมั่นยิ่งตกต่ำ เศรษฐกิจอาจไม่ขยายตัว ประชาชนไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่โกงกิน หากรัฐบาลยอมลาออก ซึ่งทำได้ตามรัฐธรรมนูญ เศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น ถ้าเป็นประเทศอื่น เจอคนออกมาเยอะขนาดนี้ ไม่พอพอใจขนาดนี้ เค้าลาออกไปนานแล้ว
พร้อมกันนี้ ตนเองได้ทำจดหมายเปิดผนึก 6หน้ากระดาษ เพื่อส่งถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยย้ำเตือนว่า รัฐบาลชุดนี้ หากยังมีการรักษาการต่อไป เชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก รวมถึงจะมีผลกระทบทำให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอย นักท่องเที่ยวลดลง ความเชื่อมั่นนักลงทุนถึงขีดสุด และอัตราการว่างงานอาจเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ ตนเองมองว่า ช่วงที่ผ่านมา การเลือกตั้งก็ไม่ได้ตอบโจทย์และมีความไม่เรียบร้อย และอาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกนาน ซึ่งหากรัฐบาลรักษาการยังคงรักษาการต่อไป จะทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าที่ผ่านมา
"แม้ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งเมื่อในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ได้ แต่ยังพบว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศรวมทั้งจะเรียกความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจได้ ซึ่งเห็นได้จากเศรษฐกิจในภาพรวมยังคงชะลอตัว แนวโน้มการลงทุนขนาดใหญ่ของประเทศมีความเสี่ยงหยุดชะงัก ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศลดลง และอัตราการว่างงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงมองว่าหากรัฐบาลยังรักษาการต่อไป จะทำให้เศรษฐกิจของไทยยิ่งแย่ลง"
ดังนั้น นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำประเทศ ควรลาออกจากการเป็นรัฐบาลรักษาการและเสียสละให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ และนำคนกลางเข้ามาบริหารประเทศแทน เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับ และปฏิรูปประเทศร่วมกัน ให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
“การที่ผมออกมาวันนี้ เดี๋ยวก็โดนรัฐด่าเละ แต่ผมต้องออกมาชี้ว่ารัฐล้มเหลว และเพื่อจี้ให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ลาออกจากรักษาการนายกรัฐมนตรี ชี้เป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวแล้ว”
สำหรับในส่วนโครงการรับจำนำข้าว และโครงการประชานิยมอื่นๆ ของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ตนเองถือว่า ประสบกับความล้มเหลว ซึ่งหากยังดึงดันต่อไป ก็เชื่อว่าจะไม่ดีขึ้น และทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลง
"หากรัฐบาลนี้อยู่ ไม่สามารถเปลี่ยนนโยบายรับจำนำข้าว และสุดท้ายหาเงินมาให้ชาวนาไม่ได้ เพราะรัฐบาลถึงทางตัน ปิดประตูการหาเงิน เพราะเป็นรัฐบาลรักษาการ ต้องเปิดทางให้รัฐบาลใหม่เปลี่ยนนโยบาย แล้วบอกความจริงกับชาวนาว่าไม่มีเงินแล้ว"
ทั้งนี้ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ชาวนานั้น รัฐบาลรักษาการต้องเสี่ยงกู้เงินเพิ่ม ซึ่งอาจผิดกฎหมาย เพราะเป็นรัฐบาลรักษาการ ส่วนแนวทางที่ 2 ให้รัฐบาลจ่ายชดเชยส่วนต่างจากต้นทุนการผลิตให้ชาวนา สำหรับข้าวปริมาณ 450,000 ตัน ที่เข้ามาร่วมโครงการ หลังปิดโครงการปี 2555/2556 ที่สิ้นสุดโครงการเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2556
***"โต้ง" อัดหม่อมอุ๋ยแผ่นเสียงตกร่อง
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง โพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรว่า ม.ร.ว.ปรีดียาธรเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรีสายเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลยุคหลังรัฐประหาร กันยายน พ.ศ. 2549 นำข้อมูลเดิมมาเสนอซ้ำในลักษณะแผ่นเสียงตกร่อง ที่สำคัญเคยออกมาตรการควบคุมเงินทุนไหลออกจนตลาดหุ้นล่มถล่มทลายมาแล้ว
สำหรับโครงการรับจำนำข้าว รัฐบาลดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2554 ต่อเนื่องมา สามารถจ่ายเงินค่ารับจำนำแก่ชาวนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเงิน 6 แสนล้านบาท ถึงฤดูกาลนาปี 2556/57 ก็สามารถช่วยจ่ายค่ารับจำนำในช่วงต้นฤดูกาลและได้จ่ายเงินค่ารับจำนำไปแล้วกว่า 6 หมื่นล้านบาท โดยไม่ได้ล่าช้า แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดจากฝ่ายค้านโดยทำให้การอนุมัติใช้งบประมาณประจำปีล่าช้า การบุกยึดกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ และ ส.ส. ฝ่ายค้านลาออกยกพรรค ซึ่งนำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎรทำให้รัฐบาลต้องปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายในการจัดหาเงินเพิ่มขึ้น และมีขบวนการในการข่มขู่ทั้งสถาบันการเงินและส่วนราชการที่ทำให้การจัดหาเงินมีความล่าช้าแต่กระทรวงการคลังยังคงเดินหน้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามมติคณะรัฐมนตรี และกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและรอบคอบ ส่วนที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ ยกเรื่องคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวมากล่าวหานั้นไม่เป็นธรรม ในความเป็นจริงนั้นสิ่งที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร รวมทั้งกลุ่มผู้โจมตีโครงการนี้ไม่ได้พูดถึงเลยคือมูลค่าของข้าวที่อยู่ในสต๊อก ซึ่งมีมูลค่าอยู่ในตัวเอง รวมทั้งส่วนต่างที่ขาดหายไป แท้จริงอยู่ในมือชาวนา
"การที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรรวมทั้งผู้ชุมนุมที่มีข้อเรียกร้องในลักษณะเดียวกันคือให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้มีคนกลางมาดำเนินการปฏิรูป ตลอดจนบริหารประเทศ นั้น เห็นได้ชัดว่า แนวคิดดังกล่าวเป็นการละเลยการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนไม่คำนึงว่าการดำรงอยู่ของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี นั้น จะเป็นหลักประกันของการคงอยู่ซึ่งวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ".
***โต้”อุ๋ย”สมัยเป็นรัฐบาลก็ขายข้าวเจ๊ง
นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ออกจดหมายเปิดผนึกโจมตีรัฐบาลและขอให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากการบริหารโครงการรับจำนำข้าวล้มเหลว ว่า ตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศสามารถขายข้าวได้มากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ถึง 1.9 แสนล้านบาท แต่หากย้อนไปดูสมัยม.ร.ว.ปรีดิยาธรเป็นรองนายกฯ ตอนนั้นราคาข้าวตกต่ำและขายข้าวได้ราคาถูกมากตันละ 8 พันกว่าบาท และไม่มีผลงานช่วยเหลือชาวนาเลย ส่วนเรื่องไม่มีเงินจ่าย รัฐบาลได้จ่ายมาโดยตลอด แต่มาสะดุดเพราะกระบวนการ ซึ่งหากให้รัฐบาลลาออก ท่านต้องลาออกย้อนหลังด้วย เพราะไม่เคยช่วยชาวนาเลย
สำหรับกรณีที่มีการกล่าวหาว่า บริษัท เป่ยต้าหวง ถูกรัฐบาลจีนสอบสวนกรณีซื้อข้าวกับรัฐบาลไทยนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยที่บริษัทยกเลิกการซื้อข้าวไทย เพราะไม่อยากผูกพันกับปัญหาการเมือง ส่วนการขายข้าวจีทูจีที่จะต้องขายผ่านคอฟโก ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลกลาง ก็ไม่ถูกต้อง เพราะปัจจุบันคอฟโกไม่ได้เป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลถือหุ้น 100% ที่สำคัญในปีที่ผ่านมา จีนนำเข้าจากทั่วโลก 2.4 ล้านตัน นำเข้าโดยคอฟโกเพียง 5 แสนตันเท่านั้น ที่เหลือเป็นการนำเข้าโดยหน่วยงานอื่นๆ
"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร" ออกจดหมายเปิดผนึก กระทุ้งนายกฯ ลาออก ชี้ การบริหารประเทศล้มเหลว โดยเฉพาะโครงการจำนำข้าว และประชานิยมต่างๆ หากยังดันทุรังนั่งรักษาการ ยิ่งจะทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ ความเชื่อมั่นทรุด และเหตุการณ์เลวร้ายหนักขึ้น แนะเลิกหลอกชาวนา และบอกความจริงว่ารัฐไม่มีเงิน พร้อมฝากนายกฯ "ปู" ให้ดูประเทศอื่น เจอคนออกมาไล่เยอะขนาดนี้ เค้าลาออกไปนานแล้ว ยอมรับ ที่ออกมาพูดในวันนี้ เดี๋ยวก็โดนรัฐด่าเละ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดแถลงข่าวที่สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ว่า หากรัฐบาลยังดื้อดึง เศรษฐกิจจะยิ่งแย่ ความเชื่อมั่นยิ่งตกต่ำ เศรษฐกิจอาจไม่ขยายตัว ประชาชนไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่โกงกิน หากรัฐบาลยอมลาออก ซึ่งทำได้ตามรัฐธรรมนูญ เศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น ถ้าเป็นประเทศอื่น เจอคนออกมาเยอะขนาดนี้ ไม่พอพอใจขนาดนี้ เค้าลาออกไปนานแล้ว
พร้อมกันนี้ ตนเองได้ทำจดหมายเปิดผนึก 6หน้ากระดาษ เพื่อส่งถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยย้ำเตือนว่า รัฐบาลชุดนี้ หากยังมีการรักษาการต่อไป เชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก รวมถึงจะมีผลกระทบทำให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอย นักท่องเที่ยวลดลง ความเชื่อมั่นนักลงทุนถึงขีดสุด และอัตราการว่างงานอาจเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ ตนเองมองว่า ช่วงที่ผ่านมา การเลือกตั้งก็ไม่ได้ตอบโจทย์และมีความไม่เรียบร้อย และอาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกนาน ซึ่งหากรัฐบาลรักษาการยังคงรักษาการต่อไป จะทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าที่ผ่านมา
"แม้ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งเมื่อในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ได้ แต่ยังพบว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศรวมทั้งจะเรียกความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจได้ ซึ่งเห็นได้จากเศรษฐกิจในภาพรวมยังคงชะลอตัว แนวโน้มการลงทุนขนาดใหญ่ของประเทศมีความเสี่ยงหยุดชะงัก ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศลดลง และอัตราการว่างงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงมองว่าหากรัฐบาลยังรักษาการต่อไป จะทำให้เศรษฐกิจของไทยยิ่งแย่ลง"
ดังนั้น นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำประเทศ ควรลาออกจากการเป็นรัฐบาลรักษาการและเสียสละให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ และนำคนกลางเข้ามาบริหารประเทศแทน เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับ และปฏิรูปประเทศร่วมกัน ให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
“การที่ผมออกมาวันนี้ เดี๋ยวก็โดนรัฐด่าเละ แต่ผมต้องออกมาชี้ว่ารัฐล้มเหลว และเพื่อจี้ให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ลาออกจากรักษาการนายกรัฐมนตรี ชี้เป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวแล้ว”
สำหรับในส่วนโครงการรับจำนำข้าว และโครงการประชานิยมอื่นๆ ของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ตนเองถือว่า ประสบกับความล้มเหลว ซึ่งหากยังดึงดันต่อไป ก็เชื่อว่าจะไม่ดีขึ้น และทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลง
"หากรัฐบาลนี้อยู่ ไม่สามารถเปลี่ยนนโยบายรับจำนำข้าว และสุดท้ายหาเงินมาให้ชาวนาไม่ได้ เพราะรัฐบาลถึงทางตัน ปิดประตูการหาเงิน เพราะเป็นรัฐบาลรักษาการ ต้องเปิดทางให้รัฐบาลใหม่เปลี่ยนนโยบาย แล้วบอกความจริงกับชาวนาว่าไม่มีเงินแล้ว"
ทั้งนี้ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ชาวนานั้น รัฐบาลรักษาการต้องเสี่ยงกู้เงินเพิ่ม ซึ่งอาจผิดกฎหมาย เพราะเป็นรัฐบาลรักษาการ ส่วนแนวทางที่ 2 ให้รัฐบาลจ่ายชดเชยส่วนต่างจากต้นทุนการผลิตให้ชาวนา สำหรับข้าวปริมาณ 450,000 ตัน ที่เข้ามาร่วมโครงการ หลังปิดโครงการปี 2555/2556 ที่สิ้นสุดโครงการเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2556
***"โต้ง" อัดหม่อมอุ๋ยแผ่นเสียงตกร่อง
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง โพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรว่า ม.ร.ว.ปรีดียาธรเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรีสายเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลยุคหลังรัฐประหาร กันยายน พ.ศ. 2549 นำข้อมูลเดิมมาเสนอซ้ำในลักษณะแผ่นเสียงตกร่อง ที่สำคัญเคยออกมาตรการควบคุมเงินทุนไหลออกจนตลาดหุ้นล่มถล่มทลายมาแล้ว
สำหรับโครงการรับจำนำข้าว รัฐบาลดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2554 ต่อเนื่องมา สามารถจ่ายเงินค่ารับจำนำแก่ชาวนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเงิน 6 แสนล้านบาท ถึงฤดูกาลนาปี 2556/57 ก็สามารถช่วยจ่ายค่ารับจำนำในช่วงต้นฤดูกาลและได้จ่ายเงินค่ารับจำนำไปแล้วกว่า 6 หมื่นล้านบาท โดยไม่ได้ล่าช้า แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดจากฝ่ายค้านโดยทำให้การอนุมัติใช้งบประมาณประจำปีล่าช้า การบุกยึดกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ และ ส.ส. ฝ่ายค้านลาออกยกพรรค ซึ่งนำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎรทำให้รัฐบาลต้องปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายในการจัดหาเงินเพิ่มขึ้น และมีขบวนการในการข่มขู่ทั้งสถาบันการเงินและส่วนราชการที่ทำให้การจัดหาเงินมีความล่าช้าแต่กระทรวงการคลังยังคงเดินหน้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามมติคณะรัฐมนตรี และกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและรอบคอบ ส่วนที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ ยกเรื่องคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวมากล่าวหานั้นไม่เป็นธรรม ในความเป็นจริงนั้นสิ่งที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร รวมทั้งกลุ่มผู้โจมตีโครงการนี้ไม่ได้พูดถึงเลยคือมูลค่าของข้าวที่อยู่ในสต๊อก ซึ่งมีมูลค่าอยู่ในตัวเอง รวมทั้งส่วนต่างที่ขาดหายไป แท้จริงอยู่ในมือชาวนา
"การที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรรวมทั้งผู้ชุมนุมที่มีข้อเรียกร้องในลักษณะเดียวกันคือให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้มีคนกลางมาดำเนินการปฏิรูป ตลอดจนบริหารประเทศ นั้น เห็นได้ชัดว่า แนวคิดดังกล่าวเป็นการละเลยการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนไม่คำนึงว่าการดำรงอยู่ของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี นั้น จะเป็นหลักประกันของการคงอยู่ซึ่งวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ".
***โต้”อุ๋ย”สมัยเป็นรัฐบาลก็ขายข้าวเจ๊ง
นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ออกจดหมายเปิดผนึกโจมตีรัฐบาลและขอให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากการบริหารโครงการรับจำนำข้าวล้มเหลว ว่า ตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศสามารถขายข้าวได้มากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ถึง 1.9 แสนล้านบาท แต่หากย้อนไปดูสมัยม.ร.ว.ปรีดิยาธรเป็นรองนายกฯ ตอนนั้นราคาข้าวตกต่ำและขายข้าวได้ราคาถูกมากตันละ 8 พันกว่าบาท และไม่มีผลงานช่วยเหลือชาวนาเลย ส่วนเรื่องไม่มีเงินจ่าย รัฐบาลได้จ่ายมาโดยตลอด แต่มาสะดุดเพราะกระบวนการ ซึ่งหากให้รัฐบาลลาออก ท่านต้องลาออกย้อนหลังด้วย เพราะไม่เคยช่วยชาวนาเลย
สำหรับกรณีที่มีการกล่าวหาว่า บริษัท เป่ยต้าหวง ถูกรัฐบาลจีนสอบสวนกรณีซื้อข้าวกับรัฐบาลไทยนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยที่บริษัทยกเลิกการซื้อข้าวไทย เพราะไม่อยากผูกพันกับปัญหาการเมือง ส่วนการขายข้าวจีทูจีที่จะต้องขายผ่านคอฟโก ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลกลาง ก็ไม่ถูกต้อง เพราะปัจจุบันคอฟโกไม่ได้เป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลถือหุ้น 100% ที่สำคัญในปีที่ผ่านมา จีนนำเข้าจากทั่วโลก 2.4 ล้านตัน นำเข้าโดยคอฟโกเพียง 5 แสนตันเท่านั้น ที่เหลือเป็นการนำเข้าโดยหน่วยงานอื่นๆ